ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 691

บทที่ 691 กำลังเสริม (2)

สาเหตุที่เหมียวโหย่วฟางวางคันธนูลงและสังเกตพบว่าคนเหล่านี้มีปัญหา มิได้อาศัยสติปัญญา แต่เพราะไร้ซึ่งการตอบสนองจากลางสังหรณ์ในสถานการณ์อันตรายของชาวยุทธ์

นั่นบ่งชัดว่ากองทัพอสูรเหินฟ้ากลุ่มนี้ไม่มีเจตนาเป็นปรปักษ์

“ไม่ใช่รึ”

สวี่เอ้อร์หลางยกมือขึ้นยับยั้งหัวหน้ากองร้อยที่กำลังจะบังคับพาตัวเขาจากไป แล้วหันไปมองเหมียวโหย่วฟาง

เหมียวโหย่วฟางเอ่ยถึงลักษณะพิเศษของคนกลุ่มนั้นพร้อมทั้งอธิบายว่า

“พวกเขามิใช่ศัตรู”

สวี่เอ้อร์หลางได้ยินดังนั้นก็ตั้งข้อวินิจฉัยทันที

“คนของซินเจียงตอนใต้หรือ”

สีผิวดำคล้ำ ผมหยักศก เครื่องแต่งกายสีเขียวอมฟ้าผสมกับผ้าหนังสัตว์

ไม่ว่าจะจากบันทึกในตำราหรือการเห็นด้วยตาตัวเอง (หมายถึงลี่น่า) สวี่เอ้อร์หลางก็สามารถสรุปได้ว่าผู้มาเยือนเป็นคนซินเจียงตอนใต้

‘คนซินเจียงตอนใต้ หรือว่า…’ เหมียวโหย่วฟางตบศีรษะแล้วเอ่ยด้วยความดีใจเป็นที่สุดว่า

“ข้าเข้าใจแล้ว!”

เขาทิ้งคันธนูโดยไม่ได้อธิบายแล้วยืนบนเชิงเทิน ก่อนยกแขนโบกมือทั้งคู่ไปยังกองทัพอสูรเหินเวหาซึ่งใกล้เข้ามาทุกทีด้วยความตื่นเต้น

เมื่อเห็นการตอบสนอง พลทะยานซึ่งเป็นผู้นำก็ควบคุมอสูรบินได้ออกจากขบวนแล้วร่อนถลาลงบนยอดกำแพงเมือง ส่วนพลทะยานที่เหลือก็บินวนเฝ้าระวังโดยรักษาระยะห่างอยู่เหนือยอดกำแพงเมือง

‘ฟิ้ว ฟิ้ว…’

ลมโหมจากการกระพือของปีกพังผืดพัดพากรวดหินดินทรายออกไป อสูรยักษ์เกล็ดดำลงจอดบนถนนก่อนค่อยๆ เก็บปีกพังผืด

เหมียวโหย่วฟางโผเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนว่า

“พวกท่านคือคนเผ่าพันธุ์กู่ใช่ไหม”

ชายวัยกลางคนซึ่งอยู่บนหลังของอสูรยักษ์เกล็ดดำเอ่ยปากว่า

“ข้ามีนามว่าถ่าโม่ เป็นผู้บัญชาการกองทัพอสูรเหินเวหาของฝ่ายซินกู่ ได้รับคำสั่งจากฉุนเยียนให้มาสนับสนุนชิงโจว

“ฝ่ายซินกู่บรรลุข้อตกลงกับฆ้องเงินสวี่แล้ว”

ภาษาราชการแห่งที่ราบลุ่มภาคกลางไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐานเป็นอย่างยิ่ง เหมียวโหย่วฟางฟังอยู่สามรอบจึงจะเข้าใจ

‘เป็นเขาเชิญมาจริงๆ…’ เหมียวโหย่วฟางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาและสวี่ชีอันแยกกันระหว่างทางที่จะไปเผ่าพันธุ์กู่ กองทัพเผ่าพันธุ์กู่ปรากฏตัวเวลานี้และไม่มีท่าทีเป็นศัตรูกับทหารอารักขาของต้าฟ่งด้วย

ไม่ว่าจะคิดกี่ตลบก็คิดได้เพียงว่าคนเหล่านี้คือผู้ช่วยชีวิตที่ฆ้องเงินสวี่โยกย้ายมา

เหมียวโหย่วฟางหันไปพยักหน้าให้สวี่เอ้อร์หลาง แสดงถึงความปลอดภัยเชื่อถือได้ จากนั้นจึงโบกมืออีกครั้ง

สวี่เอ้อร์หลางมายังข้างกายของเหมียวโหย่วฟาง ภายใต้การคุ้มกันอย่างระแวดระวังของหัวหน้ากองร้อย

“ข้าเคยบอกท่านแล้ว ข้ากับฆ้องเงินสวี่แยกกันระหว่างทางไปเผ่าพันธุ์กู่” เหมียวโหย่วฟางอธิบายสั้นๆ แล้วเอ่ยอย่างฮึกเหิมว่า

“พวกเขาคือกำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่หามา”

กำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่หามา…หัวหน้ากองร้อยตะลึงงัน

เหมียวโหย่วฟางตะโกนเสียงก้อง เมื่อเข้าหูทหารอารักขาที่อยู่ห่างออกไป พวกเขาซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นปรปักษ์และระแวดระวังอยู่แต่เดิมจึงพากันตกตะลึง

สวี่เอ้อร์หลางพินิจชาวซินเจียงตอนใต้ที่อยู่บนหลังอสูรยักษ์ ผิวของเขาสีดำคล้ำ ริมฝีปากค่อนข้างหนา รูปร่างผอมแต่ไม่ซูบเซียว ตรงกันข้าม กล้ามเนื้อกลับตึงแน่นแทบจะมีแรงระเบิด

สวี่เอ้อร์หลางแววตาเป็นประกายวาบ เขาเอ่ยถามอย่างสุขุมว่า

“พี่ใหญ่ของข้าให้ท่านมาหรือ”

“ท่านผู้นี้คือลูกพี่ลูกน้องของฆ้องเงินสวี่” เหมียวโหย่วฟางเอ่ยแทรก

เมื่อถ่าโม่ได้ยิน แววตาที่มีต่อสวี่เอ้อร์หลางก็เปลี่ยนไปเป็นความเคารพเจือด้วยความประจบเอาใจ

“ใช่ขอรับ”

สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างเป็นกันเองว่า

“พวกท่านหาที่นี่เจอได้อย่างไร”

ในสถานการณ์ปกติ พี่ใหญ่จะต้องให้กำลังเสริมของเผ่าพันธุ์กู่ไปเมืองชิงโจว และติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของชิงโจวก่อน ไม่มีเหตุผลที่จะตรงมาอำเภอซงซานเป็นอันขาด

เขาแสร้งทำสอบถามไปเรื่อย ทว่าความจริงแล้วกำลังหยั่งเชิงปฏิกิริยาตอบสนองของถ่าโม่ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายซินกู่ผู้นี้

“ฆ้องเงินสวี่สั่งให้พวกเรามาขอรับ เขายังให้แผนที่อำเภอซงซานมาชุดหนึ่งด้วย” ถ่าโม่เอ่ยพลางหยิบแผนที่ชุดหนึ่งออกจากอก “แม้ข้าจะเคยมาต้าฟ่งเมื่อหลายปีก่อน แต่ระหว่างทางก็ยังหลง เดิมควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

เขาเหลือบมองธงต้าฟ่งที่ยอดกำแพงเมืองและเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ

“โชคดีที่ไม่สายเกินไป”

‘พี่ใหญ่ให้พวกเขามาอำเภอซงซาน…รอดแล้ว อำเภอซงซานได้รับความช่วยเหลือแล้ว ชาวบ้านรอดแล้ว…’ สวี่เอ้อร์หลางหลับตา ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย

เขาออกแรงหายใจเข้าลึกๆ สะกดอารมณ์ทั้งหมดไว้ยังก้นบึ้งหัวใจ ก่อนพยักหน้าเบาๆ พลางว่า

“พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่อำเภอซงซาน”

นี่สอดคล้องกับลีลาการทำงานของพี่ใหญ่จริงๆ

เพียงแต่ไม่รู้พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไรว่าเขาประจำการอยู่ที่อำเภอซงซาน

ถ่าโม่ส่ายหัว แสดงออกว่าไม่รู้

เขาถามต่อว่า

“เช่นนั้นพวกเราลงจอดได้แล้วหรือยัง”

เมื่อเห็นสวี่ซินเหนียนพยักหน้า เขาจึงเงยหน้าแล้วผิวปากอย่างแรง

กองทัพอสูรเหินเวหาที่บินวนอยู่บนท้องฟ้าได้รับคำสั่งก็ลดระดับความสูงลงอย่างเป็นระบบและร่อนลงจอดที่ด้านบนสุดของกำแพงเมืองอย่างมั่นคง แต่เนื่องจากมีจำนวนมากเกินไป อสูรยักษ์เกล็ดดำส่วนใหญ่จึงได้แต่ลงจอดที่ด้านล่างของกำแพงเมือง

ทหารนายหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปขยับเข้ามาใกล้ด้วยความระแวดระวังพร้อมอาวุธในมือ แล้วเอ่ยถามว่า

“ใต้เท้าสวี่ ข้าได้ยินแม่ทัพเหมียวบอกว่า พวกเขาเป็นกำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่เชิญมาหรือขอรับ

“พี่ พวกพี่น้องต่างอยากรู้มากว่าจริงหรือไม่”

สวี่ซินเหนียนปรายสายตาผ่านเขา จึงเห็นนายทหารสองสามคนซึ่งได้รับบาดเจ็บและรวมตัวกันอยู่ในระยะไกลมองมาที่ตนด้วยความกระตือรือร้น

สวี่ซินเหนียนถอนสายตากลับแล้วมองนายทหารหนุ่มก่อนออกแรงพยักหน้า

“ใช่แล้ว กองทัพอสูรเหินเวหาของฝ่ายซินกู่เหล่านี้เป็นกำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่เชิญมา”

ใบหน้านายทหารหนุ่มพลันสั่นเทา ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตากลับมีน้ำตาคลอหน่วยไหลรินลงมา

เหมียวโหย่วฟางกระโดดขึ้นเชิงเทิน กวาดสายตาผ่านอสูรยักษ์เกล็ดดำที่ยอดกำแพงเมืองจากซ้ายไปขวา จากนั้นจึงมองต่ำไปยังอสูรยักษ์เกล็ดดำเบื้องล่างซึ่งมีมากกว่า

ในแววตาของเขามีประกายระยิบระยับ

เขาพลันสูดหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นความเปรี้ยวฝาดที่จมูกแล้วคำรามลั่น

“พี่น้องทั้งหลาย กำลังเสริมของพวกเรามาถึงแล้ว ฆ้องเงินสวี่เชิญกำลังเสริมมาให้พวกเรา พวกเราก็มีกองทัพอสูรเหินเวหาแล้วเช่นกัน”

น้ำเสียงสะท้อนก้องอย่างต่อเนื่อง

อารมณ์ฮึกเหิมพลันระเบิดขึ้นในหัวใจของทหารอารักขาและทหารอาสา ตามมาด้วยคลื่นเสียงอึกทึก

บางคนพึมพำทั้งน้ำตาอาบแก้มว่า “มีทางรอดแล้ว”

บางคนหน้าแดงก่ำพร้อมคำรามเสียงดังด้วยความฮึกเหิม

บางคนเต้นรำโห่ร้องไม่หยุดด้วยความดีใจ

หลังทหารอาสาในเมืองรับทราบสถานการณ์ก็พากันวิ่งไปตามถนนตรอกซอกซอยเพื่อเล่าสู่กันฟังด้วยความฮึกเหิม

และบอกชาวบ้านในเมืองว่ากำลังเสริมมาแล้ว เป็นกำลังเสริมที่ฆ้องเงินสวี่พามา

ชั่วขณะนั้น เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังก้องไปทุกอณูของอำเภอเล็กๆ

สวี่ซินเหนียนสูดหายใจลึก ระงับอารมณ์ตื่นเต้นแล้วเอ่ยว่า

“ท่านถ่าโม่ กองทัพอสูรเหินเวหาฝ่ายซินกู่เดินทางมาไกล เดิมควรจัดหาที่พักให้พวกท่าน ทว่าความรวดเร็วเด็ดขาดนั้นสำคัญยิ่ง โอกาสในสงครามอาจหายวับในพริบตา”

ถ่าโม่ตบอก

“ใต้เท้าสวี่มีสิ่งใดจะสั่งการ”

ขณะที่จัวเฮ่าหรานได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนม เขากำลังเล่นสนุกอยู่กับโสเภณีในกระโจมทหาร สตรีเหล่านี้ส่วนหนึ่งถูกจับระหว่างเดินทัพ บางส่วนเป็นสาวงามที่ถูกฉุดมาจากเขตต่างๆ เมื่อครั้งแนวป้องกันแรกของชิงโจวถูกยึดครอง

แม้จะเป็นแม่ทัพใหญ่ชีก่วงป๋อก็มิอาจแทรกแซงเรื่องการฉุดผู้หญิงมากับค่ายได้

เนื่องจากเดิมทีโสเภณีในกองทัพเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในกองทัพทหาร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง