ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 692

บทที่ 692 คนเฝ้าประตูคือใคร

ม้าเร็วเผ่ากู่ที่กำลังถือธงของต้าฟ่ง…เจ้าพนักงานและเหล่านายทหารในห้องโถงต่างก็มึนงงเล็กน้อยและไม่สามารถปะติดปะต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ธงประจำกองทัพต้าฟ่ง’ และ ‘เผ่ากู่’ ได้ชั่วขณะ

หืม? ม้าเร็ว?

ในวินาทีต่อมา ทุกคนต่างก็จับประเด็นสำคัญได้และมองไปที่หยางกงอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ส่งอาวุธมาให้ข้า ให้เขาเข้ามาได้”

หยางกงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างไม่เร่งรีบ

เจ้าพนักงานรับคำสั่งและถอยออกไป หลังจากนั้นสิบห้านาที องครักษ์ของผู้ว่าการมณฑลก็พาทั้งสองคนเข้าไปในห้องโถงใหญ่

สายตาของหยางกง หลี่มู่ไป๋และนายทหารฝ่ายเสนาธิการทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่ผู้มาเยือนอย่างพินิจพิเคราะห์

ทางด้านซ้ายคือคนจากซินเจียงตอนใต้ เขามีผิวสีคล้ำ ดวงตาสีฟ้าอ่อน ผมหยิกเป็นธรรมชาติ เสื้อผ้าที่เขาสวมเผยให้เห็นกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งอย่างชัดเจน ทำให้เขาดูเต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อน

แต่ดวงตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้นกลับแฝงไปด้วยแสงสว่างแห่งความเฉลียวฉลาด

เป็นปรมาจารย์ซินกู่จริงๆ…ในฐานะที่เป็นหยางกงผู้คุมอำนาจทางการเมืองสูงสุดในรัฐย่อมต้องสำรวมความน่าเกรงขามไว้อย่างสุดความสามารถและหันไปสนใจทหารที่อยู่ข้างกายถ่าโม่

รองแม่ทัพสวี่เอ้อร์หลาง

กู้ฉี่เข้าใจสายตาที่แฝงไปด้วยคำถามของสมุหเทศาภิบาลทันที จึงยกกำปั้นขึ้นมาพลางโค้งตัวคำนับและกล่าวว่า “ข้าน้อยกู้ฉี่ผู้ต่ำต้อยคือรองแม่ทัพของใต้เท้าสวี่ซินเหนียน”

หลังจากหยุดชะงักชั่วครู่ก็เห็นหยางกงพยักหน้า เขาจึงกล่าวต่อไปว่า “ท่านนี้คือถ่าโม่แห่งซินกู่จากเผ่าพันธุ์กู่ ผู้นำกองทัพอสูรเหินเวหา เป็นทหารกองหนุนที่ฆ้องเงินสวี่เชิญมา”

หลี่มู่ไป๋และเหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการสาบานว่าคำพูดประโยคเมื่อครู่เป็นเสียงที่ไพเราะรื่นหูที่สุดเท่าที่ได้ยินในช่วงที่ผ่านมานี้

ฆ้องเงินสวี่ไปที่เผ่ากู่ทางซินเจียงตอนใต้ตั้งแต่เมื่อใด? ยังเชิญกองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่ากู่มาด้วยรึ?

นอกจากนี้ มีกองทัพอสูรเหินเวหามากเพียงใด อยู่ที่ใด ความสามารถในการต่อสู้เป็นอย่างไร? พวกเขามีคำถามที่อยากถามเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก่อนที่หยางกงจะเปิดปากพูด ทุกคนก็ยับยั้งการเคลื่อนไหวของตนเองได้เป็นอย่างดี

แต่หัวใจกลับร้อนรนขึ้นมาอย่างเงียบๆ

…หยางกงยืดหลังตรงขึ้นเล็กน้อย ดวงตาจับจ้องที่กู้ฉี่

“ทำไมกองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่ากู่ถึงมากับเจ้าได้?”

เขาถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจของเหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการออกมา

กู้ฉี่กล่าวว่า “เหล่านักรบของซินกู่เดินทางมาช่วยเหลือและขับไล่ศัตรูที่อำเภอซงซานภายใต้คำสั่งของฆ้องเงินสวี่”

ในขณะที่กล่าว เขาก็หยิบจดหมายออกมาจากแขนเสื้อ “ข้ามีจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของใต้เท้าสวี่”

เจ้าพนักงานก้าวขึ้นไปหยิบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือฉบับนั้น ก่อนจะยื่นไปที่เบื้องหน้าหยางกง หยางกงคลี่จดหมายเปิดอ่านเรียบร้อยแล้วก็พยักหน้าให้เหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการที่กำลังจ้องตรงมาที่เขา

อำเภอซงซานปลอดภัยแล้ว…

เป็นอีกคำพูดหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ เหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการทุกนายต่างก็ประหลาดใจอย่างมากพลางมองหน้ากันเพื่อถ่ายทอดความปลื้มปีติยินดี

เวลานี้เอง ถ่าโม่ก็หยิบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือออกมาจากแขนเสื้อและกล่าวว่า “นี่คือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของฆ้องเงินสวี่ มอบหมายให้ข้ามอบให้กับผู้ว่าการมณฑลหยางเมื่อถึงชิงโจว”

ครั้งนี้หยางกงยื่นมือเข้าไปรับจดหมายโดยตรง เมื่อจดหมายอยู่ในมือแล้วก็อดใจรอไม่ไหวที่จะคลี่มันออก

แตกต่างกับลายมือที่สวยงามและประณีตของสวี่ซินเหนียน จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของสวี่หนิงเยี่ยนทั้งน่าเกลียดและบิดเบี้ยว แต่ละขีดของตัวอักษรราวกับถูกลากโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ใช่แล้ว เป็นตัวอักษรของหนิงเยี่ยน…หยางกงเชื่อในทันทีโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีก

ไม่ใช่ว่าไม่มีใครสามารถเลียนแบบตัวอักษรของสวี่หนิงเยี่ยนได้ แต่ตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันของสวี่หนิงเยี่ยนนั้นหาได้ยากยิ่ง จิ่วโจวในปัจจุบัน นอกจากสำนักอวิ๋นลู่และจวนสกุลสวี่แห่งเมืองหลวงแล้วก็แทบจะไม่เห็นลายมือของสวี่หนิงเยี่ยนเลย

สวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนที่รักษาหน้า ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับตัวอักษรของตนเองมากและไม่ยอมเผยแพร่ออกไปอย่างแน่นอน

ดังนั้นแม้จะมีใครคิดจะเลียนแบบก็ไม่มีตัวอย่างให้ดู

หยางกงก้มลงไปอ่าน ครึ่งแรกเป็นเรื่องราวของสวี่หนิงเยี่ยนที่สาธยายถึงการทำสงครามลิ้นของตนเองในซินเจียงตอนใต้ เขาใช้คารมฝีปากที่ไม่เป็นรองใครในการโน้มน้าวเผ่ากู่ ใช้เสน่ห์ขั้นสูงในการเปลี่ยนความคิดเผ่ากู่ ในที่สุดก็ทำให้เผ่ากู่ปล่อยวางความแค้นในอดีตและส่งกำลังทหารไปทางเหนือเพื่อสนับสนุนต้าฟ่ง

หยางกงคิดว่าเป็นไปได้ที่จะมีความสามารถในการใช้คารมฝีปาก แต่เสน่ห์นั้นต้องมีการซักถามกันใหม่

ถัดลงมาคือจำนวนทหารที่แต่ละกรมส่งมา

“หน่วยรบอสูรบินจากซินกู่ห้าร้อยตัว…”

เมื่ออ่านบรรทัดแรก หยางกงก็ตัวแข็งทื่อทันที

เขาสงสัยว่าสวี่หนิงเยี่ยนเขียนผิดแล้ว ต้องรู้ว่าในระหว่างยุทธการด่านซานไห่ในปีนั้น หน่วยรบอสูรบินของต้าฟ่งก็มีจำนวนเพียงหนึ่งพันห้าร้อย

หลังจากสิ้นสุดยุทธการด่านซานไห่ได้ไม่กี่ปี ราชสำนักก็ยกเลิกค่ายกองทัพสัตว์ปีกกลางคันและจำหน่ายเหยี่ยวหางแดงออกไปเป็นจำนวนมาก

ทำไม? เพราะเลี้ยงไม่ไหวรึ

ถ้าสิ่งที่กองทหารม้ากินคือเงิน เช่นนั้นสิ่งที่กองทัพสัตว์ปีกกินก็คือทอง

กองทัพสัตว์ปีกห้าร้อยตัวคืออะไรกัน? เกรงว่าคงเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของกองทัพสัตว์ปีกเผ่าซินกู่กระมัง

เมื่ออ่านต่อไปก็พบว่ามีนักรบจากเผ่าลี่กู่สี่ร้อยคน ผู้ควบคุมมนุษย์ศพจากเผ่าซือกู่หกร้อยคน ผู้กล้าจากเผ่าอั้นกู่แปดร้อยคน หากเพิ่มกองทัพสัตว์ปีกเข้าไปอีกห้าร้อยตัว…

หยางกงรู้สึกสับสนมาก ทั้งประหลาดใจทั้งกังวล เหตุผลที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจก็คือเหล่านักรบชั้นยอดของเผ่ากู่เหล่านี้ พวกเขาต้องบรรเทาความเสื่อมโทรมของชิงโจวในตอนนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

สิ่งที่ทำให้รู้สึกกังวลก็คือกองสนับสนุนที่เผ่ากู่มอบให้จำนวนมาก แผนการย่อมไม่เล็กอย่างแน่นอน สมุหเทศาภิบาลหยางกังวลว่าสวี่ชีอันจะทำข้อตกลงตามอำเภอใจ ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ราชสำนักอาจจะไม่สามารถยอมรับได้

เขาขมวดคิ้วและมองไปที่ส่วนท้ายของจดหมายซึ่งเป็นข้อตกลงของสวี่หนิงเยี่ยนที่มีต่อเผ่ากู่

นี่…หยางกงสงสัยว่าสวี่หนิงเยี่ยนเขียนผิดอีกครั้ง

เมื่อครู่ยังรู้สึกว่ากองทัพสัตว์ปีกมีจำนวนมากเกินไป แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้นน้อยเกินไป

มันถูกเกินไป…

แผ่นหลังของหยางกงเริ่มยืดตรงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว เขายังคงรักษาท่าทีที่สง่างามและเข้มงวดไว้ แต่ดวงตากลับประกายสดใสเป็นพิเศษ

เขาเก็บจดหมายลงไปอย่างเงียบๆ พลางมองไปที่ถ่าโม่

“ผู้นำจากเผ่าซินกู่เคยอ่านเนื้อหาในจดหมายแล้วหรือยัง?”

ถ่าโม่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงถามคำถามเช่นนี้ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจและพยักหน้าอย่างสงบ “ท่านสมุหเทศาภิบาลหยางวางใจเถอะ เนื้อหาในจดหมายไม่ผิดเพี้ยนเป็นแน่”

โดยทั่วไปแล้ว ความฉลาดทางปัญญาของปรมาจารย์ซินกู่จะสูงกว่ามาตรฐาน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมสวี่ชีอันถึงได้มอบจดหมายนี้ให้พวกเขา

ถ่าโม่กล่าวต่อไปว่า “หวังว่าท่านสมุหเทศาภิบาลหยางจะรายงานราชสำนักโดยเร็วที่สุดเพื่อยืนยันเรื่องนี้”

หยางกงพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ผู้นำถ่าโม่เดินทางมาไกลและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ข้าจะจัดการให้เจ้าไปพักผ่อนก่อน ตอนเย็นเรียนเชิญท่านผู้นำรับประทานอาหารมื้อเย็น”

หลังจากให้คนพาถ่าโม่ไปที่พักแล้ว หยางกงก็ถอนหายใจออกช้าๆ พลางหันไปมองเหล่านายทหารฝ่ายเสนาธิการที่อยู่ข้างโต๊ะ

และนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่มีการศึกษาและรอบรู้เหล่านี้ต่างก็อดใจไม่ไหวนานแล้ว

“หนิงเยี่ยนบอกในจดหมายว่าอะไรบ้าง มีอสูรบินอยู่เท่าใดรึ?”

หลี่มู่ไป๋เป็นตัวแทนทุกคนในการถาม

หยางกงเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ห้าร้อย”

“ห้าร้อย?!”

เสียงตะโกนเอิกเกริกดังขึ้นข้างๆ โต๊ะ เจ้าพนักงานที่กำลังยุ่งอยู่ไกลๆ ต่างก็หยุดการทำงานและมองมาด้วยความตกตะลึง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง