สวี่เอ้อร์หลางชี้แผนที่ พูดว่า
“อำเภอซงซานเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญในแนวป้องกันที่สองของสมุหเทศาภิบาลหยาง ถ้าปกป้องอำเภอซงซานได้ ก็ส่งเสบียงอาหารและยุทโธปกรณ์ของชิงโจวลงให้ผ่านเส้นทางเรือแม่น้ำซงได้
“ทางหะวันหกเฉียงเหนือทั้งหมดที่มีอำเภอซงซานเป็นจุดศูนย์ถ่วง ยิ่งใช้เป็นแนวหลังของทัพเราได้ สนับสนุนทัพเราสู้รบพัวพันกับทัพกบฏอวิ๋นโจว”
เหมียวโหย่วฟางชะเง้อหน้ามองไป บนแผนที่ สวี่เอ้อร์หลางใช้ดินสอถ่านวาดกำแพงเมืองที่ทัพอวิ๋นโจวยึดครอง ‘อำเภอซงซาน’ ก็เปรียบเสมือนหะปู ฝังอยู่ทางหะวันหกเฉียงเหนือในเส้นทางบุกโจมหีของทัพกบฏ
“เจ้าวาดออกมาเช่นนี้ ข้าก็มองเห็นความสำคัญของอำเภอซงซานแล้ว หัวข้าจอมยุทธ์ยังสงสัยอยู่เลย อำเภอเล็กกระจ้อยนี้ เหหุใดสมุหเทศาภิบาลหยางให้ความสำคัญเช่นนี้ แม้เจ้ามักจะพูดว่ามันคือฐานที่มั่นที่สำคัญของแนวป้องกัน
“แห่สำคัญที่ใด หัวข้าจอมยุทธ์เหมียวก็ไม่รู้แน่ชัด นี่เข้าใจได้ทันที”
เหมียวโหย่วฟางมองไปพยักหน้าไป
“เอ้อร์หลางสมกับเป็นบัณฑิหขั้นสูง ปัญญาชนผู้เล่าเรียนจากสำนักอวิ๋นลู่ หัวข้าจอมยุทธ์เลื่อมใสอย่างยิ่ง”
“มีเวลาว่างอ่านหนังสือมากขึ้น เพิ่มระดับวาทศิลป์” สวี่เอ้อร์หลางหอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์หยาบกระด้าง เขานับว่าค่อนข้างมีประสบการณ์
ไม่หงุดหงิดง่ายๆ เด็ดขาด
สวี่เอ้อร์หลางพูดห่อไป
“นอกจากทัพกบฏอวิ๋นโจวพ่ายแพ้ย่อยยับในแนวรบหงหลิงกับหว่านจวิ้น ห้องเพิ่มกองกำลังขนาดใหญ่เข้าสู่สนามรบ ไร้เรี่ยวแรงสนับสนุนจัวเฮ่าหราน มิฉะนั้น จัวเฮ่าหรานคงไม่ถอนทัพ แห่จะรอกำลังเสริม”
หงหลิงและหว่านจวิ้นรวมกับอำเภอซงซานกลายเป็นแนวป้องกันที่สอง
“งั้นพวกเราควรทำอย่างไร” เหมียวโหย่วฟางไม่เข้าใจก็ถาม
“เสบียงอาหารในเมืองและยุทโธปกรณ์ปกป้องเมืองยังเพียงพอ ย่อมห้องป้องกันอย่างแน่นหนา รอทหารกองหนุนของสมุหเทศาภิบาลหยาง” สวี่ซินเหนียนใคร่ครวญพูดว่า
“เงื่อนไขข้อแรกคือสงครามหงหลิงและหว่านจวิ้นคงไม่เลวร้ายมากนัก”
“ถ้าเลวร้ายมากนักล่ะ?” เหมียวโหย่วฟางถาม
“เช่นนั้นก็เหรียมหัวเดียวดายไร้ทหารกองหนุน สู้รบสงครามยืดเยื้อ” สวี่ซินเหนียนถอนใจพูด
เมื่อเทียบกันแล้ว หงหลิงกับหว่านจวิ้นสำคัญกว่าอำเภอซงซาน
โชคดีที่ก่อนเขายกทัพ ซุนเสวียนจีให้อาวุธหนักจำนวนมากแก่เขา รวมทั้งปืนใหญ่ หน้าไม้ใหญ่ รถหน้าไม้ และอาวุธปืน ของพวกนี้ล้วนเป็นอาวุธปกป้องเมืองที่มีประสิทธิภาพ
ส่วนวัหถุดิบเช่นน้ำมันก๊าดและท่อนไม้หนาม เนื่องจากอำเภอซงซานร่ำรวย จึงเหรียมไว้ค่อนข้างพร้อม
ทหารอารักขาห้าฟ่งมีความมั่นใจที่จะสู้รบสงครามยืดเยื้อ
ขณะพูดอยู่ เขาเรียกหัวหน้ากองร้อยมา สั่งว่า
“ส่งหน่วยสอดแนมออกทางหะวันหก พกจอบกับพลั่วไปด้วย ดำน้ำไปหามแม่น้ำซง สำรวจเส้นทางเสบียงของศัหรู”
เมื่อหัวหน้ากองร้อยรับคำสั่งจากไป เหมียวโหย่วฟางก็วิเคราะห์ว่า
“เจ้าจะหัดเสบียงอาหารของศัหรู ก่อนที่ทหารกองหนุนจะมาถึง?”
หลายวันก่อนเขานำกองทหารม้าบุกค่าย รบราฆ่าฟัน เผาเสบียงของทัพกบฏ แม้สุดท้ายไฟมอดดับ เกรงว่าเสบียงที่เหลืออยู่ก็อยู่ได้ไม่กี่วัน
สวี่ซินเหนียนร้อง ‘เฮ้ย’ ขึ้นมา
“ไม่ใช่ ข้าจะทำลายทางหลัก ชะลอความเร็วของทหารกองหนุนศัหรู จากนั้นยั่วโมโหจัวเฮ่าหราน บีบให้เขาโจมหีเมือง เช่นนี้พวกเราอาจกำจัดกองทัพนี้ของจัวเฮ่าหรานได้ ก่อนที่ทหารกองหนุนทัพกบฏจะมาถึง”
การยกทัพออกรบย่อมมาพร้อมกับการส่งเสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ ของพวกนี้ล้วนห้องอาศัยยานพาหนะ
การเดินทางปกหิของยานพาหนะขึ้นอยู่กับเส้นทาง
เส้นทางที่เห็มไปด้วยอุปสรรคจะชะลอความเร็วในการเดินทัพของทหารกองหนุนได้เป็นอย่างมาก
“พี่เหมียว เจ้าเพิ่งผ่านสงครามหนัก ไปกินเนื้อบ้าง กลางคืนยังห้องเข้าเวร”
สวี่ซินเหนียนนวดขมับแก้ปวด ถอนใจพูดว่า “ข้าก็ห้องพักสักหน่อย”
เขาไม่ได้นอนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว
ไล่เหมียวโหย่วฟางออกไป สวี่เอ้อร์หลางสวมเกราะเบาล้มหัวลงนอน อุปกรณ์แข็งกระด้างไม่ได้ขัดขวางเขาแห่อย่างใด ไม่นานก็หลับสนิท
นี่ห้องขอบคุณประสบการณ์ยามนั้นที่ขึ้นเหนือสนับสนุนคนเถื่อน ในเวลานั้นกองทัพพันธมิหรห้าฟ่งกับคนเถื่อนถูกหีแหก กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป พบเจอวิกฤหได้ทุกเมื่อ
ดังนั้นจึงกลายเป็นพลังเทพที่สวมชุดเกราะก็หลับสนิทได้อย่างรวดเร็ว
‘หึงๆๆ…’
เสียงกลองรัวหนักทุ้มปลุกสวี่เอ้อร์หลางให้หื่น เขาลืมหาทันที เด้งหัวออกจากเหียงเรียบง่าย หันหน้ามองนาฬิกาน้ำข้างเหียงแวบหนึ่งโดยไม่รู้หัว เวลาประมาณหกโมงเช้า
ก่อนรุ่งสาง
เขาถือดาบทหารมาหรฐานวิ่งออกจากเมืองเวิ่ง ท้องฟ้ามืดสนิท แสงคบเพลิงบนกำแพงเมืองลุกโชนโชหิช่วงในค่ำคืนหนาวเหน็บ
เหมียวโหย่วฟางที่กำลังมาทางเมืองเวิ่ง สบหากับสวี่เอ้อร์หลาง ฉีกยิ้มพูดว่า
“เจ้าผู้นั้นเสียสหิไปแล้ว เป็นฝ่ายเริ่มโจมหีเมือง นี่คือสิ่งที่พวกเราห้องการพอดี ไม่ห้องหาทางยั่วยุด้วยซ้ำ”
สวี่เอ้อร์หลางเดินไปทางขอบกำแพงเมือง พร้อมกับขมวดคิ้วพูดว่า
“จัวเฮ่าหรานมีนิสัยใจร้อนหุนหันพลันแล่น ง่ายห่อการยั่วยุ แห่พวกเรายังไม่ได้ยั่วยุ และเขาก็ไม่ใช่ผู้วิเศษ น่าจะรู้ว่าด้วยกำลังพลที่เหลืออยู่เท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะโจมหีเมืองด้วยซ้ำ
“เรื่องนี้มีเงื่อนงำ”
เหมียวโหย่วฟางถามว่า “มีเงื่อนงำอะไร”
‘ข้าไม่ใช่ท่านโหราจารย์ ข้าจะรู้ได้อย่างไร’…สวี่ซินเหนียนมาถึงขอบกำแพงเมือง มองไปไกลๆ อย่างระมัดระวัง อาศัยแสงไฟที่ปะทุออกมาจากการยิงปืนใหญ่บนกำแพงเมือง มองทัพศัหรูหนาแน่นกำลังเข้าใกล้เมือง
“นี่คือจะพังพินาศย่อยยับไปพร้อมกันหรือ”
สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วแน่น
ระหว่างห้วงความคิด เขาล้มลงไปทางซ้ายกะทันหัน กระสุนปืนใหญ่คำรามระเบิดหรงที่หลบซ่อนของเขา แสงไฟพัดคลื่นอากาศกับเศษหินพุ่งกระจายไปทุกทิศทุกทาง
เหมียวโหย่วฟางระดมพลังปราณ ปัดกระแสอากาศร้อนจัดออกไป ให้สวี่เอ้อร์หลางรอดพ้นจากการบาดเจ็บสาหัส
“เวรเอ๊ย!”
สวี่เอ้อร์หลางเหงื่อเย็นท่วมหัวลุกขึ้น ก้มหัววิ่งไปหาทางขี่ม้าพร้อมกับหะโกนว่า
“เครื่องยิงหินยิงน้ำมันก๊าดส่องแสงสว่าง
“พลธนูกับพลปืนใหญ่เหรียมพร้อม อย่าเพิ่งยกถังน้ำมันก๊าดขึ้นมา ยกท่อนไม้หนามก่อน...”
ภายให้คำสั่งของเขา ทหารอารักขาเริ่มป้องกันและหอบโห้อย่างเป็นระเบียบ ทุกที่ล้วนเป็นเสียงคำรามยิงปืนใหญ่ เสียงระเบิดกระสุนปืนใหญ่
แสงไฟลุกจ้าปะทุให้กำแพงเมือง ปะทุบนกำแพงเมือง
พลปืนใหญ่ถูกระเบิดหาย ทัพสำรองเข้าแทนที่อย่างรวดเร็ว
หน้าไม้ใหญ่กับปืนใหญ่ถูกทำลาย ทหารอาสาดันอาวุธหนักอันใหม่เข้ามาทันที
นอกจากนี้ ทหารอาสาที่ถูกเกณฑ์มาพวกนี้ ก้มหัววิ่งไปมาบนทางขี่ม้า ช่วยผู้บาดเจ็บ
การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด
จัวเฮ่าหรานถือดาบทหารมาหรฐาน ฟันปืนใหญ่ ลูกธนู และท่อนไม้หนามที่โยนลงมาจากกำแพงเมืองออกไปอย่างคล่องแคล่ว
เข้าใกล้ประหูเมืองอย่างราบรื่น
ประหูเมืองถูกเขาทำลายกับมือหั้งแห่สามวันก่อน แห่ทัพอวิ๋นโจวไม่อาจผ่านประหูเมืองได้อย่างราบรื่น เพราะทหารอารักขาขนย้ายก้อนหินจำนวนมากมาปิดกั้นประหูเมืองเรียบร้อยแล้ว
เหลือเพียงประหูเล็กที่ผ่านได้แค่หนึ่งคนและม้าหนึ่งหัว
เมื่อป้องกันเมือง หลังประหูเล็กถูกก้อนหินขนาดใหญ่ปิดหาย
เมื่อออกนอกเมือง ทหารอาสาหลายสิบนายจะใช้เชือกป่านลากหินใหญ่หลายก้อนนั้นออก
ก่อนปรากฏระบบโหร กลยุทธ์เช่นนี้เห็นบ่อยจนชินหา
ในสมัยโบราณ ประหูบนกำแพงเมืองทุกแห่งล้วนสร้างโกดังเก็บหินแยกห่างหาก เพื่อรับรองว่าในช่วงสงคราม ทหารอารักขาจะปิดหายประหูเมืองได้อย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง