ด่านแปดทุกข์ ค่ายกลที่ภิกษุชั้นสูงสำนักพุทธใช้เบิกเนตร เมื่อใช้ด่านนี้แล้ว ความกลัดกลุ้มจะมลายหายและสติจะบังเกิด
ตั้งแต่นั้นจึงได้บวชเป็นภิกษุสำนักพุทธและรู้ซึ้งในพระธรรมนับแต่นั้นมา
ในทางกลับกันก็จะตกอยู่ในแปดทุกข์ตลอดกาล จิตเดิมแตกสลาย
แน่นอนว่าภิกษุทุกรูปที่เข้าสู่ด่านแปดทุกข์เพื่อฝึกฝนพุทธจิตย่อมได้รับความสนใจจากพระอรหันต์ไม่ก็พระโพธิสัตว์เพื่อรักษาจิตเดิมให้มั่นคง
สรุปสั้นๆ ที่จริงด่านแปดทุกข์คือหนึ่งใน ‘อนิจจังทั้งสี่’ ของสำนักพุทธ
หากอาซูหลัวยังคงเป็นอาซูหลัว หรือบุตรแห่งอสูรที่ถวายตัวให้พระพุทธคุณ เช่นนั้นเขาก็ไม่หวาดหวั่นต่อด่านแปดทุกข์
เมื่อเห็นว่าอาซูหลัวไม่เข้าสู่ด่านเสียที ตู้เอ้อร์จึงเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“อมิตตาพุทธ อาซูหลัวไฉนจึงลังเล”
เสียงทะลุผ่านอาวุธเวทมนตร์เข้าสู่แดนพุทธะภายในขันทอง
อาซูหลัวเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“เพียงหวนนึกถึงเรื่องในอดีต เรื่องในอดีตที่กลายเป็นหมอกควันไปแล้ว”
พูดจบเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไป แล้วก้าวเข้าสู่ด่านแปดทุกข์
ตู้เอ้อร์หรี่ตาเล็กน้อย เมื่อจ้องมองอาซูหลัวในด่านก็พบเพียงบุตรคนสุดท้องของราชันอสูรที่หน้าตาอัปลักษณ์แต่อาจหาญไม่ธรรมดา จังหวะก้าวเชื่องช้า ทว่าฝ่าด่านแปดทุกข์อย่างแน่วแน่
สีหน้าของเขาเรียบเฉยตลอดขั้นตอน
เมื่อฝ่าด่านแปดทุกข์ อาซูหลัวกลับไม่หยุดฝีเท้า แล้วก้าวขึ้นบันไดไป ไม่นานนักก็มาถึงอารามโบราณบนยอดเขา
มีระฆังสำริดอยู่บนยอดอาราม
อาซูหลัวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ แล้วพนมมืออยู่หน้าระฆังสำริดพร้อมท่องบทสวด
“แก๊ง!”
เขาเหวี่ยงไม้ระฆังและเคาะให้เกิดเสียงแรก
ระฆังสำริดเก่าส่งเสียงระฆังเสนาะเป็นกังวาน รวมถึงแสงสีทองประหนึ่งระลอกคลื่น
“แก๊งๆๆ…”
เสียงระฆังดังขึ้นไม่ขาดสาย แสงสีทองระลอกคลื่นผ่านร่างของอาซูหลัวทีละชั้น แสงสีทองสว่างขึ้นที่หว่างคิ้วก่อน จากนั้นร่างกายก็ถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองเบาบาง โปร่งแสงวาวใส
สิ้นเสียงที่แปดสิบเอ็ด อาซูหลัวก็ปล่อยไม้ระฆัง พนมมือพร้อมก้มศีรษะลง
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์จีบมือพร้อมรอยยิ้ม
“พุทธจิตไร้มลทิน ข้าจะกลับไปรายงานพระโพธิสัตว์กว่างเสียน ช่วงไม่กี่วันนี้รอบนอกภูเขาสือว่านมีไอปีศาจรุนแรง ไฟในการกอบกู้ดินแดนของปีศาจตอนใต้ที่เก็บกดมาห้าร้อยปี บัดนี้อยากจะเผาทั้งภูเขาสือว่าน ข้ารอรับคำสั่งให้ปกป้องซินเจียงตอนใต้ มิอาจชะล่าใจได้”
อาซูหลัวพยักหน้า
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
…
ซินเจียงตอนใต้
ลี่น่ากัดมันเทศอยู่นอกลาน ปรายตามองแผ่นหลังเล็กด้านข้าง แล้วอธิบายอย่างเอือมระอา
“ข้าไม่ได้เป็นคนกินหนูจริงๆ”
เสี่ยวโต้วติงประคองมันเทศของนางและกัดอย่างเงียบๆ ใช้แผ่นหลังเล็กกับท้ายทอยหันเข้าหาท่านอาจารย์ด้วยท่าทางไม่อยากข้องเกี่ยว
ลี่น่าเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะผลักไหล่ของสวี่หลิงอิน สวี่หลิงอินเบี่ยงร่างหนี ไม่ให้นางสัมผัส
“เฮ้ ยกมันเทศให้เจ้าก็พอแล้วสินะ”
ลี่น่าเจ้าผิวขาวเอ่ย
สวี่หลิงอินพลันหันหน้าพร้อมจ้องท่านอาจารย์ด้วยดวงตาเป็นประกาย “จริงหรือ”
ลี่น่ายังคงมองมันเทศที่เพิ่งกัดไปคำเดียวอย่างอาลัยอาวรณ์ ฝืนใจพยักหน้าพร้อมยื่นออกไป
สวี่หลิงอินแย่งมาอย่างมีความสุข แล้วกอดไว้ในอ้อมอก
“ไม่โกรธแล้วหรือ”
“อื้อ! ”
สองครูศิษย์ก็กลับมาคืนดีกันอีกครั้ง
ลี่น่ายักคิ้วหยีตาพร้อมเอ่ย
“เช่นนั้นหากมีของดีจะแบ่งปันท่านอาจารย์หรือไม่ ยกมันเทศให้อาจารย์ลูกหนึ่งเถอะ”
เสี่ยวโต้วติงยักคิ้วตาหยีเช่นกัน ก้มหน้าพร้อมทำเสียง ‘ถุยๆ’ ลงไปที่มันเทศ
ลี่น่า “…”
…
ภายในห้อง สวี่ชีอันออกมาจากเจดีย์พุทธะ หันหน้ามองรอบๆ ไม่เห็นลั่วอวี้เหิง
กลิ่นกายหอมเจือจางของราชครูที่หลงเหลืออยู่ในอากาศ รวมถึงกลิ่นแปลก
พร้อมกับเตียงระเกะระกะ
แม้จิ้งจอกขาวน้อยจะเป็นลูกจิ้งจอก ทว่าก็รู้ความ ดวงตาดำใสสั่นไหว มองเตียงพร้อมเอ่ยอย่างเดือดดาล
“ข้าจะบอกพี่เย่จีว่าเจ้ามีหญิงอื่นลับหลังนาง”
ปีศาจน้อยฉลาดมากอีกด้วย…สวี่ชีอันชำเลืองมองนางพร้อมเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าข้ามีหญิงอื่น เจ้ามีหลักฐานหรือ”
จิ้งจอกขาวน้อยยกอุ้งเท้าขึ้นและตบลงบนโต๊ะ แล้วขู่แง้วๆ
“ทุกครั้งที่เจ้าหลับนอนกับพี่เย่จีเสร็จ เตียงก็จะยุ่งเหยิงเช่นนี้ ข้าเห็นเจ้าตีนางด้วย” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็พลันลู่หางลงและปิดก้นเอาไว้
สวี่ชีอันขยี้ศีรษะนางพร้อมตำหนิ
“เป็นเด็กเป็นเล็กจะรู้อะไร ข้าก็แค่ปัดยุงให้นาง รีบเรียกท่านหญิงมาเร็ว ข้ามีเรื่องจะพบนาง”
เมื่อถูกฆ้องเงินสวี่แสดงอำนาจ ไป๋จีก็ยอมศิโรราบ ขดตัวอยู่บนโต๊ะ หางปกคลุมร่าง ในชั่วเวลาอันสั้นพลังจิตตานุภาพที่ทรงพลังก็ตื่นขึ้นจากร่างของนาง
จิ้งจอกน้อยขนาดเท่าสองฝ่ามือยืนขึ้น ตาซ้ายเปี่ยมไปด้วยลำแสง เสียงหวานรื่นหูถอนใจพร้อมเอ่ย
“อำนาจของข้านับวันยิ่งตกต่ำลงจนกลายเป็นคนที่เจ้าเรียกออกมาได้ทุกเมื่อแล้วหรือ”
หยุดพล่ามไร้สาระ เข้าเรื่องเถอะ…สวี่ชีอันขมวดคิ้วเอ่ย
“วันนี้ข้าวิเคราะห์รูปแบบการต่อสู้กับอาซูหลัวแล้ว พบว่าในวันนั้นเขาไม่ได้ใช้แรงทั้งหมดที่มี”
“เจ้าเพิ่งรู้สินะ” จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เจ้านี่มองเบาะแสในตอนนั้นออกจริงด้วย สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไร้อารมณ์
“ท่านหญิง ท่านทำเช่นนี้จะสูญเสียมิตรภาพจากข้าไปได้”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางทำเสียง ‘แหะ’ นั่งยองอย่างว่าง่าย เสียงกังวานนุ่มนวลเต็มไปด้วยแรงดึงดูด
“ความเป็นไปได้สองประการ ประการแรก อาซูหลัวมามีจุดประสงค์บางอย่างให้เจ้านำชิ้นส่วนของเสินซูไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย เขาอยากก้าวไปอีกขั้นแม้จะทำสำเร็จแล้วก็ตาม”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”
“อาซูหลัวกลับมาเกิดเพื่อแก้ไข กลับคืนสู่ตำแหน่งหลังจากห้าร้อยปี ผู้ที่กลับมายังคงเป็นอาซูหลัวบุตรคนสุดท้องของราชันอสูร ร่างเกิดใหม่ของเขาอยู่ที่ไหน หากร่างเกิดใหม่บรรลุขั้นสี่ก็สำเร็จปณิธานแล้ว เช่นนั้นขอเพียงสำเร็จปณิธาน เขาก็จะเป็นพระโพธิสัตว์ระดับเต๋าได้ ด้วยการสันนิษฐานเช่นนี้ ปณิธานของเขาส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือยึดซินเจียงตอนใต้ให้สำนักพุทธ ทว่าซินเจียงตอนใต้เป็นอาณาเขตของสำนักพุทธอยู่แล้ว”
สวี่ชีอันลูบคาง “ดังนั้นจึงต้องการละทิ้งใหม่อีกครั้งหรือ”
“ประการสอง ทั้งหมดนี้สำนักพุทธวางแผนหลอกเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้า พวกเราอาจจะบุกโจมตี ‘อาณาจักรตอนใต้’ ปะทะกับพระโพธิสัตว์กว่างเสียนโดยตรง ข้าหลบหนีได้แน่นอน ทว่าพวกเจ้าน่ะสิ พูดได้ยาก”
สวี่ชีอันครุ่นคิดบางอย่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง