หลังจากได้ยินฮองเฮากล่าวแล้ว ความคิดแรกที่เกิดขึ้นของหลินอันคือ เสด็จพี่จักรพรรดิวางแผนที่จะประนีประนอมกับบุคคลสำคัญในราชสำนัก โดยการให้ผู้หญิงในตระกูลตนเองแต่งงานกับลูกหลานของกั๋วกงบางท่านเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบอบการปกครอง
ไม่ใช่ว่านางคาดเดาโดยไม่มีเหตุผล ก่อนหน้านี้เสด็จแม่ก็เคยกล่าวเรื่องทำนองนี้มาก่อน ว่าอยากให้นางแต่งงานกับลูกชายคนที่สองของกั๋วกง
ฮองเฮากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเบาและราบเรียบอย่างมาก “อย่างไรข้าก็เป็นแม่ในนามของเจ้า ข้าต้องดูแลเรื่องใหญ่อย่างงานอภิเษกของเจ้า ตอนที่จักรพรรดิองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องการอภิเษกของพวกเจ้า ข้าเองก็มีความสุขอยู่กับการพักผ่อน แต่ตอนนี้จักรพรรดิองค์ใหม่มีแผนเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่สามารถผลักภาระให้ผู้อื่นได้”
‘เสด็จพี่จักรพรรดิก็รู้ดีว่าข้าสนิทสนมกับสุนัขรับใช้ ถึงแม้ข้าจะไม่เคยยอมรับมาก่อนว่าชื่นชอบเขา แต่เสด็จพี่จักรพรรดิก็น่าจะมองออกกระมัง’…หลินอันข่มใจเอาไว้
สีหน้าของนางจมดิ่งลงภายในพริบตา และกล่าวด้วยความเคารพที่แฝงไปด้วยความไม่แยแส “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรบกวนฮองเฮา เดี๋ยวหลินอันคุยกับเสด็จพี่จักรพรรดิเองได้เพคะ”
ฮองเฮาเหลือบตามองนางด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าไม่อยากแต่งงานรึ?”
หลินอันเงยหน้าขึ้นไป “ข้าไม่อยากแต่งงานกับใครทั้งนั้นเพคะ”
ฮองเฮาพยักหน้าและกล่าวเสียงเบาด้วยท่าทีเฉยเมย “ช่างเถอะ ได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าเจ้าสนิทสนมรักใคร่กับฆ้องเงินสวี่มาก ที่แท้ฝ่าบาทก็เข้าใจผิดนี่เอง”
…หลินอันมองนางด้วยสีหน้าตกตะลึง
ผ่านไปไม่กี่วินาที หลินอันก็กล่าวตะกุกตะกักว่า “สะ เสด็จแม่ตรัสว่าอะไรนะเพคะ?”
ฮองเฮากล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทต้องการให้เจ้าแต่งงานกับฆ้องเงินสวี่ หากเจ้าไม่ยินยอมก็กลับไปบอก...”
ยังไม่ทันกล่าวจบ หลินอันก็กล่าวแทรกขึ้นมาเสียงดังว่า “ในเมื่อเสด็จพี่จักรพรรดิตรัสเช่นนี้แล้ว ต่อให้หลินอันไม่ยินยอม อย่างไรก็ทำได้เพียงเชื่อฟัง รบกวนฮองเฮาจัดการด้วยเพคะ”
ฮองเฮาจ้องนางครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ผ่านเรื่องราวมากมาย เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ข้าเองก็พูดอะไรที่ต้องพูดเรียบร้อยแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ”
“หลินอันทูลลาเพคะ!”
นางทำความเคารพด้วยสีหน้าปกติและออกไปจากตำหนักเฟิ่งชีพร้อมกับนางกำนัลสองคน
ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากตำหนักเฟิ่งชี เข่าของหลินอันก็อ่อนระทวยจนเกือบจะล้มลงไปที่พื้น
“องค์หญิงเพคะ…”
โชคดีที่นางกำนัลทั้งสองผู้มีสายตาเฉียบแหลมและมือที่ว่องไวสนับสนุนนางได้ทัน
“องค์หญิงเป็นอะไรไปหรือเพคะ? บ่าวไปเรียกหมอหลวงก่อนนะเพคะ”
นางกำนัลที่อยู่ทางด้านซ้ายรีบวิ่งออกไปไกลทันที
หลินอันพิงร่างไปที่นางกำนัลอีกคนเบาๆ ด้วยความมึนงงและเหม่อลอย
“องค์หญิง พระองค์ทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ?”
เมื่อเห็นเช่นนั้น นางกำนัลก็ร้อนรนขึ้นมาทันที
หลินอันได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นตุบๆ ภาพเบื้องหน้าเริ่มมืดลง นางอยากจะยกยิ้มแต่น้ำตากลับไหลออกมา นางกล่าวพึมพำว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร…”
…
กลางดึก ซินเจียงตอนใต้
บริเวณรอบภูเขาสือว่าน มีภูเขาสูงชื่อว่า ‘หุบเขาชิงเฟิง’
ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า เงาหนาทึบกำลังวุ่นอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่สว่างไสว มีทั้งแบบรูปลักษณ์ภายนอกเป็นมนุษย์ แบบที่เป็นมนุษย์แต่ลักษณะเฉพาะเป็นสัตว์ และแบบที่รูปร่างเป็นสัตว์อย่างสมบูรณ์
เหล่าเผ่าปีศาจจำนวนมากมายกำลังโยนสิ่งมีชีวิตลงไปในหลุมขนาดใหญ่ ซึ่งในบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีสิ่งมีชีวิตทุกประเภท
ถ้าพวกมันไม่กำลังหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายก็กำลังหมดสติโดยไม่รู้ถึงชะตากรรมที่กำลังมาถึงของตนเอง
บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ลั่วอวี้เหิงเหยียบอยู่บนกระบี่บิน ส่วนสวี่ชีอันเหยียบอยู่บนดาบไท่ผิงโดยมีไป๋จีเกาะอยู่บนไหล่
“การเซ่นไหว้อันยิ่งใหญ่และนองเลือด” สวี่ชีอันมองลงไปเบื้องล่างพลางกล่าวเสียงทุ้ม
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกรวบรวมเพื่อจุดประสงค์ในการฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเสินซู
เสินซูถูกผนึกเป็นเวลาห้าร้อยปี เลือดและชี่หมดพลังลง สิ่งนี้ไม่สามารถฟื้นฟูได้เพียงแค่ฝึกลมหายใจแบบสบายๆ หากต้องการฟื้นฟูพลังระดับบรรลุธรรมก็จำเป็นต้องดูดซับพลังในระดับเดียวกัน
ในมุมมองของสวี่ชีอัน มันสอดคล้องกับความถาวรของพลังงาน
ยาโลหิตของระดับบรรลุธรรมหายากเกินไป เช่นนั้นจึงมีเพียงการเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณเท่านั้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ
“ทำไมหรือ นักดาบผู้พิชิตคนพาลช่วยคนดีอย่างฆ้องเงินสวี่ทนเห็นสิ่งมีชีวิตด้านล่างเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้รึ?”
ลั่วอวี้เหิงหยอกล้อด้วยรอยยิ้มราวกับแมวยั่วสวาท
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบตรงๆ แต่กล่าวด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งว่า “ความสำเร็จของนายพลคนหนึ่ง ต้องแลกมาซึ่งความเจ็บปวดล้มตายของทหารนับพัน”
เขาตอบกลับอีกว่า “มนุษย์เป็นสิ่งที่รู้จักปรับตัวและยังจำเป็นต้องตัดสินใจเลือก การทำตามหลักการบางอย่างอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ใช่สิ่งที่คนฉลาดทำ”
ลั่วอวี้เหิงยกมือขึ้นแสดงรอยยิ้มปลาบปลื้ม แขนเสื้อกว้างเลื่อนลง เผยให้เห็นข้อมือขาวราวกับหยกขาวที่ค่อยๆ ลูบศีรษะของเขาอย่างแผ่วเบา “เจ้าไม่มีความคิดคร่ำครึมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
ในขณะที่กล่าว เสียงสะท้อนดังสนั่นลั่นมาจากในป่าด้านล่าง ต้นไม้ล้มจนราบเป็นหน้ากลอง
ในมุมของสวี่ชีอัน เขาสามารถมองเห็นงูยักษ์เกล็ดสีดำได้โดยตรง มันเลื้อยอย่างช้าๆ บดขยี้ต้นไม้ทุกต้นที่มันเลื้อยผ่าน
‘ฟ่อ ฟ่อ…’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง