สรุปเนื้อหา บทที่ 694 ด่านถามใจตนแห่งพุทธศาสนา – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet
บท บทที่ 694 ด่านถามใจตนแห่งพุทธศาสนา ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ลั่วอวี้เหิงยกขาเรียวขาวไว้ตรงหน้าท้องของเขา แล้วกะพริบดวงตางาม พลางเอ่ยอ้อมค้อมอย่างเศร้าสร้อยว่า “เรื่องที่เหตุใดผู้คนถึงทำร้ายสวี่หลางได้ลงคอ ก็เพราะสวี่หลางเป็นคนไร้น้ำใจไร้คุณธรรมไงเล่า เห็นกันชัดๆ อยู่ว่ามีข้าแล้ว ก็ยังจะไปพัวพันกับมู่หนานจือ ซ้ำยังพานางออกท่องยุทธภพอีก
“หากในอนาคตหลังข้าให้กำเนิดบุตร เจ้าคงได้ทิ้งภรรยาเพื่อหนีไปอยู่กับหญิงแพศยานั่นแน่”
ระหว่างที่พูดนั้น นางก็พลันกวักมือเรียกกระบี่เหล็กที่มีสนิมด่างหลายจุด ก่อนจะเล็งปลายกระบี่ที่ท้องน้อยของตน สะอึกสะอื้นกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะฆ่าลูกของเจ้าเสีย จบสิ้นสองชีวิตในหนึ่งร่าง”
ตอนนั้นเองสวี่ชีอันก็คิดถึงราชครูคนเดิมที่เคยเย็นชาห่างเหินขึ้นมาเล็กน้อย นวดคลึงหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว “ท่านราชครู สมองของท่านมีปัญหาหรือไม่”
จากนั้นกระบี่แหลมคมแสนเยียบเย็นก็มาจ่ออยู่บริเวณลำคอกะทันหัน ท่ามกลางความมืด นัยน์ตาคู่นั้นดูเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง พร้อมยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “เจ้าพูดว่าอันใดนะ ข้าไม่ค่อยได้ยิน”
“ท่านราชครู เหมือนว่าสมองของข้าจะมีปัญหานิดหน่อย อาจเป็นเพราะโดนท่านตีจนเกิดความเสียหาย หลังจากท่านเขย่าขวัญจิตเดิมของข้าแตกกระเจิงไป ได้รวบรวมวิญญาณของข้าดีๆ บ้างหรือไม่” สวี่ชีอันพลิกแพลงคำพูดทันที
สีหน้าและอารมณ์ของลั่วอวี้เหิงพลันเปลี่ยน ก่อนจะทิ้งกระบี่เหล็ก แล้วขยี้ศีรษะของสวี่ชีอันแทน “ว่าง่ายดีนี่!”
สติฟั่นเฟือนไปแล้ว อีกยี่สิบสี่ชั่วโมงให้หลังจะขอบอกลาเจ้าล่ะนะ…สวี่ชีอันรับมือด้วยการฝืนยิ้ม
ด้วยการแสดงออกของลั่วอวี้เหิง ทำให้เขารู้ว่าผู้นำเต๋าคนนี้มีความปรารถนาอันแรงกล้า และหวาดระแวงต่อมู่หนานจืออย่างยิ่ง
นอกจากจะขี้หึงรุนแรงแล้ว ยังคิดจะหมายหัวหญิงอื่นของเขาอีกด้วย ทว่าบุคลิกอื่นๆ ก็ล้วนระแวดระวังและหวั่นเกรงต่อเทพดอกไม้ทั้งสิ้น
ดูท่าในสายตาของท่านราชครู หนานจือคงเป็นศัตรูด้านความรักที่แข็งแกร่งมากที่สุดสินะ ส่วนหญิงอื่นไม่คณามือท่านเท่าไร และเทพดอกไม้น่าจะเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ท่านราชครูสูญเสียความมั่นใจในความงามสตรีของตนได้…ขณะที่ในใจคิดเช่นนี้ สวี่ชีอันก็แอบเหล่ตามองยัยตัวร้ายที่อยู่ด้านข้าง
ซึ่งยัยตัวร้ายก็ขยิบตาให้อีกฝ่าย
จากนั้นสวี่ชีอันก็ดึงสายตากลับ พลางพูดในใจว่า ไม่เป็นไร แม้ว่าเจ้าจะไม่งามเท่านาง แต่เจ้าก็อวบอั๋นดูเย้ายวนหนา
ระหว่างที่เขาหลับตาไม่ได้สนใจขาขาวนวลกำลังถูบริเวณหน้าท้อง และเริ่มทบทวนกลยุทธ์ศึกสงครามของอาซูหลัวในครานั้น
ข้าไม่เคยเอื้อมถึงระดับเต๋าแยกขันธ์มาก่อน จึงไม่รู้ว่าอาซูหลัวมิได้อ่อนให้ แต่เมื่อมานึกย้อนตอนนี้ ก็ราวกับว่าพลังระดับเต๋าแยกขันธ์ไม่ได้แกร่งกล้าอย่างที่คาดเอาไว้ ถึงโจมตีใส่ข้ารุนแรงกว่านี้อีกขั้น ทว่ามันก็ได้แค่นั้น
มาคิดดูในตอนนี้ มันก็ดูมีเรื่องลับลมคมในอย่างชัดเจน
และสำหรับเรื่องพลังต่อสู้ของเทพอารักษ์ขั้นสาม อาซูหลัวก็ไม่ได้อ่อนข้อให้แต่อย่างใด อีกทั้งเขาต้องการจะจัดการข้าจริงๆ …ทว่าหากเขาเริ่มปลดปล่อยสายเลือดแห่งอสูรขึ้นมาเล่า?
หากกายาจิตของเทพอารักษ์ขั้นสามรวมเข้ากับสายเลือดแห่งอสูร เกรงว่าคงสามารถจับข้าห้อยเฆี่ยนตีได้โดยง่าย ซึ่งก็เป็นการสามารถอธิบายได้อย่างแม่นมั่นว่าเหตุใดเขาถึงนับถือศาสนาพุทธ อำลาอดีต และไม่ยอมปลดปล่อยสายเลือดแห่งอสูรจนกว่าจะไม่เหลือหนทางอื่น
แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย…
แม้ว่าเขาและซุนเสวียนจีจะเอาชนะอาซูหลัวได้ แต่ก็เพราะการร่วมใจกันต่อสู้เป็นอย่างดี และใช้ประโยชน์จากตะปูตอกวิญญาณเพื่อก่อให้เกิด ‘การโจมตีขั้นปางตาย’ ที่ทำให้อีกฝ่ายพลังอ่อนแอลง ทว่าสุดท้ายหลังจากแย่งชิงขาทั้งสองของเสินซูได้ ก็ยังทำได้เพียงแค่หนีอยู่ดี
ดูเหมือนว่าการอาศัยตะปูตอกวิญญาณ เจดีย์พุทธะ และวิธีอื่นๆ จะทำให้ชนะไปได้อย่างหวุดหวิด
ในสายตาคนนอก ไม่ใช่ว่าอาซูหลัวมิได้แข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะสวี่ชีอันเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายมากเกินต่างหาก
ทว่าเรื่องนี้อย่างไรก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้คนของเขาเชื่อได้ เพราะในสถานการณ์นั้น ส่วนใหญ่ซุนเสวียนจีจะคอยช่วยโจมตีขณะกลัวหัวหดอยู่บนท้องฟ้า ส่วนตนที่ร่างอยู่ในขั้นสามก็รับหน้าที่ขัดขวางอาซูหลัวเพียงลำพังเป็นเวลานานมาก
วันนี้หลังจากประมือกับท่านน้า ก็น่าแปลกใจที่ยอดฝีมือระดับสูงขั้นสองไม่อาจต้านทานจอมยุทธ์ขั้นสามได้
แล้วเหตุใดเขาถึงใช้เวลาในการขัดขวางอาซูหลัวนานขนาดนั้น?
นึกไม่ถึงว่าเขาจะแสร้งแสดงต่อหน้าข้า…จากนั้นสวี่ชีอันก็พลันส่งเสียงจิ๊ปาก อาซูหลัวไม่ใช่แค่แสร้งแสดงกับเขา แต่ยังแสดงได้แนบเนียนดีอีกด้วย
ประการแรก ยามทั้งสองต่อสู้กันนั้น อาซูหลัวหมายจะจัดการสวี่ชีอันจริงๆ แต่สุดท้ายก็เป็นสวี่ชีอันที่ชนะด้วยตะปูตอกวิญญาณ ซึ่งสามารถเรียกได้ว่าเอาชนะไปได้อย่างหวุดหวิด
ในสถานการณ์เช่นนี้ โดยปกติแล้วคนมักเกิดความรู้สึกว่าที่ตนเองชนะไปนั้นเป็นดูเก่งกาจยิ่งยวด เพราะฝ่ายศัตรูดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ไหนเลยจะสงสัยเรื่องอาซูหลัวแสร้งแสดงได้เล่า?
คำถามคือ ทำไมอาซูหลัวต้องแสร้งแสดงกับข้าด้วย…อย่างแรก เขาไม่มีทางเป็นฝ่ายพันธมิตรแน่ เพราะเมื่อเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ธาตุทั้งสี่ล้วนว่างเปล่า ก็ไม่มีโอกาสที่จะมีความคิดจะทรยศหักหลังฝ่ายตัวเองด้วยซ้ำ
พระโพธิสัตว์และพระอรหันต์แห่งสำนักพุทธมิได้โง่เขลา หากอาซูหลัวทำตัวมีปัญหา ก็เป็นไม่ได้ที่จะส่งเขามาอารักขาที่ซินเจียงตอนใต้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คำตอบก็น่าจะมีอยู่อย่างเดียว นั่นก็คือภายในสำนักพุทธเกิดความขัดแย้งกัน ศึกระหว่างพุทธมหายานและพุทธหินยานร้ายแรงกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ ดังนั้นจึงต้องการศัตรูภายนอกอย่างเผ่าพันธุ์ปีศาจนี้เพื่อเปลี่ยนความขัดแย้ง?
คำอธิบายนี้นับว่าใช้ได้ เพียงแต่ยังรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป
พรุ่งนี้ต้องไปที่ภูเขาสือว่านก่อน เมื่อจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะกลับมา ก็จะได้นำเรื่องเหล่านี้บอกกับนาง ดูซิว่านางจะมีความเห็นว่าอย่างไร หากท่านน้าสามารถสังเกตเห็นได้ถึงรายละเอียดนี้ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ย่อมสังเกตเห็นด้วยเช่นกัน ทว่านางกลับมิได้พูดออกมา…ไม่ใช่ว่าไม่พูด แต่ข้าที่สามารถแย่งชิงชิ้นส่วนของเสินซูกลับมาได้ นางก็ย่อมยังรู้สึกใจหายใจคว่ำอยู่
หลังจากช่วยฟื้นฟูอาณาจักรหมื่นปีศาจ เชลยศึกอย่างตู้เอ้อร์หรืออาซูหลัวถอดตะปูตอกวิญญาณดอกสุดท้าย และศึกสงครามแห่งภูเขาสือว่านจบลง ก็อาจเกิดความสั่นสะเทือนไปทั้งจิ่วโจว…
ระหว่างที่ความคิดกำลังล่องลอยอยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงลิ้นน้อยๆ ที่ทั้งอุ่นและเปียกเลียแก้มหลายครา
“อะไรเนี่ย!”
ยามสวี่ชีอันหันหน้ากลับไป ก็เห็นดวงหน้างามอยู่ข้างเตียง
ยัยตัวร้ายแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ก่อนที่ดวงหน้างามนั้นจะเผยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ แล้วเชิดคางขาวดุจหิมะขึ้น พูดจายั่วยวนว่า “มาบำเพ็ญคู่กันเถิด”
สวี่ชีอันพลิกตัวกดอีกฝ่ายลงทันที “กายาจิตขั้นสามของข้ามิได้อ่อนแอนะ เตรียมใจร่ำไห้หรือยังล่ะ”
…
วันต่อมา ภายในเจดีย์พุทธะ
ขณะที่สวี่ชีอันกำลังพนมมือ โดยนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ผู้เฒ่าพระถ่าหลิง ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มว่า
“ไต้ซือ ข้าบรรลุธรรมแล้ว”
ยามที่เขาพูดประโยคนี้ ใบหน้าฆ้องเงินสวี่ดูปราศจากความปรารถนาทางโลกใดๆ
ผู้เฒ่าพระถ่าหลิงมองเขา แล้วพยักหน้าอย่างปลื้มปีติ “ดี!”
มู่หนานจือที่อุ้มไป๋จีอยู่ด้านข้าง ก็ยิ้มเย็นชากล่าว “ไต้ซือ เขาบรรลุธรรมมาสองรอบแล้วล่ะ”
สวี่ชีอันจ้องมองนางชั่วครู่หนึ่ง ก่อนดึงเทพดอกไม้ไปอีกฝั่ง เทพดอกไม้ก็เดินโซเซโดนลากไปที่ซอกมุมหนึ่ง โดยมีสีหน้าบึ้งตึง “ใครอนุญาตให้เจ้าแตะตัวข้า”
ไป๋จียกอุ้งเท้าตะปบใส่สวี่ชีอัน พลางเกาะแขนมู่หนานจือแน่น และพูดตะโกนว่า “ปล่อยนะ ปล่อย!”
ยามนี้มันจึงดูเหมือนลูกที่ยืนหยัดปกป้องอยู่ข้างมารดา
สวี่ชีอันชักมือกลับ และส่งเสียง ‘เฮอะ’ พร้อมใช้หัวไหล่ดุนนาง “หึงหวงหรือ?”
มู่หนานจือตอบกลับด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “หึงหวง? เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือที่สตรีทั่วใต้หล้าล้วนหลงรักเจ้าจนถอนตัวไม่ขึ้น?
ไป๋จีพูดเสียงเจื้อยแจ้วเสริม “นั่นสิๆ”
ไม่หรอกๆ ความชื่นชอบที่เหล่าสตรีมอบให้ข้า ล้วนเทียบหลี่หลิงซู่ไม่ติดหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ เขาสิถึงนับว่าเป็นขาใหญ่ที่มีหญิงอยู่ทั่วทุกมุมใต้หล้า…สวี่ชีอันมองไป๋จี แล้วพูดพึมพำว่า “พรุ่งนี้ข้าต้องไปซินเจียงตอนใต้ ช่วงเวลานี้ เจ้าก็อย่าออกมาล่ะ”
มู่หนานจือพลันตาแดงฉาน และจดจ้องไปที่เขา
“ทำไม รังเกียจว่าข้าจะไปขัดขวางการบำเพ็ญคู่ของพวกเจ้าหรือ?”
จากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยวาจาเหน็บแนมว่า “ยังมิได้ไถ่ถามเลยว่าการบำเพ็ญคู่ของฆ้องเงินสวี่กับราชครูเป็นอย่างไรบ้าง คิดดูแล้วคงดูดดื่มกันมากละสิท่า ถึงไม่ยินดีแยกจากกันแม้เพียงเวลาสั้นๆ”
อย่างไรมันก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่ดี…สวี่ชีอันทำสีหน้าจริงจัง “มิใช่เช่นนั้น เจ้าอาจไม่รู้ว่าบุคลิกในตอนนี้ของลั่วอวี้เหิงคือ ‘ร้าย’ ที่มาจากคำว่าร้ายกาจ เมื่อคืนนางบังคับข้าให้เอาเจ้าออกจากเจดีย์พุทธะ และต้องการจะฆ่าเจ้าด้วยมือตัวเอง”
สีหน้ามู่หนานจือเปลี่ยนทันที
จากนั้นสวี่ชีอันก็เอ่ยต่อ “ข้าย่อมไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว จึงทะเลาะกับนางไปยกใหญ่”
มู่หนานจือก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวด้วยความหงุดหงิดและโมโห “นางทำร้ายเจ้าหรือ?”
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างอัดอึดใจ กุมมือมู่หนานจือ แล้วพูดเสียงอ่อน
“ข้าเป็นคนหนังหนาไม่เป็นอะไรหรอก แต่เจ้าไม่เหมือนกัน และข้าจะไม่มีทางปล่อยให้นางทำร้ายเจ้าอย่างแน่นอน”
ความโกรธในใจของมู่หนานจือลดลงไปครึ่งส่วน จากนั้นก็ดึงมือกลับเบาๆ ก่อนเอ่ยฮึดฮัดว่า
“ข้าและเจ้าต่างเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน อย่าพูดจาอุตริเช่นนี้”
นางเม้มริมฝีปาก เพื่อปิดซ่อนรอยยิ้มตรงมุมปากที่เผยอขึ้น
สวี่ชีอันรู้ดีว่าควรหยุดเมื่อได้เปรียบ ก่อนจะพูดเสริมว่า
“แต่ไป๋จีต้องออกไปกับข้า เพราะข้าต้องใช้มันเพื่อติดต่อกับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง”
มู่หนานจือกล่าวอย่างกังวล “แต่เจ้าบอกว่าลั่วอวี้เหิงร้ายกาจมากนี่ นางจะไม่ทำให้ไป๋จีลำบากใจเอาหรอกหรือ”
สวี่ชีอันรับไป๋จีจากอ้อมอกของนาง มาอุ้มในอ้อมแขน แล้วกล่าวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“เมื่อพวกเรากินหนูเสร็จ มันเทศที่อยู่ใต้กองไฟก็คงสุกพอดี”
ลี่น่ากล่าวเสียงกึกก้อง “จะรอหรือไม่”
“รอสิ!” เสี่ยวโต้วติงเช็ดน้ำลาย
จากนั้นลี่น่าก็สั่งการใช้ลูกศิษย์ “เจ้าไปเอาถุงใส่น้ำมาให้อาจารย์หน่อย ข้าหิวน้ำ”
เสี่ยวโต้วติงมองนางอย่างระแวดระวัง “ชะ…เช่นนั้นท่านอย่าแอบกินนะ”
หลังจากผู้เป็นอาจารย์รับปาก เสี่ยวโต้วติงถึงสาวเท้าก้าวเข้าไปยังลานด้วยขาสั้นๆ ของนาง
“คารวะท่านราชครู” เมื่อลี่น่าเห็นลั่วอวี้เหิง ก็กล่าวทักทายด้วยความเคารพ
นางมิได้เป็นคนซื่อบื้อไร้สมองอย่างสวี่หลิงอิน กอปรกับตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของคนตรงหน้า จึงรู้ถึงระดับพลังห่างชั้นต่อกัน
ไม่นานมานี้ เรื่องที่ลั่วอวี้เหิงกับสวี่ชีอันพยายามทุ่มเทกันในเหวลึกนั้น กลายเป็นตำนานคู่บำเพ็ญกวาดล้างเหวลึก ซึ่งแพร่กระจายไปทั่วเผ่าพันธุ์กู่
ลั่วอวี้เหิงพินิจมองลี่น่า “เจ้าคือคนคนนั้น คนที่ครอบครองเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี”
ลี่น่าตกตะลึงไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าท่านราชครูจะรู้ถึงสถานะของตน
ลั่วอวี้เหิงไม่หยุดจังหวะฝีเท้า และย่างกรายต่อไปยังด้านนอก
สายตาของลี่น่ามองตามนางไป สัมผัสอันเฉียบแหลมก็รับรู้ได้ว่าวันนี้ท่านราชครูมีบางอย่างผิดปกติไป
ทันทีที่นางดึงสายตากลับมา มองหนูย่างที่ใกล้จะสุกพร้อมกินอย่างใจจดใจจ่อ…แต่จู่ๆ ก็พบว่ารอบกองไฟกลับว่างเปล่า
‘หนูล่ะ ไม่มี?!’
ลี่น่าลุกขึ้นยืนอย่างลนลานทำตัวไม่ถูก มองรอบข้างทุกสี่ทิศ ‘หนูเล่า? หนูย่างทั้งหลายของข้าล่ะ?’
‘ตึกตึกตึก…’ ขณะนั้นเอง สวี่หลิงอินก็วิ่งออกมาพร้อมถุงใส่น้ำ
เมื่อเห็นรอบกองไฟว่างเปล่า นางก็หยุดนิ่งกะทันหัน
อาจารย์และศิษย์ต่างมองหน้ากัน
ลี่น่าริมฝีปากกระตุก พูดอย่างยากลำบากว่า “หนูมันวิ่งหนีไปเองแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่?”
…เสี่ยวโต้วติงทิ้งถุงใส่น้ำ แล้วนั่งดิ้นร้องไห้งอแงพลางถีบขาลงกับพื้นยกใหญ่
บริเวณด้านนอก
ลั่วอวี้เหิงผู้มีรอยยิ้มงามดั่งบุปผา และรูปโฉมอันพราวเสน่ห์ในเสื้อคลุมขนนกที่ล่องลอยตามแรงลม กำลังปล่อยผมดำขลับปลิวสยายท่ามกลางสายลมอ่อน
…
ณ วัดหนานฝ่า
ผนึกที่ล้อมรอบเจดีย์ได้พังทลายลง และแผ่ขยายออกไปวงกว้าง
หลังศีรษะของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ปรากฏแสงไฟเจ็ดสีส่องประกาย โดยที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิบนเบาะ พลางลากเคลื่อนบาตรทองคำในมือ
“หากผ่านค่ายกลแปดทุกข์ และด่านถามใจตน นี่คือความหมายของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน หากเจ้าผ่านด่านทั้งสองนี้ได้ เรื่องผนึกที่ล้อมรอบเจดีย์โดนทำลาย ก็จะคลี่คลาย”
จากนั้นภิกษุเฒ่าร่างผอมผิวดำก็ใช้สายตาที่สงบนิ่งมองอาซูหลัว
“ศิษย์เข้าใจแล้ว”
อาซูหลัวพนมมือ เดินออกไปหนึ่งก้าว ก่อนจะเข้าไปยังบาตรทองคำ
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ดึงมือกลับ จากนั้นบาตรทองคำก็ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ ตอนนั้นเองบริเวณปากบาตรทองคำก็ปรากฏม่านแสงฉากหนึ่ง
กลางม่านแสงนั้น อาซูหลัวที่สวมใส่กาสาวพัสตร์กำลังพนมมือ ตั้งตระหง่านอย่างไร้ความกลัว แต่เมื่อยืนอยู่หน้าค่ายกลแปดทุกข์ ก็กลับราวว่าไม่เคยเข้าร่วมสนามรบมาก่อน
…………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
ขอเรื่องนี้อีกเรื่องได้ไหม "เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า" ยังอ่านไม่จบเลย...
ทุกเรื่องเลยครับที่อ่านไม่จบอ่านกำลังมันอยู่ดีๆก็หยุดขอให้เรื่องนี้ไม่หยุดได้ไหมครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่จบเราก็จะไม่อ่านนิยายของ th.freechap.com แล้วครับ...