เมืองเวิ่ง อำเภอซงซาน
หลังจากที่สวี่ซินเหนียนฟังรายงานการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากรองแม่ทัพแล้ว ก็เป่าลมออกจากปากโดยไม่มีเสียง
“ออกไปได้ ให้บรรดาทหารระวังให้มากหน่อย อย่าให้ยอดฝีมือจากกองกำลังของข้าศึกฉวยโอกาสโจมตีในยามวิกาลได้”
หลังจากการโจมตีเมืองสองครั้ง กองกำลังชั้นยอดของข้าศึกยังคงรักษากฎไว้ได้อย่างครบถ้วน คนที่ตายล้วนเป็นกองกำลังผสมที่ก่อตั้งขึ้นจากผู้ลี้ภัย
แม่ทัพของกองทัพอวิ๋นโจวเป็นคนฉลาด รู้จักใช้ชีวิตของผู้ลี้ภัยมาผลาญกระสุนปืนใหญ่และลูกธนูของกองกำลังป้องกันเมือง นอกจากนี้พวกเขายังปล่อยให้ยอดฝีมือปะปนอยู่ในกองกำลังผสม รอโอกาสที่จะปีนกำแพงเมืองแล้วทำการสังหารครั้งใหญ่ ทำลายหน้าไม้และปืนใหญ่
“แม่ทัพกองกำลังของข้าศึกเป็นคนฉลาด แต่ในการโจมตียามวิกาลกลับดูโง่เขลาอย่างยิ่ง”
สวี่เอ้อร์หลางมองไปที่เหมียวโหย่วฟางที่อยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า
“แปลกเล็กน้อย”
เหมียวโหย่วฟางไม่เข้าใจ จึงยักไหล่ “มีอะไรแปลก ข้าคิดว่าเขาเป็นคนฉลาด รู้จักลอบจู่โจมในยามวิกาลที่ไม่มีการเตรียมการป้องกัน”
“ข้อเสียของการโจมตีเมืองในเวลากลางคืน เมื่อครู่ข้าได้บอกเจ้าแล้ว ว่าแม่ทัพที่มีความเชี่ยวชาญ จะไม่หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ เว้นเสียแต่ว่าเขามีเวลาจำกัดที่จำเป็นจะต้องโจมตีอำเภอซงซานในระยะเวลาสั้นๆ”
สวี่ซินเหนียนวิเคราะห์อย่างใจเย็น
“ถึงอย่างไรข้าก็รับผิดชอบเพียงสังหารศัตรู เรื่องใช้สมองข้าจะไม่มีวันมีส่วนร่วมอย่างเด็ดขาด”
เหมียวโหย่วฟางแสดงจุดยืนก่อน จากนั้นก็เริ่มคุยโว
“ข้าอาจจะไม่เคยบอกเจ้า ว่าที่ภูเขาสือว่านทางซินเจียงตอนใต้ในวันนั้น ตัวข้าได้ช่วยฆ้องเงินสวี่บุกเข้าไปในวัดหนานฝ่าซึ่งเป็นสถานที่สำคัญของสำนักพุทธ เพื่อสู้ตายกับเหล่าภิกษุของสำนักพุทธ สุดท้ายก็พยายามจนเอาชนะอาซูหลัว ขั้นสองของสำนักพุทธมาจนได้ และได้วางรากฐานสำหรับการลุกขึ้นสู้แบบติดอาวุธของปีศาจทักษิณ วันนี้มีข้าช่วยเจ้า เจ้าวางใจได้เลย”
สวี่ซินเหนียนมองเขาแวบหนึ่ง แล้วพูดช้าๆ ว่า
“ตอนที่อยู่เมืองชิงโจว ข้าได้พบกับผู้พิทักษ์หยวน เขาได้เล่าเหตุการณ์ที่ภูเขาสือว่านให้ข้าฟังอย่างละเอียดแล้ว”
เหมียวโหย่วฟางที่ถูกเปิดโปงนิ่งไป แล้วก็ยิงฟันพูดทันที
“นั่นคือปีศาจลิงที่น่ารำคาญ”
สำหรับเรื่องนี้ สวี่ซินเหนียนเห็นด้วยจากใจจริง
‘สุภาพบุรุษคิดเห็นเหมือนกัน’
ทั้งสองคนเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างรู้กัน ราวกับกำลังพูดว่า
‘ดูเหมือนเจ้าก็จะมีประสบการณ์ที่น่าอับอายเช่นเดียวกัน’
เวลานี้ ทหารนายหนึ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน รายงานเสียงดังว่า
“ใต้เท้าสวี่ กำลังของข้าศึกส่งจดหมายผ่านลูกธนูมาฉบับหนึ่งขอรับ”
ดวงตาของสวี่ซินเหนียนเป็น ประกายเล็กน้อย พูดอย่างสงบว่า
“ส่งขึ้นมา”
เหมียวโหย่วฟางลุกขึ้นทันที รับจดหมายที่ส่งผ่านลูกธนูมาจากมือของทหารแล้วยื่นให้สวี่ซินเหนียน
ฝ่ายหลังเปิดออกอ่าน เมื่ออ่านจบก็ยิ้มเยาะ
“จดหมายเขียนว่าอย่างไร?”
เหมียวโหย่วฟางรีบถาม
สวี่เอ้อร์หลางพูดเบาๆ ว่า “แม่ทัพกองกำลังของข้าศึกชื่อจัวเฮ่าหราน เขาบอกว่าจะบุกตีเมืองภายในสามวัน จะตัดหัวข้า เพื่อมอบให้พี่ชายคนโตของข้าเป็นของขวัญเมื่อพบหน้ากันครั้งแรก”
…
กระโจมจักรพรรดิในเมืองอวิ๋นโจว ห่างจากประตูเมืองทิศตะวันออกสิบลี้
กองไฟลุกโชน กระโจมแต่ละหลังเงียบสงัด บรรดาทหารหลับไปตั้งนานแล้ว โดยมีทหารที่สวมชุดเกราะมือถืออาวุธลาดตระเวนไปมา
รอบนอกยังมีหน่วยสอดแนมคอยตระเวนดู
ด้านนอกกระโจมทหาร จัวเฮ่าหรานที่สวมชุดเกราะ รูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง ตัดหัวหน่วยสอดแนมของกองทัพต้าฟ่งที่จับมาได้ด้วยมือตัวเอง
เขาเลียสันมีดที่เปื้อนเลือด แสยะยิ้มแล้วพูดว่า
“คิดไม่ถึงว่าคนที่รับผิดชอบปกป้องอำเภอซงซาน ก็คือญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน เมื่อข้าตีอำเภอซงซานแตกแล้ว หัวที่ตัดไป ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี แล้วส่งคนนำไปมอบให้คนแซ่สวี่”
จ้าวเถียนรองแม่ทัพพูดน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ตามคำสารภาพของหน่วยสอดแนมคนนี้ สวี่ซินเหนียนคนนั้นเป็นศิษย์ของจางเซิ่นแห่งสำนักอวิ๋นลู่ มีความเชี่ยวชาญในตำราพิชัยสงคราม จะชะล่าใจไม่ได้”
เขารู้นิสัยวางอำนาจบาตรใหญ่ของจัวเฮ่าหรานดี จึงพูดเสริมทันทีว่า
“แต่ว่า ด้วยความห้าวหาญของท่านแม่ทัพ การบุกตีเมืองคงเกิดขึ้นในอีกไม่นาน หากท่านแม่ทัพรู้ว่าท่านตัดหัวของสวี่ซินเหนียนได้ จะต้องชมเชยและมีรางวัลให้อย่างแน่นอน”
จัวเฮ่าหรานพยักหน้า
“ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ใครที่ตัดหัวของสวี่ซินเหนียนได้ จะมีรางวัลให้หนึ่งพันตำลึงเงิน พร้อมกับแต่งตั้งให้เป็นนายกอง”
…
วันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันนั่งสมาธิเสร็จ ก็เห็นผู้หญิงท่าทางโศกเศร้าเหมือนดอกไลแลค
นางสวย แต่ท่าทางโศกเศร้ากลับสามารถทำให้มองข้ามความสวยของนาง ทำให้อดคิดที่จะเดินเข้าไปในใจของนางเพื่อรับฟังความโศกเศร้าของนางไม่ได้
“สวี่หลาง เจ้าตื่นแล้ว”
ลั่วอวี้เหิงพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เจ้าเองหรือ บุคลิกโศกเศร้า…สวี่ชีอันถอนหายใจโล่งอก ในเจ็ดอารมณ์ สิ่งที่จัดการได้ยากที่สุดคืออารมณ์สามประการ ได้แก่ ‘ใคร่’ ‘โกรธ’ และ ‘หึงหวง’
บุคลิกโกรธนั้นดีกว่าแบบอื่น เพียงแต่อารมณ์ร้อนไปหน่อย แค่พูดอะไรที่ไม่สบอารมณ์ ก็จะลงมือทำร้ายคนอื่นทันที
บุคลิกใคร่เป็นแบบที่สวี่ชีอันกลัวมากที่สุด มันหมายความว่าเขาต้องออกกำลังกายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง สิ้นเปลืองพลังงานเป็นอย่างมาก
ส่วนบุคลิกหึงหวงนั้นเขาไม่เคยประสบมาก่อน ครั้งก่อนบุคลิกหึงหวงออกหน้าเป็นคนสุดท้าย ลั่วอวี้เหิงได้ขับไล่ไปนานแล้ว
จากการที่ท่านน้าแสดงออกด้วยความหวาดกลัวเช่นนี้ สวี่ชีอันคาดการณ์ว่าบุคลิกหึงหวงก็คือตัวละครที่มีอยู่ในละครชิงรักหักสวาทในวัง ประเภทฮองเฮาผู้อำมหิต
ขอแค่บุคลิกทั้งสามลักษณะนี้ไม่ปรากฏตัว บุคลิกอื่นๆ สวี่ชีอันก็ไม่ได้สนใจ
บุคลิกโศกเศร้าเป็นคนอารมณ์เปราะบาง คิดแต่ว่าอายุของตัวเองสามารถเป็นแม่ของคนรักได้แล้ว จึงรู้สึกเสียใจ
“ราชครู ท่านงดงามดุจดวงแสงอรุโณทัย ชวนให้หลงใหล”
สวี่ชีอันดูแลเอาใจใส่คนโศกเศร้าเหมือนดูแลเอาใจใส่ดอกไม้ที่บอบบาง
บุคลิกโศกเศร้ามีสีหน้าเขินอาย พูดเสียงเบาว่า
“สวี่หลางไม่ต้องเรียกข้าว่าราชครู เรียกว่าอวี้เหิงก็ได้”
เอาแล้วเอาแล้ว เจ้าจะทำให้ข้าลำบากใจอีกแล้ว…สวี่ชีอันตัวสั่น คิดในใจว่า เพื่ออะไรกัน เดี๋ยวเจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม ก็คิดจะถือดาบไล่ฟันข้าอีก
…
ชายป่าบุพกาล รอบนอกจี๋เยวียน
ยอดฝีมือขั้นสี่ของเจ็ดเผ่ารวมตัวกันที่บริเวณชายป่าบุพกาล นำโดยผู้นำระดับเหนือมนุษย์เช่นแม่ย่าแห่งเทียนกู่
ในใจของทุกคนในเผ่าพันธุ์กู่ต่างหนักอึ้ง พลังมหาศาลของเทพเจ้ากู่โชติช่วง มักจะหมายความว่าอาจจะมีอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์กำเนิดขึ้น
สัตว์ประหลาดที่รูปร่างพิกลพิการ จิตใจสับสน กลับอยู่ในระดับเหนือมนุษย์ มันเป็นสัญลักษณ์ของการเข่นฆ่าและทำลายล้าง ในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์กู่ ผู้นำที่เสียชีวิตด้วยฝีมือของอสูรกู่นั้นมีไม่น้อย
อาจกล่าวได้ว่า อสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์นั้นถูกผู้นำของเผ่าพันธุ์กู่เสี่ยงชีวิตเพื่อกำจัดทิ้ง
“พลังของเทพเจ้ากู่เมื่อเทียบกับยามปกติ แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า”
คนที่พูดคือผู้อาวุโสขั้นสี่ของเผ่าซือกู่ ข้างกายของเขามีหุ่นของศพเดินได้ที่มีกลิ่นรุนแรงสามตัว
“ไม่ต้องพูดถึงจำนวนของการเกิดของระดับเหนือมนุษย์ อสูรกู่ และหนอนกู่ขั้นสี่ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ หากประมาทเลินเล่อ พวกข้าอาจจะมีอันตรายถึงชีวิต”
ขณะที่ผู้อาวุโสของเผ่าตู๋กู่พูดคำพูดเหล่านี้ ก็ได้มองไปยังผู้อาวุโสทั้งหกของเผ่าลี่กู่
ผู้อาวุโสใหญ่ตำหนิว่า
“เจ้าดูอย่างไร อสูรกู่ที่ข้าฆ่าไปทั้งหมดยังมากกว่าเนื้อที่เจ้ากินไปเสียด้วยซ้ำ”
ปากไม่ยอมแพ้ คิ้วของผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่คลายตัว ขมวดแน่นตลอดเวลา
พลังของเทพเจ้ากู่ปะทุขึ้นไม่บ่อย ในชีวิตพวกเขาเคยประสบสองครั้ง ไม่มีครั้งไหนที่จะสามารถเทียบกับการเคลื่อนไหวของเมื่อวานนี้ได้
หลังจากผ่านการดูดซึมและการย่อยมาตลอดคืน เกรงว่าบรรดาหนอนกู่และอสูรกู่ที่อยู่บริเวณจี๋เยวียนจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง