สวี่ผิงเฟิงกล่าวจบแล้วก็หันไปมองพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่สงบนิ่งไม่ไหวติง และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนท่านจะไร้ข้อสงสัย หรือว่าพวกสำนักพุทธรู้นานแล้วรึ?”
เจียหลัวซู่กล่าวเสียงเบาว่า “อันตัวข้านี้เป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นสิ่งว่างเปล่ามาตั้งนานแล้ว”
สวี่ผิงเฟิงไม่ออกความเห็นและจัดการต้มชาอย่างไม่รีบไม่ร้อน แต่จู่ๆ เขาก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาตามร่องนิ้วมือและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งว่า “โชคดีที่ชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งไม่ได้อยู่ที่ต้าฟ่งแล้ว มิเช่นนั้นแผนการฆ่าของอาจารย์เมื่อวานนี้อาจขัดเกลาพวกเราทั้งสองก็เป็นได้ รุ่นที่หนึ่งไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ นั่นเป็นเพราะสำนักพุทธของพวกเจ้าใช้คนจำนวนมากรังแกคนจำนวนน้อย”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่กล่าวอย่างไม่ยินดีและไม่โกรธ “เจ้าวางแผนจะเที่ยวเล่นอยู่ที่ชิงโจวนานเท่าใด?”
สวี่ผิงเฟิงใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดเลือดบนฝ่ามือและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คนที่ตกปลาเก่งต้องล่อปลาให้เก่งก่อน ชีก่วงป๋อยังทนได้ แล้วทำไมข้าจะทนไม่ได้”
…
ซินเจียงตอนใต้
กลางดึกที่ฝนตกหนัก!
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จะให้ข้าฆ่านางหรือ…” หญิงงามที่ไม่มีใครเปรียบได้แห่งยุคค่อยๆ พ่นออกมาจากริมฝีปากสีแดงเพลิง “ฆ่าเจ้า!”
เกิดลมพัดแรงฟ้าร้องดังสนั่น เมฆดำเคลื่อนตัวอยู่เหนือศีรษะราวกับน้ำหมึกดำ
สวี่ชีอันคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบาก น้ำฝนชำระล้างรอยเลือดบนร่างกายของเขาจนหมดจด เส้นผมเกาะติดอยู่บนใบหน้า
ดาบเหล็กที่ขึ้นจุดสนิมทาบอยู่ที่ลำคอ แสงของดาบเย็นชาไม่ต่างจากหญิงงาม
เขาเงยหน้าอันหล่อเหลาขึ้นพลางเผยรอยยิ้มอันขมขื่น “เช่นนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าเสียเถอะ”
ดวงตาของสตรีที่ไม่มีใครเปรียบได้แห่งยุคฉายแสงสว่างแวบหนึ่ง
วินาทีต่อมา ความปรารถนาและแผนการทั้งหมดของสวี่ชีอันก็หายไป
…
สวี่ชีอันลุกพรวดขึ้นจากเตียงและหอบอย่างรุนแรง เขาราวกับผล็อยหลับไปและดูเหมือนผ่านชีวิตมาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็ตื่นจากความวุ่นวายมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
หลังจากนั้นเขาก็ใช้มือซ้ายแตะที่คอของตนเองทันที ส่วนมือขวาสัมผัสอยู่ที่หว่างคิ้ว
“สวี่หลางไม่ต้องกังวล ข้าจะฆ่าเจ้าได้อย่างไร! ข้าเพียงใช้พลังดาบสั่นสะเทือนจิตเดิมของสวี่หลางเท่านั้น”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังลอยมาจากหน้าต่าง
แสงเทียนราวกับเม็ดถั่ว ที่ข้างหน้าต่างปรากฏภาพด้านหลังของร่างสูงในชุดขนนก เมื่อร่างนั้นเห็นเขาตื่นก็ปรายตามองด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
นางสง่างามไร้ที่ติ แต่ดูเหมือนจะมีอันตรายซ่อนอยู่ในความงามนั้น เมื่อรอยยิ้มของหญิงงามเบ่งบาน สวี่ชีอันก็ราวกับเห็นการกำเนิดของแม่มดที่ไร้เทียมทาน
ปวดหัวมาก...สวี่ชีอันพยายามทำจิตใจให้สงบ เขาเหมือนกับคนมึนงงที่เพิ่งฟื้นจากอาการเมาค้าง เขาค่อยๆ นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน ‘อาการโคม่า’
เขาถูกใช้ความรุนแรงแล้ว
เมื่อวานนี้ลั่วอวี้เหิงเป็นบุคลิกแห่งความ ‘ปรารถนา’ นางรบกวนเขาในการบำเพ็ญคู่ต่อเนื่องยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างไม่ขาดสาย
กว่าจะถึงยามจื่อนั้นยากเย็นแสนเข็ญ ในที่สุดก็ปล่อยความปรารถนาออกไปได้ ถึงแม้สวี่ชีอันจะทนได้เหมือนครั้งที่แล้ว แต่ก็รู้สึกถึงความอ่อนเพลียเล็กน้อย
ใครจะไปคิดว่าบุคลิกหลังจากความปรารถนาจะ ‘ชั่วร้าย’
มันเป็นบุคลิก ‘ชั่วร้าย’ ที่สวี่ชีอันไม่เคยสัมผัสมาก่อนระหว่างการบำเพ็ญคู่ครั้งที่แล้ว
หลังจากบุคลิก ‘ชั่วร้าย’ ปราฏขึ้น ประโยคแรกที่เปิดปากพูดคือ ข้าเกลียดมู่หนานจือ ข้าจะฆ่านาง และต้องการให้สวี่ชีอันนำเจดีย์พุทธะออกมาเพื่อปล่อยมู่หนานจือออกมา
แน่นอนว่าสวี่ชีอันไม่เห็นด้วย เขาจึงคิดที่จะอาศัยความเก่งกาจทางด้านฝีปากมาทำให้ลั่วอวี้เหิงพอใจ ดังนั้นจึงปัดเป่าความคิดนี้ของนางออกไปได้
ใครจะคาดคิดว่าบุคลิกชั่วร้ายจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นไร้ความรู้สึก ทั้งสะบัดผมไม่สนใจใครและเกิดความขัดแย้งกับเขาอย่างรุนแรง
สองคนทะเลาะกันอยู่ที่ชายแดนเขาป๋อ
“ข้าเอาชนะนางไม่ได้จริงๆ ถึงแม้จะพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่เคยแสดงไพ่ใบสุดท้ายออกมา ถึงแม้นางจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาก่อน แต่ช่องว่างระหว่างข้าและลั่วอวี้เหิงก็ไม่น้อยทีเดียว…สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ขั้นหนึ่ง…”
สวี่ชีอันพึมพำอย่างเงียบๆ
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” เขาจ้องมองหญิงงามที่ข้างหน้าต่างอย่างระมัดระวัง
“ข้าเพียงแค่อยากโบยบินไปกับสวี่หลาง อยู่ครองคู่กันไปตลอดชีวิต”
ลั่วอวี้เหิงกะพริบดวงตาอันงดงามช้าๆ มุมปากยกยิ้ม
นางย่างกรายอย่างนุ่มนวล เดินไปนั่งลงที่โต๊ะและเท้าคางขึ้น แสงเทียนทำให้ใบหน้าของนางสว่างไสวราวกับหยกงามที่ไร้ตำหนิและอ่อนโยนที่สุดในโลกหล้า
“แต่เจ้ามักจะนำเทพดอกไม้มาอยู่ข้างๆ ทำให้ข้าทุกข์ใจมาก” ลั่วอวี้เหิงกล่าวด้วยความทอดถอนใจ
เจ้าถูกจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสิงร่างแล้วกระมัง…สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น ท่านน้าเป็นเช่นนี้ทำให้เขาไม่ชินเล็กน้อย
“ยังมีชื่อเสียงอันน่าอับอายของเจ้าก่อนหน้านี้อีก เมื่อนึกถึงเจ้าที่เป็นคนสำมะเลเทเมา เข้าออกสำนักสังคีตเป็นว่าเล่น ตัวข้าเองก็ทุกข์ใจมาก”
ท่านน้าส่งรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์โดยไม่รอให้สวี่ชีอันตอบกลับ “มันผ่านไปแล้ว ข้าก็ไม่ควรไปสนใจ ตอนที่เจ้ากำลังหลับลึก ข้าใช้ดาบตัดกล่องดวงใจของเจ้า ข้าลำอาอดีตแทนเจ้าแล้ว เจ้าในตอนนี้สะอาดไร้มลทิน อืม เจ้าอยากดูมันหรือไม่?”
สวี่ชีอันก้มลงไปมองเป้าของตนเองและมองนางด้วยความตกตะลึงอย่างยิ่ง
ทั้งสองสบตากันอย่างสงบครู่หนึ่ง จู่ๆ ลั่วอวี้เหิงก็หัวเราะคิกคักขึ้นมา นางหัวเราะจนเสียงสั่นสะท้าน ทรวงอกอันอวบอิ่มก็กระเพื่อมตามแรงหัวเราะ
“ข้าล้อเจ้าเล่น…”
นางยิ้มหวานพลางนอนลงบนโต๊ะ
ข้าขอถอนคำพูดเมื่อครู่ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ชั่วร้ายเหมือนเจ้า…สวี่ชีอันไม่รู้สึกโล่งใจสักนิด เพราะเขาไม่แน่ใจว่าลั่วอวี้เหิงพูดความจริงหรือไม่
สิ่งที่โชคดีคือ บุคลิก ‘ชั่วร้าย’ ของลั่วอวี้เหิงยังคงควบคุมได้ โดยทั่วไปแล้ว บุคลิกชั่วร้ายจะไม่มีการเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น
การทะเลาะในครั้งแรกสุดก็เหมือนเป็นวิธีการที่แสดงว่าตนเองมาถึงแล้ววิธีหนึ่ง และยังสามารถถือว่าเป็นความชั่วร้ายของนางได้
“ความชั่วร้ายของนางเป็นความชั่วร้ายรูปแบบเก็บตัว ไม่ใช่การป่าวประกาศที่ถึงกับอดไม่ไหวที่จะตราหน้าคนเลว นอกจากนี้ บุคลิกทั้งเจ็ดยังพัฒนามาจากนิสัยของลั่วอวี้เหิงเอง หากเนื้อแท้ลั่วอวี้เหิงเป็นคนใจดี เช่นนั้นสภาพของบุคลิกชั่วร้ายก็สามารถเดาได้ นางอาจจะชั่วแต่ก็ไม่ถึงกับฆ่าคนอย่างกระหายเลือด อืม ยังต้องทำการสังเกตให้มาก”
ในขณะที่คลื่นความคิดของสวี่ชีอันกำลังแล่น ก็ได้ยินลั่วอวี้เหิงบิดขี้เกียจ
“เมื่อวานเจ้าทรมานข้าเช่นนั้น ร่างของข้าถูกเจ้าฉีกออกหมดแล้ว ข้าต้องการพักผ่อน”
เมื่อวานนี้เป็นเจ้าที่ทรมานข้าต่างหาก บุคลิกปรารถนาช่างน่ากลัวจริงๆ…เขาตำหนินางในใจก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงเพื่อหลีกทางให้นาง
ลั่วอวี้เหิงปากบอกว่าจะพักผ่อน แต่ตัวกลับนั่งข้างโต๊ะไม่ไหวติงพลางขมวดคิ้วเบาๆ “เตียงสกปรกแล้ว เปลี่ยนใหม่”
…สวี่ชีอันจึงเปลี่ยนผ้าปูที่นอนที่ส่งกลิ่นแปลกๆ เป็นผ้าปูผืนใหม่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง