ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 709

บทที่ 709 กลุ่มสนทนาพรรคฟ้าดิน

สัตว์ประหลาดอาชาเทพหิมะขาวปรากฏขึ้นกลางทะเลเมฆา แล้วก้าวเท้าเดินไปยังภูเขาเซียนซาน

มันดูราวกับเป็นสัตว์เทพแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่กำลังเยื้องย่างลงสู่แดนดินทีละก้าวๆ

เมฆหมอกสีขาวลอยขึ้นจากใต้กีบเท้าและคอยพยุงให้มันก้าวลงบนความว่างเปล่า

‘หวึ่ง!’

ทันใดนั้นอากาศก็พลันสั่นสะเทือน คลื่นซัดโหมขึ้นมาเหนือผิวน้ำ จากนั้นระลอกคลื่นก็แผ่กระจายลงด้านล่างแล้วก่อตัวเป็นปราการรูปทรงชามหนึ่งใบ ก่อนจะเข้าครอบคลุมภูเขาเซียนซานที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ ไว้ภายใน

“ค่ายกลพิทักษ์สิงขร…” ไป๋ตี้รู้ว่าตนมีสถานะสูงส่ง จึงไปกระตุ้นค่ายกลพิทักษ์สิงขรของนิกายสวรรค์ขึ้นมา

ตอนนี้เอง ค่ายกลก็แยกออกเป็นช่องว่าง จากนั้นเสียงอันเฉื่อยชาไม่แยแสก็ดังขึ้นพร้อมกัน

“ผู้มาจากแดนไกลล้วนเป็นแขก เชิญสหายเต๋า”

ศีรษะที่มีเขางอกขึ้นมาผงกเบาๆ ไป๋ตี้ก้าวเท้าไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็หายวับไปกลางอากาศ

เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง มันก็มาอยู่ที่วังเซียนอันสูงตระหง่านบนยอดเขาเซียนซานแล้ว

เสาต้นหนารองรับหลังคาทรงโค้งที่สูงถึงร้อยจั้ง ตัวเสาสลักด้วยลวดลายต่างๆ เช่น เมฆา เปลวเพลิง และวายุ ลักษณะโดยรวมคือความโอ่อ่าตระการตา ปะปนมากับความเยือกเย็นและอ้างว้าง

เพราะวังเซียนนั้นว่างเปล่า ไม่มีของตกแต่งใดๆ อยู่

ที่ปลายสุดของต้นเสา บนฐานอันสูงใหญ่นั้นมีแท่นดอกบัวส่องแสงเก้าสีเปล่งประกายอยู่ กลีบดอกบัวหมุนวนช้าๆ บนนั้นมีนักพรตชราผู้มีผมและเคราสีขาวตนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่

เขาหลับตาและก้มศีรษะลงเล็กน้อย ราวกับกำลังงีบหลับ

นักพรตชรามีบุคลิกและลักษณะภายนอกดูธรรมดาสามัญ แต่ในสายตาของไป๋ตี้ นักพรตชรานั้นสถิตอยู่ระหว่างความเป็นจริงและภาพลวงตา ราวกับเป็นเพียงภาพฉายจากประวัติศาสตร์เท่านั้น

“เจ้าเรียกข้าว่าไป๋ตี้ได้ ประชาชนในอวิ๋นโจวล้วนแต่เรียกข้าเช่นนี้”

ไป๋ตี้เอ่ยภาษามนุษย์ออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“มายังนิกายสวรรค์ด้วยเหตุอันใด”

องค์เทพไร้ซึ่งพิธีรีตอง เขาพูดจาตรงเข้าประเด็นทันที มิได้อารมณ์แปรปรวนเนื่องด้วยผู้มาเยือนเป็นสายเลือดเทพมารแต่อย่างใด

ไป๋ตี้ยืนอยู่กลางห้องโถงและมองไปยังองค์เทพ ก่อนจะเอ่ยว่า

“ปรมาจารย์เต๋าในปีนั้นได้ขับไล่สายเลือดเทพมารออกไปจากดินแดนจิ่วโจว เจ้าคงรู้เรื่องนี้”

“มิได้สนใจ” องค์เทพตอบกลับดังนี้

ไป๋ตี้ไม่สนใจท่าทีขององค์เทพแล้วเอ่ยพูดต่อว่า

“ท่าทางของเจ้าทำให้ข้านึกถึงเขาในตอนนั้น”

มันเอ่ยต่อ

“ข้าเคยไปพบเทพเจ้ากู่ที่ซินเจียงตอนใต้ เทพเจ้ากู่บอกกับข้าว่า ปรมาจารย์เต๋าอาจจะดับสูญไปแล้ว การที่สามารถทำให้เทพเจ้ากู่พิเคราะห์ออกมาได้เช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่ปรมาจารย์เต๋าจะดับสูญก็มีอยู่มาก แต่ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ในจิ่วโจวเวลานั้น ตัวตนที่สามารถคุกคามเขาได้ก็มีเพียงแค่เทพเจ้ากู่ที่หลับใหลอยู่เท่านั้นเอง แต่การดับสูญของปรมาจารย์เต๋าเห็นได้ชัดว่าไม่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้ากู่ เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดกันถึงได้ทำให้ผู้อยู่เหนือระดับตนหนึ่งดับสูญได้?

“ผู้ที่ตอบข้าได้ ทั่วทั้งจิ่วโจวก็น่าจะมีเพียงเทพเจ้ากู่ เทพพ่อมด และพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าหากปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้สิ้นชีพ เขาก็ถือว่าเป็นอีกคน แต่ผู้อยู่เหนือระดับเหล่านี้ บ้างก็ตายไป บ้างก็ถูกผนึกอยู่ และบางที เจ้าอาจให้คำตอบข้าได้”

ลมหอบหนึ่งพัดเข้าสู่ตำหนักใหญ่ ขนที่ลำคอของไป๋ตี้ขยับเบาๆ ดวงตาสีฟ้าสว่างใสของมันจ้องมองไปยังองค์เทพ

“ข้าได้ยินโหรขั้นสองแห่งอวิ๋นโจวผู้นั้นบอกว่า องค์เทพแห่งลัทธิเต๋าสามารถหายตัวไปได้อย่างไร้เหตุผล”

มันสงสัยว่าการดับสูญของปรมาจารย์เต๋าจะเป็นแบบเดียวกับการหายตัวไปของเหล่าองค์เทพ

องค์เทพนั่งขัดสมาธิก้มหน้าหลับตา ไม่ได้เอ่ยปาก แต่มีเสียงดังขึ้นมาว่า

“เกี่ยวอันใดกับข้า!”

ไป๋ตี้ไม่ได้โกรธ ราวกับคิดว่านิกายสวรรค์สมควรมีบุคลิกเช่นนี้อยู่แล้ว จึงได้เอ่ยปากถามขึ้น

“ในปีนั้นตอนนี้ข้าออกจากดินแดนจิ่วโจว นิกายของลัทธิเต๋ามีมากมาย แต่ไม่มีนิกายมนุษย์และนิกายปฐพี ได้ยินว่านี่เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นในภายหลังหรือ? นิกายสวรรค์ก็มีพลังภายในของสองนิกายนี้อยู่ ข้านึกอยากเห็นวิชาการฝึกตนของ ‘มนุษย์ ปฐพี สวรรค์’ ทั้งสามนิกายนี้นัก”

องค์เทพไม่เอ่ยปาก แต่เบื้องหน้าของไป๋ตี้กลับมีตำราสามเล่มลอยขึ้นมา เป็นตำราหน้าปกสีฟ้าซึ่งหนึ่งในนั้นเขียนว่า ‘การตัดอารมณ์ความรู้สึก’

อีกสองเล่มที่เหลือ เมื่อเทียบกับ ‘การตัดอารมณ์ความรู้สึก’ แล้ว ความหนานั้นห่างไกลกันมาก ถึงขั้นหนาไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ

วิชาภายในของนิกายมนุษย์และปฐพี นิกายสวรรค์มีเพียงอารัมภบท ย่อมไม่มีบทขั้นสูงล้ำลึกแน่นอน

ไป๋ตี้จดจ้องมองตำราของ ‘นิกายมนุษย์’ และ ‘นิกายปฐพี’

‘พรึ่บพรั่บ…’

หน้ากระดาษพลิกอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็อ่านมาถึงหน้าสุดท้าย ไป๋ตี้นิ่งเงียบ จากนั้นแววตาก็ฉายประกายสงสัย

“พลังภายในของสองนิกายนี้แตกต่างกับนิกายสวรรค์อย่างยิ่ง ทั้งยังบกพร่องอยู่มาก ในครานั้นตอนที่ปรมาจารย์เต๋าขับไล่พวกข้าออกจากดินแดนจิ่วโจว ก็ได้ตำแหน่งผู้อยู่เหนือระดับแล้ว เหตุใดยังต้องสร้างนิกายมนุษย์กับนิกายปฐพีขึ้นมาอีก”

สายตาของเขามองไปยังตำรา ‘การตัดอารมณ์ความรู้สึก’ ด้วยความสงสัย หน้ากระดาษพลิกดังพรึ่บพรั่บ ไม่นานก็พลิกอ่านจนหมดเล่ม

จากนั้นมันก็เริ่มพลิกอีกรอบ ไป๋ตี้อ่านซ้ำๆ หลายครั้งแล้วหลับตาลง

หลังจากผ่านไปนาน ดวงตาสีฟ้าสว่างใสก็เปิดออกมา ลมหายใจมหาศาลดังก้องอยู่ภายในตำหนัก

“ข้าเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”

“เจ้าคิดว่าท่านผู้นั้นดับสูญแล้วหรือ?” องค์เทพเอ่ยปากถามอย่างหาได้ยาก

ไป๋ตี้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ

“เรื่องที่เกี่ยวข้องนั้นซับซ้อนเกินไป ข้าไม่อาจตอบได้อย่างแม่นยำ แต่จากเบาะแสในปัจจุบัน ปรมาจารย์เต๋าได้ดับสูญไปแล้วจริงๆ ปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ผู้พิทักษ์ประตู ปรมาจารย์เต๋าก็ไม่ใช่ เช่นนั้นผู้พิทักษ์ประตูคือใครกันแน่…”

มันเก็บความคิดเอาไว้แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ ข้าจะไม่เปิดเผยออกไป”

องค์เทพนั่งขัดสมาธินิ่งเงียบ ไม่ตอบรับ

ไป๋ตี้หันหลังกลายเป็นแสงสีขาวแล้วหายวับไปจากตำหนักใหญ่

เรือหนึ่งลำลอยล่องไปตามแม่น้ำ

แสงแดดบนผิวน้ำส่องประกายระยิบระยับ มู่หนานจือที่สวมหมวกคลุมหน้าและใส่ชุดประโปรงบางๆ กำลังนั่งตกปลาอยู่บนเรือลำเล็ก

ไป๋จีว่ายอยู่ในน้ำสีมรกตที่สั่นกระเพื่อมอยู่รอบๆ เรือด้วยความสนุกสนานราวกับสุนัขฮัสกี้ตัวหนึ่ง

ขาเล็กสั้นๆ ตีไปมาอย่างแข็งขันอยู่ในน้ำทะเลสีคราม

สวี่ชีอันเอนกายนอนอยู่บนเรือโดยที่ท่อนบนเปลือยเปล่า ในมือถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้วอ่านดูข้อความจากสมาชิกพรรคฟ้าดิน เหมือนกับท่าทางตอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงในชาติก่อนของเขา

หลังจากผ่านการฝึกทหารมาระยะหนึ่ง กำลังคนและม้าภายใต้บัญชาของเหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินก็มีพลังต่อสู้พอสมควรแล้ว ซึ่งอ่อนกว่ากองทัพที่มีระเบียบวินัยตามปกติ แต่แข็งแกร่งกว่ากองทัพยิบย่อย

โดยกองทัพของหลี่เมี่ยวเจินมีพลังแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาคือของฉู่หยวนเจิ่น และกองทัพของหลี่หลิงซู่อ่อนกำลังมากที่สุด

ส่วนเหิงหย่วน เนื่องจากไม่อาจโน้มน้าวใจให้ตนปล้นทรัพย์คนรวยช่วยคนจนได้ เขาจึงไม่ได้รวบรวมผู้ลี้ภัยมาจัดตั้งกองทัพ เพียงแค่ช่วยเหลือชาวบ้านที่หิวโหยและหนาวเหน็บเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง