บทที่ 686 แผนที่ครึ่งหนึ่ง – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 686 แผนที่ครึ่งหนึ่ง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
เมื่อเดินอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ บางครั้งจะได้เห็นเด็กสองสามคนเดินเตร่อยู่บนถนนว่างเปล่า หรือยืนถอดกางเกงฉี่อยู่ข้างทาง
แต่เห็นผู้ใหญ่น้อยมาก
สวี่ชีอันคาดเดาว่าเด็กพวกนี้ยังอ่อนแอ จึงไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวทุกวันเพื่อบรรเทาผลข้างเคียงของอั้นกู่
เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นในอนาคต ความสามารถเพิ่มขึ้น พวกเขาก็จะเป็นเหมือนพ่อแม่ของพวกเขา ต้องซ่อนตัวตามตรอกซอกซอยทุกวัน
“อาจจะเป็นอย่างที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่บอกว่า ‘สภาพเศรษฐกิจ’ ของเผ่าอั้นกู่ไม่ดีนัก ถ้าดีสิแปลก เวลาส่วนใหญ่เสียไปกับการหลบๆ ซ่อนๆ อย่างไร้จุดหมาย” สวี่ชีอันพึมพำในใจ
ตอนเพิ่งได้รับเจ็ดยอดกู่ เขารู้สึกแค่ว่าผลข้างเคียงของอั้นกู่เป็นปัญหามาก ทุกวันต้องเจียดเวลาไปซ่อนตัว ซ่อนตัวครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วยาม
ไม่เคยคิดว่าหากคนในเผ่าทุกคนเป็นแบบนี้จะเป็น ‘หายนะ’ จริงๆ
“อันที่จริงซ่อนตอนกลางคืนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นตอนกลางวัน”
สวี่ชีอันกล่าว
ชายหนุ่มจากหน่วยลาดตระเวนพยักหน้าซ้ำๆ
“แน่นอนว่าก็มีคนซ่อนตัวตอนกลางคืน แต่ส่วนใหญ่ยังไม่แต่งงาน คนที่แต่งงานแล้วมักไม่มีเวลาในตอนกลางคืน นอกจากนี้ ระดับยิ่งสูง จุดประสงค์ในการซ่อนตัวจะไม่ใช่แค่ล้างผลข้างเคียง ท่านเองก็เป็นปรมาจารย์อั้นกู่ ท่านน่าจะรู้”
ผลข้างเคียงเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของอั้นกู่ หากอยากเพิ่มตบะ ฝึกฝนอั้นกู่ ก็ต้องซ่อนตัวในเงามืดและรับรู้ถึงพลังของอั้นกู่
ขณะพูด เขาเห็นสายตาของสวี่ชีอันจับจ้องไปที่เงาใต้เท้าเขา จึงเอ่ยยิ้มๆ
“ท่านมองไม่ผิด หน่วยลาดตระเวนคนอื่นๆ ซ่อนตัวอยู่ในเงาใต้เป้าของข้า”
เงาใต้เป้าอะไรนะ คนเผ่าอั้นกู่เช่นพวกเจ้าอาศัยอยู่ใต้เป้าหรือ…สวี่ชีอันแทบอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
เมื่อเดินผ่านตรอกซอกซอยอันเงียบสงบ คนสองคนก็เข้าใกล้ใจกลางเมือง ซึ่งมีประชากรหนาแน่นมาก ผู้คนสัญจรไปมาเป็นกระจุกบนถนนกว้างใหญ่ และมีร้านค้าอยู่สองข้างทาง
สวี่ชีอันเห็นว่าในบรรดาผู้คนที่สัญจรไปมาเหล่านี้ มีทั้งคนจากที่ราบภาคกลางและคนจากซินเจียงตอนใต้ พวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ไม่ได้ดีไปกว่าผู้ลี้ภัยจากที่ราบตอนกลางนัก
หลักๆ คือ คนสัญจรไปมาพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่มีอั้นกู่ในร่างกาย
“พวกเขาเป็นทาส บางคนถูกจับมาจากที่ราบภาคกลาง บางคนเป็นชนเผ่าซินเจียงตอนใต้ที่ไม่สนกฎระเบียบจึงถูกเรากวาดล้าง แล้วแบ่งประชากรให้ทั้งเจ็ดเผ่าเท่าๆ กัน”
ชายหนุ่มจากหน่วยลาดตระเวนเอ่ย
“ทาสเหล่านี้เป็นแรงงานที่มีค่าของเผ่าเรา”
สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เผ่าพันธุ์กู่มักจะทำการค้ามนุษย์กับกองคาราวานของที่ราบภาคกลางสินะ”
คำว่าค้ามนุษย์ทำให้ชายหนุ่มชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเข้าใจและกล่าวว่า
“ใช่ กองคาราวานของที่ราบภาคกลางรู้ว่าเราขาดคน จึงมักจะส่งคนมาให้ซินเจียงตอนใต้เพื่อแลกกับสมุนไพร ไม้ แร่และของอื่นๆ ที่มีเฉพาะในซินเจียงตอนใต้”
แถมคนเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็ถูกลักพาตัวมา…สวี่ชีอันนึกถึงบรรพบุรุษตระกูลไฉ ตอนบรรพบุรุษคนนั้นยังเด็ก ครอบครัวถูกศัตรูฆ่ายกครัว ส่วนเขาถูกขายไปเป็นทาสให้เผ่าซือกู่ในซินเจียงตอนใต้
ภายหลังไม่รู้ว่าหนีกลับไปที่ราบภาคกลางได้อย่างไร แล้วยังก่อตั้งสำนักที่บ้านเกิดในเซียงโจวอีก
จริงสิ ต้องถามโหยวซือเรื่องแผนที่ด้วย แผนที่ครึ่งหนึ่งของบรรพบุรุษตระกูลไฉอยู่ที่เผ่าซือกู่…ในเวลานี้เอง สวี่ชีอันเห็นคฤหาสน์ ซึ่งเขียนคำว่าซินเจียงตอนใต้ไว้บนแผ่นป้าย
“ที่นี่คือจวนของหัวหน้า เชิญฆ้องเงินสวี่เข้ามา”
เมื่อก้าวเข้าไปในคฤหาสน์ สวี่ชีอันก็กวาดตามองลานกว้าง ทางเดินที่ปูด้วยหินสีฟ้านำไปสู่ลานด้านใน ด้านซ้ายของทางเดินมีถังเก็บน้ำซึ่งปิดด้วยแผ่นไม้เรียงรายอยู่
ด้านขวาเป็นหลุมลึกที่มีปากหลุมแคบหลายหลุม
ทั้งในหลุมและในถังล้วนมีคนซ่อนตัวอยู่…สวี่ชีอันถอนสายตากลับแล้วตามชายหนุ่มไป เมื่อเดินไปได้สักพัก เขาก็ไม่เห็นเงาคนแม้แต่ครึ่งเดียว
จนกระทั่งพวกเขาเข้าไปยังลานด้านใน สวี่ชีอันถึงเห็นเงาของหัวหน้าเผ่าอั้นกู่ในชุดสีดำ นั่งอยู่หัวโต๊ะ ในมือถือถ้วยน้ำชา
เขาไม่เห็นแสงตะวันตลอดทั้งปี ใบหน้าที่ซีดขาวเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ชาเตรียมพร้อมแล้ว เชิญฆ้องเงินสวี่นั่ง”
การรับแขกและเสิร์ฟชาเป็นมารยาทของที่ราบภาคกลาง
หลังจากสวี่ชีอันนั่งลง เขาก็พูดอีกว่า
“โปรดรอสักครู่ ข้าส่งคนไปเชิญผู้อาวุโสแล้ว เรื่องส่งกองทัพนั้นข้าไม่อาจตัดสินใจคนเดียวได้”
นี่คือเรื่องที่ได้พูดคุยกันในขั้นต้นไปแล้วตอนที่ต่อสู้เมื่อวานนี้
ขณะที่ดื่มชาไปครึ่งถ้วย เงาแปดร่างก็โผล่ออกมาจากข้างใต้โต๊ะ กลายเป็นผู้อาวุโสทั้งแปดที่เป็นชายวัยกลางคนหรือไม่ก็ผู้สูงอายุรวมกันอยู่ภายในห้องโถงด้านใน
“หัวหน้าบอกพวกเราแล้วว่า ฆ้องเงินสวี่อยากเชิญคนในเผ่าอั้นกู่ขึ้นไปทางเหนือ เพื่อช่วยต้าฟ่งต่อสู้กับกลุ่มกบฏอวิ๋นโจว”
ชายชราผมสีดอกเลาดูเหมือนจะเป็นผู้อาวุโสชั้นสูง เขาพูดน้ำเสียงเอื่อยๆ
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับฆ้องเงินสวี่จะเสนอราคาเท่าไร”
สวี่ชีอันจิบชาอึกหนึ่งแล้วพูดว่า
“หลังจากสงครามสงบลง ต้าฟ่งจะมอบบรรณาการเป็นเงินห้าหมื่นตำลึง ผ้าไหมห้าหมื่นผืน และเสบียงสามหมื่นตันให้แก่เผ่าอั้นกู่ทุกปีเป็นระยะเวลาห้าปี”
ผู้อาวุโสสองสามคนรู้สึกประทับใจเล็กน้อยและกระซิบกระซาบกันเป็นภาษาซินเจียงตอนใต้
“เงินห้าหมื่นตำลึงสามารถกองเต็มห้องของข้าได้เลยนะ”
“ผ้าไหมห้าหมื่นผืนทำให้คนในเผ่าอั้นกู่ของเรามีเสื้อผ้าสวยๆ สวมได้ทุกคนเลย”
“เสบียงยิ่งสำคัญ เพราะคนในเผ่าของเราไม่มีเวลาไปล่าสัตว์กับทำฟาร์ม”
ผู้อาวุโสชั้นสูงผมสีดอกเลากระแอมเสียงดังขัดจังหวะการกระซิบกระซาบของเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น โชคดีที่ฆ้องเงินสวี่ฟังภาษาซินเจียงตอนใต้ไม่เข้าใจ มิเช่นนั้นอำนาจในการต่อรองของเขาคงถูกผู้อาวุโสเหล่านี้ทำลายลง
ผู้อาวุโสชั้นสูงส่ายหน้า
“หากต้าฟ่งพ่ายแพ้ล่ะ พวกข้าจะไม่เสียแรงเปล่าหรือ”
สวี่ชีอันมีสีหน้าเรียบเฉย
“ผู้อาวุโสชั้นสูงอยากเพิ่มอะไรหรือ”
“ดี!” ผู้อาวุโสชั้นสูงพยักหน้าและเอ่ยเสียงขรึม “เพิ่มเป็นสองเท่า”
“ดี!” สวี่ชีอันลุกขึ้นเงียบๆ และประสานมือคารวะ
“ข้ายังต้องไปที่เผ่าซินกู่อีก ไม่รบกวนผู้อาวุโสทุกท่านแล้ว ขอลา”
เงามือขยับ แต่ยั้งไว้ เมื่อเห็นสวี่ชีอันเดินไปถึงประตูห้องโถง เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า
“เงินหกหมื่นตำลึง ผ้าไหมห้าหมื่นผืน เสบียงห้าหมื่นตัน เป็นระยะเวลาหกปี เพื่อเป็นการตอบแทน เผ่าของเราจะส่งทหารชั้นยอดแปดร้อยนายเข้าร่วมการต่อสู้ วางใจได้ ทั้งแปดร้อยนายเป็นทหารชั้นยอดอย่างแท้จริง”
แม้ว่าคนในเผ่าพันธุ์กู่ทุกคนจะเป็นทหาร แต่เมื่อตัดคนชรากับคนอ่อนแอ ผู้หญิงกับเด็ก และคนธรรมดาๆ ทิ้งไป ทหารชั้นยอดแปดร้อยนายก็นับว่าไม่น้อยเลย
สวี่ชีอันหยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ตกลง!”
เขาคุยกับฮว๋ายชิ่งมาก่อนแล้ว จึงได้รู้ขอบเขตที่เหมาะสมของ ‘บรรณาการ’ มาจากนาง
สวี่ชีอันไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ค้นคว้าเรื่องนี้มากนักและไม่รู้ราคาตลาดของ ‘บรรณาการ’
ข้อเรียกร้องของเงาอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม
เงาถอนหายใจออกมา “เหล่าทหารชั้นยอดของเผ่าอั้นกู่จะช่วยต้าฟ่งกำจัดกลุ่มกบฏอย่างสุดกำลัง”
ส่วนสวี่ชีอันจะเป็นตัวแทนของราชสำนักต้าฟ่งหรือไม่ เงากับเหล่าผู้อาวุโสไม่ได้สงสัย คนคนนี้ไม่เพียงได้ชื่อว่าเป็นทหารอันดับหนึ่งของต้าฟ่งเท่านั้น ขณะเดียวกันเขายังเป็นคู่บำเพ็ญของราชครูลั่วอวี้เหิงด้วย
ในมุมมองของเผ่าอั้นกู่ คำพูดของเขาน่าเชื่อถือกว่าวาจาดั่งทองคำของจักรพรรดิแห่งที่ราบภาคกลางมาก
“อีกสักพัก ข้าจะให้ราชสำนักส่งเอกสารมาเพื่อเป็นหลักฐานการเป็นพันธมิตรระหว่างต้าฟ่งกับเผ่าพันธุ์กู่” สวี่ชีอันกล่าว
เงาพยักหน้าเล็กน้อย
…
หลังออกจากเผ่าอั้นกู่ สวี่ชีอันก็บินขึ้นไปบนฟ้า แล้วครึ่งชั่วยามต่อมา เขาก็มาถึงอาณาเขตของเผ่าซินกู่
ที่นี่มีธรรมชาติอันงดงาม มีทั้งนกนานาชนิดและสิงสาราสัตว์อยู่ทั่วทุกหนแห่ง
บ้านของเผ่าซินกู่สร้างอยู่ในป่าทึบ อาคารแต่ละหลังซ่อนอยู่ท่ามกลางกิ่งก้านใบสีเขียวขจี มนุษย์กับสัตว์อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง
เด็กสาวขี่เสือยักษ์สีสันสดใสและเล่นอยู่ในภูเขาอย่างมีความสุข สัตว์ยักษ์นานาชนิดทำหน้าที่เป็นแรงงานสัตว์อยู่ในท้องทุ่ง ลิงหางยาวตัวเล็กคล่องแคล่วถือตะกร้าไม้ไผ่เก็บผลไม้ทั่วป่าทั่วเขา
ทันใดนั้น สวี่ชีอันก็เห็นสัตว์ยักษ์ที่มีเกล็ดทั่วร่างพุ่งขึ้นมาจากทางป่าทึบเบื้องล่าง กระพือปีกพังผืด และแบกชายหนุ่มเผ่าซินกู่คนหนึ่งขึ้นมาวนเวียนอยู่รอบตัวเขา
“ฆ้องเงินสวี่ หัวหน้าส่งข้ามารับท่าน”
หน่วยลาดตระเวนหนุ่มแสดงความเคารพนอบน้อมและพูดภาษาที่ราบภาคกลางแม้ไม่ค่อยได้มาตรฐาน
สวี่ชีอันร้อง ‘อืม’ ออกมา เขาเลือกเคลื่อนผ่านฟ้าเข้ามาและชิง ‘เปิดเผย’ ก่อน เพื่อให้ฉุนเยียนสังเกตเห็นเขา
ชายหนุ่มเผ่าซินกู่ควบคุมอสูรเวหาแล้วลงจอดในป่า
อืม อสูรเวหาตัวนี้ไม่ใช่เพศเมีย ดูเหมือนทหารคนนี้จะเป็นทหารที่จริงจัง…ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจของสวี่ชีอันอย่างไม่มีเหตุผล เขาตามหน่วยลาดตระเวนมาจนถึงด้านหน้าหอแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ข้างหน้าผาทางทิศใต้ของยอดเขา
ข้างหอมีต้นสนเก่าแก่อยู่
กระรอกวิ่งเล่นอยู่บนกิ่งไม้ ลิงขาวร้องเจี๊ยกอยู่ใต้ต้นสน
แต่ฐานหลักของเผ่าซือกู่กลับงดงามที่สุดในบรรดาแต่ละเผ่า มากพอจะเทียบเคียงกับเผ่าเทียนกู่
ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง
กำแพงสูงก่อจากหิน ซึ่งมีรูปร่างเป็นทรงสี่เหลี่ยม รูปแบบสถาปัตยกรรมของเมืองคล้ายกับต้าฟ่งคือ ผสมผสานระหว่างอิฐกับไม้
ในเมืองมีแต่ผู้คนสัญจรไปมา การค้าก็ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง
สิ่งเดียวที่แปลกประหลาดคือ คนยกเสลี่ยงที่กำลังยกเสลี่ยงมีนัยน์ตาสีขาวล้วน ข้างกายคนเป็นมีศพหนึ่งหรือสองศพเดินตาม ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามและกุลี
ภายในตลาดที่มีผู้คนสัญจรไปมา สองในสามเป็นศพเดินได้
ช่างน่าสยดสยอง
ใครจะคิดว่า เผ่าลี่กู่ที่ทึ่มทื่อไร้เดียงสาจะมีสไตล์การวาดภาพที่ปกติที่สุดในบรรดาเผ่าพันธุ์กู่ เป็นรองแค่เผ่าเทียนกู่…สวี่ชีอันทอดถอนใจเงียบๆ
เพราะจงใจเปิดเผยกลิ่นอาย เขาจึงดึงดูดความสนใจของโหยวซือได้ในทันที และถูกเชิญเข้าไปในลานบ้านหลังใหญ่ใจกลางเมือง
ภายในลานมีคนรับใช้เดินไปมา ทำงานของตัวเอง ทหารยามที่กำลังลาดตระเวนต่างก็มีนัยน์ตาสีขาวล้วน
ศพกับคนเป็นอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์
หลังจากเข้าไปในลานด้านใน สวี่ชีอันเห็นสาวใช้ในชุดเปิดเผยมากมาย ดูเหมือนพวกนางจะคุ้นเคยกับมันจนเป็นเรื่องปกติ จึงไม่รู้สึกละอายใจใดๆ
สวี่ชีอันรออยู่ที่ห้องรับแขกพักหนึ่ง โหยวซือก็เยื้องย่างเข้ามาและเอ่ยเสียงเรียบ
“บอกข้อเสนอมาเถิด”
เขาไม่ได้มาด้วยตัวเอง แต่ควบคุมศพเพื่อมาพบสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันมองพินิจเขาและยิ้ม
“ข้ามารบกวนความรื่นรมย์ของท่านหรือเปล่า”
ด้วยตบะของเขาในเวลานี้ เขาได้ยินการเคลื่อนไหวของโหยวซือซึ่งกำลังเสพสุขกับสาวใช้จากในนั้นอย่างชัดเจน
‘โหยวซือ’ เอ่ยเสียงเรียบ
“นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยับยั้งผลข้างเคียงของซือกู่ เมื่อใดก็ตามที่เจ้าอดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศพ การมีสาวใช้ในชุดเผยเนื้อหนังสองสามคนอยู่ข้างกายสามารถเบี่ยงเบนความสนใจได้เป็นอย่างดี เมื่อเจ้าระบายความต้องการใส่พวกนาง เจ้าจะไม่สนใจศพไปอีกยาวนาน”
ใช้ช่วงสภาวะไร้ความปรารถนาเพื่อต้านทานผลข้างเคียงของซือกู่ได้ชาญฉลาดมาก...สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย
เผ่าซือกู่ค่อนข้างร่ำรวย ดังนั้นจึงไม่ได้ขึ้นราคาเหมือนเผ่าอั้นกู่ แต่โหยวซือเพิ่มเงื่อนไขหนึ่งข้อ นั่นคือระหว่างที่อยู่ในซินเจียงตอนใต้สวี่ชีอันต้องนำซากศพโบราณนั่นมาไว้ที่เผ่าซือกู่
เมื่อใดที่ออกจากเผ่าพันธุ์กู่ ค่อยนำซากศพโบราณไปด้วย
โหยวซือแสร้งทำเป็นสงบอย่างสุดกำลัง แต่อันที่จริงน้ำเสียงหิวกระหายมาก สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
“ได้ แต่ข้าก็มีเงื่อนไขหนึ่งเช่นกัน”
“ลองว่ามา” โหยวซือเอ่ยขึ้นทันใด
“ข้าเคยเดินทางไปที่เซียงโจว ตระกูลไฉซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นศึกษาเทคนิคลับของเผ่าซือกู่และสามารถสร้างศพเหล็กขึ้นมาได้…”
สวี่ชีอันเล่าสถานการณ์ของตระกูลไฉให้โหยวซือฟัง “เจ้าจำได้หรือไม่”
บรรพบุรุษของตระกูลไฉมีมายาวนานถึงหนึ่งร้อยกว่าปี
โหยวซือนึกอยู่ครู่หนึ่งและพยักหน้า
“มีทาสอยู่คนหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนพ่อของข้าเป็นหัวหน้า หากจำไม่ผิด ดูเหมือนเขาจะแลกแผนที่ครึ่งหนึ่งกับอิสรภาพของเขา”
แผนที่ที่สวี่ผิงเฟิงตั้งใจรวบรวมคงไม่ธรรมดาแน่นอน...สวี่ชีอันกล่าว
“ข้าต้องการแผนที่ครึ่งนั้น”
โหยวซือครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ได้ แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งจะขอ”
ห้ามกระทำซ้ำซ้อน...สวี่ชีอันพยักหน้า “ว่ามาเถิด”
“ในอนาคตหากเจ้าสามารถไขความลับของแผนที่ได้ หวังว่าเจ้าจะมาบอกข้า”
หลังจากสวี่ชีอันพยักหน้าตกลง โหยวซือก็กล่าวต่อ “รอสักครู่!”
สิบกว่านาทีต่อมา ศพนัยน์ตาขาวล้วนก็เดินเข้ามาในห้องรับแขก ในมือถือกล่องไม้สีดำใบหนึ่ง
…………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...