ณ ห้องทรงพระอักษร
จักรพรรดิหนุ่มหย่งซิ่ง นั่งหน้าเคร่งขรึมอยู่หลังโต๊ะขนาดใหญ่ปูด้วยผ้าไหมสีเหลือง ฟังสมุหราชเลขาธิการที่เพิ่งรับตำแหน่งมาใหม่ ถวายรายงานจากเฉียนชิงซูปราชญ์มหาสำนักประจำตำหนักอู่อิง
หลังจากหวางเจินเหวินพักฟื้นจากอาการเจ็บป่วย ภายในราชสำนักได้มีการผลักดัน ผ่านการช่วงชิงจากฝ่ายต่างๆ มากมาย ตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการจึงตกเป็นของเฉียนชิงซู ปราชญ์มหาสำนักประจำตำหนักอู่อิง
ยังคงเป็นพรรคพวกจากพรรคหวาง
“เกิดการปล้นชิงทรัพย์เหล่าตระกูลขุนนางทั่วทุกหนทุกแห่ง ทั้งในเจียงโจวและเจี้ยนโจว แม้กระทั่งผู้คนในเมืองเองก็รู้เห็นเป็นใจสมรู้ร่วมคิดกับพวกนอกรีต,นอกรีตนอกรอย เปิดประตูเมืองจากด้านใน ปล่อยให้พวกโจรเข้ามาปล้นสะดม
“เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่”
เฉียนชิงซูผู้มีเคราแพะสีขาวกล่าวเสียงขรึม
“ฝ่าบาท โปรดส่งกองกำลังไปปราบกองโจรโดยเร็ว มิเช่นนั้นความโกลาหลอาจมาเยือน” หากเราไม่รักษาเสถียรภาพแนวหลังไว้ได้ สถานการณ์ในชิงโจวคงถึงคราววิกฤต”
เหล่าพรรคหวางทั้งหลายต่างเริ่มเห็นด้วยทีละคน
สมาชิกพรรคหวางทั้งสองฝ่ายแบ่งแยกกัน โดยครึ่งหนึ่งนิ่งเงียบ อีกครึ่งเห็นด้วย
การปล้นชิงทรัพย์บรรดาชนชั้นสูง เป็นเพียงการปั่นประสาทพวกราชนิกุลชนชั้นสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฝ่าบาททรงไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนเซ็งแซ่ หลิงหงรองหัวหน้าสำนักตรวจสอบฝ่ายซ้ายจึงก้าวออกมา พลางโค้งคำนับ
“สงครามในชิงโจวนั้นเปรียบเหมือนไฟลามทุ่ง ทางราชสำนักควรกระทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยหยางกงหยุดยั้งกลุ่มกบฏในชิงโจว” แต่ราชสำนักขาดแคลนทั้งกำลังทรัพย์และเสบียง จะใช้กำลังของชาติต่อกรกับพวกกลุ่มกบฏได้อย่างไร
“แต่คนพวกนั้นเป็นเพียงพวกหัวมังกุท้ายมังกรที่รวมตัวกัน ยากจะขยายวงกว้าง”
อดีตสมาชิกพรรคเว่ยรีบเอ่ยเสริม สนับสนุนข้อกล่าวโทษของหลิวหงหัวหน้าพรรคคนปัจจุบันทันที
ทันใดนั้นสมาชิกในพรรคหวางก็พรวดพราดออกมาโต้กลับทันควัน
“พวกหัวมังกุท้ายมังกรงั้นหรือ? ทุกวันนี้เหล่าคนพลัดถิ่นกลับกลายเป็นมหันตภัย ต่างหันมาปล้นทรัพย์และเสบียง ย่อมเป็นกองกำลังที่ควรพึงระวังอยู่แล้ว หากปล่อยไว้ แม้นกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวยังมาไม่ถึงเมืองหลวง แต่กองโจรนอกรีต,นอกรีตนอกรอยเหล่านั้นต้องเข้ามาก่อนเป็นแน่แท้”
ทั้งสองฝ่ายเริ่มโต้เถียงกัน การหารือในห้องทรงพระอักษรกลายเป็น ‘ประชุมราชสำนักขนาดย่อม’ หละหลวมไม่ได้เข้มงวดเท่าประชุมราชสำนักช่วงเช้า การถกเถียงจึงกลายเป็นสงครามอันดุเดือด
จักรพรรดิหย่งซิ่งทอดพระเนตรด้วยแววตาเย็นเยียบ ตั้งแต่เว่ยเยวียนวายชีพและสมุหราชเลขาธิการหวางล้มป่วยกระทั่งจวบจนทุกวันนี้ สถานการณ์ภายในราชสำนักยังคงแบ่งเป็นสองฝักฝ่าย และทั้งสองฝ่ายก็สร้างความวุ่นวายไม่น้อย
เขากวาดมองเหล่าข้าหลวง ก่อนสายตาหยุดอยู่ที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่ พลางตรัสเสียงราบเรียบ
“ใต้เท้าผู้พิพากษามีความเห็นอย่างไร”
ทุกสายตาของบรรดาข้าราชการชั้นสูงจึงพุ่งไปทางผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่อายุอานามมากกว่าห้าสิบปี แต่ระหว่างเส้นผมและหนวดเคราไร้สีขาว ดูราวกับบำรุงรักษาอย่างดี
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า เราควรใช้ยุทธวิธีรักษาความสงบสุขจากกลุ่มโจรพลัดถิ่น โดยประทานตำแหน่งข้าหลวงให้หัวหน้ากองโจร เพื่อให้นำพ่ายพลเหล่านี้ไปต่อกรกับกลุ่มกบฏในชิงโจว”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่กล่าว
จักรพรรดิหย่งซิ่งแน่เงียบไม่เอ่ยวาจา จนผ่านไปครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ เอื้อนเอ่ย
“เรื่องนี้ต้องพักไว้ก่อน”
เสียงชะงักครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงขรึม
“แนวป้องกันชั้นแรกในชิงโจวถูกพวกกลุ่มกบฏยึดครองแล้ว การโจมตีพวกกลุ่มกบฏของหยางกงล้มเหลวอย่างมหันต์ อ้ายชิงทั้งหลายมีผู้ใดบอกเราได้บ้างว่า ชิงโจวแห่งนี้สามารถเฝ้าระวังได้หรือไม่? มันจะอยู่ได้นานเท่าใด?”
ไม่มีผู้ใดตอบ
พระพักตร์เคร่งขรึมของจักรพรรดิหย่งซิ่ง หันมองเจ้ากรมทหารและเจ้ากรมการคลัง
“อ้ายชิงทั้งสอง ที่เราสั่งให้พวกเจ้าส่งกำลังพลและเสบียงสนับสนุนชิงโจว มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง?”
เจ้ากรมการคลังก้าวออกมา โค้งคำนับพร้อมกล่าว
“เรื่องนี้ต้องการเวลา ขอฝ่าบาทโปรดให้เวลาอีกชั่วยามหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีจักรพรรดิหย่งซิ่งต้องการตำหนิกล่าวโทษ หากแต่เมื่อมองไปยังใบหน้าซีดเซียวของเจ้ากรมการคลัง จึงทำได้แต่ถอนหายใจ ไม่ได้สร้างความลำบากใจอะไรอีก
จากนั้นจึงหันมองเจ้ากรมทหาร แล้วตรัสเสียงเรียบ
“จ้าวจวิ้นหรูผู้ที่เจ้ากรมสวี่แนะนำมาให้ ถวายฎีกาให้แก่เรา แนะนำให้นำกองทัพเข้าสนับสนุนชิงโจว เขาจะนำพาอ้อมไปโจมตีอวิ๋นโจว ทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏ ช่างเป็นขุนพลที่หาได้ยากเสียจริง”
เจ้ากรมทหารสั่นไหวในใจ มองจักรพรรดิหย่งซิ่งด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม หากแต่แววตากลับเย็นยะเยือก เหงื่อชื้นผุดบนขมับ เอ่ยอย่างร้อนรน
“กระหม่อมมีตาหามีแววไม่ ฝ่าบาทโปรดลงโทษ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งเมินเฉย ปล่อยให้เขายืนโค้งคำนับ กวาดมองบรรดาข้าราชการชั้นสูงด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา
“หากต้องการเสบียงก็ไม่มี ต้องการกำลังไว้สู้รบก็ไม่มีอีก ราชสำนักเลี้ยงดูทั้งพวกเจ้าและกำลังพลกลุ่มนี้มาตั้งหกร้อยปีมิใช่หรือ? ดีแค่ไหนแล้วที่เมืองแดนประจิมไม่ได้ยกกองกำลังเข้ามาตีเมืองหลวง เพียงแต่ก่อกวนแถบชายแดนเหลยโจวเท่านั้น
“หาไม่แล้ว เวลานี้กองทัพจากแดนประจิมคงยกทัพมาตีเมืองหลวงแล้วกระมัง”
เมื่อเอ่ยถึงช่วงท้าย จักรพรรดิหย่งซิ่งจึงแผดเสียงก้องกังวาน
บรรดาข้าราชการชั้นสูงแน่นิ่ง รู้ว่าเขากำลังตำหนิที่เตรียมเงินและเสบียงไม่ทันกาล และไม่สามารถส่งกองกำลังล่วงหน้าไปยังชิงโจวได้
แต่ถ้าคลังหลวงมีกำลังทรัพย์มากพอ กองกำลังเสริมคงยกค่ายพลไปชิงโจวเสียตอนนี้
ในช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ กรมการคลังได้จัดเก็บภาษีและความมั่งคั่งจากน้ำพักน้ำแรงของราษฎร ด้วยสิ่งนี้ทางราชสำนักจึงกระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในยามศึกสงคราม และเป็นเช่นนี้มาทุกราชวงศ์
การกระทำเช่นนี้จึงส่งผลให้ราษฎรสะสมความขุ่นข้องหมองใจ พลอยทำให้ความแข็งแกร่งของชาติบ้านเมืองอ่อนกำลังลง
หากสงครามยุติลง ก็สามารถกล่าวได้ว่า เมื่อทางราชสำนักปราชัย ราษฎรหันกลับมาตอบโต้ ตามด้วยชะตากรรมของประเทศถึงคราวสูญสลายในทันที
“สถานการณ์ในสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กองกำลังแนวหน้ากำลังต่อสู้อย่างสุดชีวิต หากไม่ได้เตรียมกำลังทรัพย์ เสบียงและกองกำลังไว้แต่เนิน เจ้ารู้ไหมว่าจะทำให้ล่าช้าเพียงใด?”
จักรพรรดิหย่งซิ่งบริภาษครั้งใหญ่
บรรดาข้าราชการชั้นสูงยังคงนิ่งเงียบ
เวลานี้เอง เกิดแสงรำไรเกิดขึ้น เงาร่างผู้หนึ่งปรากฏระหว่างองค์จักรพรรดิและบรรดาข้าราชการชั้นสูง นั่นก็คือจ้าวโส่ว
เขาสวมชุดคลุมขงจื๊อสีขาวนวลถักทออย่างพิถีพิถัน ผมหงอกขาวปล่อยสยายลงมาอย่างสบายๆ รูปลักษณ์โดยรวมดูเหมือนบัณฑิตที่ตกอับหรือบัณฑิตชราภาพ
จักรพรรดิหย่งซิ่งและข้าราชการชั้นสูงประหลาดใจครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจ้าวโส่วจะ ‘บุกรุก’ เข้ามาในวังหลวง
“ฝ่าบาท!”
จ้าวโส่วฉีกยิ้มพร้อมโค้งคำนับ
จักรพรรดิหย่งซิ่งนิ่งเฉย ทรงแย้มพระโอษฐ์พอเป็นพิธี
“เจ้าสำนักศึกษา หากไม่มีเรื่องอันใดเจ้าคงไม่ปรากฏ”
จ้าวโส่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องที่ว่าอยู่หน้าโต๊ะฝ่าบาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งก้มพระพักตร์ด้วยความงุนงง เห็นว่าบนโต๊ะมีฎีกาฉบับใหญ่ เขาหยิบมันขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ และเมื่อเงยพระพักตร์ขึ้นมองอีกครั้ง จ้าวโส่วก็หายไปเสียแล้ว
ข้าราชการชั้นสูงต่างมองจักรพรรดิหย่งซิ่ง รอพระองค์ตรัสวาจา
จักรพรรดิหย่งซิ่งคลี่ฎีกาออก ขณะกำลังอ่าน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เริ่มจากตกตะลึง ตามด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด หลังจากอ่านหน้าท้ายๆ ดวงเนตรก็เบิกกว้าง ดูไปแล้วเหมือนเห็นบางสิ่งที่น่าประหลาดใจ
จากนั้นความประหลาดใจก็ผันเปลี่ยนเป็นความปีติยินดี
“ดี ดีมาก!”
จักรพรรดิหย่งซิ่งอารมณ์ดี “มีกองกำลังติดอาวุธจากเผ่ากู่เข้ามาเพิ่ม ชะลอเรื่องเร่งด่วนอย่างชิงโจวไปได้ ฆ้องเงินสวี่ทำให้เราประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียจริง”
กองกำลังติดอาวุธจากเผ่ากู่? ฆ้องเงินสวี่…บรรดาข้าราชการชั้นสูงต่างมองหน้ากันและกัน
แววตาเฉียนชิงซูวาวโรจน์ครู่หนึ่ง
“ฝ่าบาท ทรงมีเรื่องน่ายินดีบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งไม่ได้ตอบกลับ เพียงมองจ้าวเสวียนเจิ้น ขันทีกุมตราลัญจกรใต้บัลลังก์แล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม
“แจ้งข่าวแก่ขุนนาง”
จ้าวเสวียนเจิ้นรับมันด้วยความเคารพ แม้นในใจจะอยากรู้อยากเห็นเต็มประดา แต่ไม่กล้าแง้มดูเนื้อหา ก่อนจะส่งฎีกาต่อให้เฉียนชิงซู สมุหราชเลขาธิการคนใหม่
เฉียนชิงซูมีสีหน้าสงบ หากแต่ความว่องไวในการรับฎีกานั้นรวดเร็ว เขาคลี่ฎีกาออกอ่านอย่างละเอียด หลังจากนั้นต่อมาก็สูดลมหายใจเข้าลึก
“เจ้ากรมหลิวนอนหลับสนิทได้แล้วล่ะ”
เจ้ากรมหลิวตั้งแต่แก่ขึ้นกว่าเดิมหลายปี ตั้งแต่ภัยหนาวโหมซัดเข้ามา ทำเอาตีนผมหน้าผากของเจ้ากรมการคลังขยับขึ้นไปหลายเซนติเมตร
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจ้ากรมหลิวแหงนมองทันที พลางรีบเอ่ย
“หมายความว่าอย่างไร? เร็วสิ ให้ข้าดูด้วยเร็วเข้า”
ข้าไม่ใช่พวกพ้องเจ้าเสียหน่อย…เฉียนชิงซูส่งฎีกาให้เจ้ากรมอาญาซุนด้านหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อเจ้ากรมซุนอ่านจบ ใบหน้าจึงสะท้อนความซับซ้อน ทั้งดีใจและประหลาดใจ
รู้สึกเสียใจที่แต่ก่อนเจ้าเด็กคนนั้นเคยถูกมองว่าเป็นตะปูในตา หนามในเนื้อ บัดนี้กลับกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ของจิ่วโจว บุคคลผู้ที่ยากจะเอื้อมถึง
ฎีกาถูกหมุนเวียนเปลี่ยนมือส่งต่อในข้าราชการชั้นสูง ใบหน้าชราภาพดูโล่งใจและชื่นชมยินดี ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นเจ้ากรมหลิว
“ถ้าเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ในชิงโจวต้องคลี่คลายลงอย่างแน่นอน ข้าค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย หลับสบายแล้วสินะ…” เจ้ากรมหลิวมีความสุขล้นน้ำตาแทบไหล
“ฆ้องเงินสวี่ทำให้เผ่ากู่และต้าฟ่งเป็นพันธมิตรต่อกันได้ ไม่น่าเชื่อเลย ไม่น่าเชื่อจริงๆ “
น้ำเสียงในการเอ่ยชมสรรเสริญเยินยอไม่ได้ปกปิดสักนิด
เสียงกระซิบกระซาบจากเหล่าข้าราชการชั้นสูงดังขึ้น
“ใช้กำลังทรัพย์น้อยเพียงนี้จ้างคนเผ่ากู่ไปรบ เขาทำได้อย่างไรกัน?”
“เผ่ากู่กับต้าฟ่งของเรามีความเกลียดชังที่ฝังลึกต่อกัน ตอนนี้ไม่ได้เป็นพันธมิตรกับอวิ๋นโจว แต่เป็นกับต้าฟ่งของเราอย่างงั้นหรือ?”
“เขาสร้างความประทับใจให้กับผู้คนเสมอ แม้นเขาจะไม่เหมือนเว่ยเยวียน แต่สามารถเป็นผู้นำกองทัพทั้งสามได้อย่างไร้เทียมทาน” แต่ในฐานะจอมยุทธ นับได้ว่าเขาก็เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน”
“มีเขากับท่านโหราจารย์อยู่ ต้าฟ่งก็มีความหวังอยู่บ้างไม่มากก็น้อย…”
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า
“เรื่องข้อสนธิสัญญาก็ให้สำนักราชเลขาธิการเป็นผู้ร่าง บรรดาอ้ายชิงย่อมโต้แย้งได้”
บรรดาข้าราชการชั้นสูงกล่าว
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
…
หลังจากจบการประชุม หัวใจที่หนักอึ้งของจักรพรรดิหย่งซิ่งก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เรื่องเผ่ากู่เชื่อมสัมพันธไมตรีกับต้าฟ่ง เป็นข่าวคราวที่สร้างกำลังใจให้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่จักรพรรดิหย่งซิ่งยังมีอีกเรื่องหนึ่งติดอยู่ในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง