ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 710

สรุปบท บทที่ 710 จุดประสงค์ของไป๋ตี้: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 710 จุดประสงค์ของไป๋ตี้ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 710 จุดประสงค์ของไป๋ตี้ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 710 จุดประสงค์ของไป๋ตี้

หมายเลขเจ็ด ‘จะเกิดเรื่องอะไรกับพระพุทธเจ้าได้ คงไม่มีทางโผล่ออกมาสู้กับเจ้าหรอกกระมัง’

‘คิดจะเปลี่ยนเรื่องหรือ? วิธีการนี้ไม่ได้เรื่องเลย…’ หลี่หลิงซู่ยิ้มเยาะอย่างดูแคลนอยู่ในใจ เขาไม่ตกหลุมพรางนี้แน่ จากนั้นก็ส่งข้อความไปว่า

‘พวกเรามาคุยกันเรื่องงานแต่งของเจ้ากับองค์หญิงหลินอันต่อดีกว่า ข้าเคยพบองค์หญิงหลินอันมาก่อนนะ แหมๆ เป็นผู้ที่ชวนให้ตะลึงเสียจริง งามกว่าเมี่ยวเจินกับองค์หญิงฮว๋ายชิ่งรวมกันตั้งสามส่วนเชียวล่ะ’

เพื่อล้างแค้นให้กับความอับอายในกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ที่เจี้ยนโจว เทพบุตรจึงไม่ลังเลเลยที่จะล่มจมไปพร้อมๆ กับสวี่ชีอัน

สมาชิกในพรรคฟ้าดินไม่สนใจข้อมูล ‘เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า’ อันดับแรกเป็นเพราะนี่เป็นเรื่องของผู้อยู่เหนือระดับ ห่างไกลจากพวกเขาเกินไป อีกอย่าง เป้าหมายที่สวี่ชีอันคิดจะเปลี่ยนเรื่องคุยก็ชัดเจนเสียยิ่งกว่าอะไรด้วย

เห็นได้ชัดเลยว่าต้องการใช้หัวเรื่องพระพุทธเจ้ามาทำให้เรื่องการอภิเษกสมรสไม่เป็นที่สนใจอีกต่อไป

หมายเลขสาม ‘ครั้งก่อนข้าบอกไปแล้วว่าที่ไปซินเจียงตอนใต้ก็เพื่อปลดผนึกให้เสินซู พวกเจ้าไม่แปลกใจเลยหรือว่าเสินซูกับเผ่าพันธุ์ปีศาจมีความเกี่ยวพันกันอย่างไร แล้วเหตุใดสำนักพุทธจึงต้องผนึกเสินซูด้วย?’

‘พูดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาก็ไร้ความหมาย…’ หลี่หลิงซู่แสยะยิ้ม ขณะที่กำลังจะลากกันลงโคลนตม เขาก็เห็นศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความมาเสียก่อน

‘เรื่องของเสินซู สามารถบอกให้รู้ทั่วกันได้หรือ? เปิดเผยให้พวกเรารู้ได้ด้วยหรือ?’

‘หมายความว่าอย่างไร? ศิษย์น้องเหมือนจะให้ความสำคัญกับเสินซูคนนี้มาก…’ หลี่หลิงซู่นิ่งไป

หมายเลขสี่ ‘ความจริงข้าอยากจะถามตั้งแต่ครั้งก่อน ที่เจ้าบอกว่าต่อสู้กับอาซูหลัวและปลดผนึกเสินซูนั่นแล้ว’

พวกเขารับรู้ถึงการมีอยู่ของเสินซู สวี่ชีอันได้สารภาพกับสมาชิกในหนังสือปฐพีตั้งนานแล้วว่าสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอนั้นเข้ามาอยู่ในร่างกายของตนเอง

ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ถามก็เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของสวี่ชีอันและความลับของเผ่าพันธุ์ปีศาจ เว้นเสียแต่จะเกี่ยวข้องตัวเองหรือตนมีส่วนร่วมด้วย พวกเขาก็ยากจะเอ่ยถามเรื่องที่เป็นความลับใหญ่หลวงออกมาแบบโต้งๆ ได้

สมาชิกพรรคฟ้าดินยังพอมีสติปัญญาในเรื่องแบบนี้อยู่

หมายเลขสาม ‘ก่อนหน้านี้ข้าต้องแก้ไขเรื่องเรื่องหนึ่งเสียก่อน สิ่งที่ลี่น่าพูดในตอนนั้น ที่บอกว่าในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีเคยมีครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ปรากฏตัวขึ้น คนผู้นั้นไม่ใช่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางผู้เป็นเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจ แต่เป็นเสินซู’

จนกระทั่งถึงเวลานี้ เขาก็จำเนื้อหาของเรื่องราวในครั้งนั้นได้ครบถ้วนสมบูรณ์หมดแล้ว

ลี่น่าพูดแค่ว่าในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีครั้งนั้นมีครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ปรากฏตัวออกมา ซึ่งตนเองและสมาชิกคนอื่นๆ ดันคิดไปเองว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคือครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ผู้นั้น

หมายเลขหนึ่ง ‘สิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอ เสินซูผู้นั้น ที่แท้ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ก็คือเขา?’

ฮว๋ายชิ่งที่แต่ไหนแต่ไรชอบเฝ้าหน้าจอก็ยังกระโดดออกมาร่วมวงอย่างอดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ภายในใจของสมาชิกคนอื่นๆ ล้วนได้รับผลกระทบหนักมากแค่ไหน

หลังผ่านไปสิบวินาที เหิงหย่วนก็เอ่ยทอดถอนใจออกมา

‘ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ ที่แท้ก็อยู่ใกล้กับข้าถึงขนาดนี้’

เพราะเรื่องของศิษย์น้องเหิงฮุ่ย เขาจึงเข้าไปพัวพันกับคดีนี้และเกือบถูกแขนขวาของเสินซูสังหารเอา

หมายเลขสอง ‘ลี่น่าหลอกข้า’

หลังผ่านความตกตะลึงไป หลี่เมี่ยวเจินก็ส่งข้อความระบายออกมาโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่านางเป็นเหมือนกับสวี่ชีอันที่คิดไปเองว่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางคือครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์

หมายเลขสี่ ‘ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ที่ปรากฏตัวในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีคือเสินซู เขาถูกสำนักพุทธผนึกเอาไว้ แต่เขาก็เป็นคนของสำนักพุทธ ทว่ากลับต่อสู้ให้กับของอาณาจักรหมื่นปีศาจในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปี จิ๊ๆ เรื่องที่อยู่เบื้องหลังนี้แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว…’

ฉู่หยวนเจิ่นใช้เวลาเพื่อย่อยข้อมูลนี้พอสมควร จากนั้นก็เริ่มเขียนข้อความยาวเหยียด ดังนั้นจึงเป็นคนสุดท้ายที่ส่งข้อความมา

หมายเลขเจ็ด ‘ขอถาม เสินซูคือผู้ใดหรือ? บนโลกนี้มีตัวตนเช่นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ด้วยหรือ? มิใช่บอกว่าขั้นสุดของจอมยุทธ์คือขั้นหนึ่งหรอกหรือ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็ไม่เคยมีเทพยุทธ์ปรากฏออกมาเลย’

เนื่องจากหลี่หลิงซู่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาครึ่งปี จึงไม่ค่อยรู้เรื่องเมื่อก่อนนัก

ตอนที่เขาได้รับชิ้นส่วนหมายเลขเจ็ด หมายเลขสามและหมายเลขเก้าล้วนยังอยู่ในการดูแลของนักบวชเต๋าจินเหลียน

ไม่มีใครสนใจหลี่หลิงซู่ ฮว๋ายชิ่งส่งข้อความต่อ

‘แต่เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับพระพุทธเจ้า?’

องค์หญิงใหญ่จับประเด็นสำคัญได้ดียิ่ง นางไม่ได้ตกใจเรื่องข่าวคราวของครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์จนลืมหัวข้อสนทนาไป

หมายเลขสาม ‘ในสงครามครั้งแรกเริ่มเพื่อช่วยเผ่าพันธุ์ปีศาจฟื้นฟูอาณาจักรนั้น ชิ้นส่วนร่างกายของเสินซูก็ลงมือด้วยเช่นกัน เพราะการเพ่งเล็งของพระโพธิสัตว์กว่างเสียน เสินซูจึงตกอยู่ในสภาพบ้าคลั่ง หลังจากพวกเราทำให้เขายอมจำนนได้อย่างยากเย็น เขาก็บอกมาว่าจำเรื่องเมื่อก่อนและตัวตนที่แท้จริงของตัวเองได้แล้ว’

สวี่ชีอันส่งข้อความนี้เสร็จ ก็ตั้งใจเว้นระยะ

หมายเลขสอง ‘ตัวตนที่แท้จริงของเขา? รีบพูดเร็วเข้า เจ้าจะอมพะนำอะไรกัน’

หลี่เมี่ยวเจินที่รออยู่หลายนาทีก็ไม่ได้รับข้อมูลต่อเริ่มโมโหแล้ว

สมาชิกคนอื่นไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจล้วนพากันก่นด่าสวี่ชีอัน

หมายเลขสาม ‘เขาบอกว่า เขาจำได้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร เขาคือ…พระพุทธเจ้า!’

กลุ่มสนทนาในหนังสือปฐพีตกอยู่ในความเงียบสงัดทันที

สวี่ชีอันอาบแดดไปพลางหยิบถุงน้ำขึ้นมาดื่มอึกๆ และรอคอยอย่างอดทน

พอดีกับที่ในเวลานี้มู่หนานจือก็ตกได้ปลาตัวใหญ่ เทพดอกไม้ดึงคันเบ็ดอย่างดีอกดีใจ ร่างกายท่อนบนเอนตัวไปข้างหน้ายกใหญ่จนสวี่ชีอันกังวลว่าตัวนางจะถ่วงน้ำหนักจนตกน้ำตกท่า

“ไป๋จี มาช่วยเร็ว!”

มู่หนานจือเอ่ยเรียก

ไป๋จีที่ว่ายอยู่รอบเรือรับคำแล้วดำลงไปในน้ำเพื่อช่วยมู่หนานจือจับปลา

ผิวน้ำกระเพื่อมอย่างรุนแรงราวกับว่าไป๋จีกำลังต่อสู้ดุเดือดกับปลาใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำ

ผ่านไปพักหนึ่งไป๋จีก็โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ อุ้งเท้าขวาของมันยกขึ้นมาปิดแก้มแล้วร้องไห้จ้า

“มันตบข้า…”

มู่หนานจือแค้นนักที่หลอมเหล็กแต่เหล็กดันไม่กลายเป็นเหล็กกล้า

“เจ้าตัวไร้ประโยชน์ เจ้าเป็นผู้อาวุโสในอาณาจักรหมื่นปีศาจนะ”

หลังจากฉุดดึงอยู่พักหนึ่งปลาใหญ่ก็หลุดจากเบ็ดไปได้สำเร็จ มู่หนานจือทั้งโมโหทั้งผิดหวัง จากนั้นก็เริ่มตกปลารอบที่สองด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

กระทั่งในตอนนี้ สวี่ชีอันก็ได้รับความรู้สึกใจสั่นไหว ในที่สุดก็มีคนส่งข้อความมาแล้ว

หมายเลขสอง ‘เมื่อกี้หนังสือปฐพีของข้าตกลงพื้น…’

ทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ ทั้งร่างก็ราวกับมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจนทำให้นางเสียความสามารถในการคิดคำนวณไป ลืมสิ้นแม้กระทั่งการหายใจ

หมายเลขสี่ ‘เหลือเชื่อนัก เหลือเชื่อจริงๆ จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเสียใจแล้วสิที่ได้ฟังข่าวนี้ของเจ้า’

ฉู่หยวนเจิ่นส่งข้อความมาเป็นคนที่สอง

หมายเลขเจ็ด ‘ข้านี่ขนลุกเลย’

หลี่หลิงซู่ยอมรับเลยว่าข้อมูลที่สวี่ชีอันโยนลงมานี้เพียงพอจะสะเทือนฟ้าดินได้แล้ว อย่าว่าแต่เรื่องงานอภิเษกขององค์หญิงหลินอันกับสวี่ชีอันเลย ต่อให้เป็นเรื่องประเภทที่องค์จักรพรรดิแต่งงานกับสวี่ชีอันก็ยังสามารถถูกเปลี่ยนเรื่องได้ง่ายๆ

หมายเลขหก ‘นี่คือเรื่องจริงหรือ…’

ไต้ซือเหิงหย่วนไม่ได้เอ่ยระบายอารมณ์ออกมา แต่ถามกลับ

สวี่ชีอันถอนหายใจราวกับมองเห็นแววตาทึมทื่อและสีหน้าซีดขาวในตอนนี้ของไต้ซือเหิงหย่วนอย่างไรอย่างนั้น

หมายเลขสาม ‘จริงแท้แน่นอน อีกอย่าง เรื่องนี้ดีที่สุดก็ควรเก็บเป็นความลับไว้ อย่าได้แพร่งพรายออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีภัยถึงตัว’

เขาไม่ได้มีหน้าที่รักษาความลับให้กับพระพุทธเจ้า ดังนั้นจึงเผยแพร่มันให้กับแวดวงที่เชื่อถือได้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับผู้อยู่เหนือระดับ จึงต้องเอ่ยเตือนสมาชิกในพรรคฟ้าดินสักหน่อย

“…” สวี่ชีอันยิ้มมุมปาก

ข้าจะเตะก้นเจ้าออกไปไกลๆ เลย…เขารีบร้อนเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและไม่ดูข้อความกระแนะกระแหนของหลี่หลิงซู่และการเยาะเย้ยของหลี่เมี่ยวเจินอีก

เมืองจิ้งซาน

ยอดเขาแห้งแล้งทอดยาวสลับกัน ผิวน้ำในระยะไกลทอประกายเจิดจรัสใต้แสงอาทิตย์ แต่กลับนิ่งเงียบไร้ชีวิตชีวา

การต่อสู้ที่เมืองจิ้งซานในวันนั้น ซ่าหลุนอากู่ได้ดูดซึมพลังจิตวิญญาณของพื้นที่แห่งนี้ไปหมด จนทำให้พื้นดินไม่อาจเพาะปลูกพืชพรรณ น้ำทะเลก็ไม่อาจหล่อเลี้ยงสัตว์น้ำ และภูเขาก็ไม่อาจฟื้นตัวได้อีก

สิ่งนี้ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอย่างน้อยสิบปีจึงจะทำให้ขอบเขตหลายสิบลี้ของเมืองจิ้งซานกลับมามีปราณชีวิตอีกครั้ง

ซ่าหลุนอากู่สวมเสื้อคลุมผ้ากระสอบยืนอยู่บนยอดเขารกร้างพร้อมอุ้มลูกแกะไว้ในอ้อมแขน

ทันใดนั้น เขาก็พลันเงยหน้ามองฟ้าเหนือทะเลเมฆหมอก

ผ่านไปพักหนึ่ง ม่านเมฆก็สลายตัวทันใดแล้วปรากฏให้เห็นศีรษะใหญ่โตมโหฬารราวกับขุนเขาออกมา

จมูกวัว ปากจระเข้ แผงคอสิงโต อีกทั้งบนหน้าผากยังมีเขาคู่หนึ่ง ดวงตาสองข้างเป็นขีดตั้งสีฟ้าใส ทั้งงดงามและแปลกประหลาด

ชั่วพริบตาที่สัตว์ประหลาดตนนี้ปรากฏตัวขึ้น ผิวน้ำที่แน่นิ่งก็เกิดคลื่นซัดโหม พลังชีวิตแห่งสายน้ำพลันรวมขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งแล้วเปล่งปราณชีวิตออกมา

มันกลายเป็นผืนทะเลที่สามารถหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตได้อีกครั้ง

“ข้าเกลียดทะเลที่แน่นิ่ง”

น้ำเสียงของไป๋ตี้ทั้งทุ้มต่ำและนิ่งสงบ ราวกับทำเรื่องเล็กน้อยไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง

“ไม่คิดเลยว่าวันนี้เวลานี้จะได้พบเห็นสายเลือดเทพมารระดับเช่นนี้ในดินแดนจิ่วโจว” ซ่าหลุนอากู่แย้มยิ้มไปถึงดวงตา

“โปรดลงมาคุยเถิด”

ศีรษะยักษ์ใหญ่หายไปแล้ว แสงสีขาวตกลงมาจากฟ้าแล้วรวมตัวกับบนอากาศเบื้องหน้าซ่าหลุนอากู่

ซ่าหลุนอากู่พินิจมองสัตว์ประหลาดตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้น

“ไป๋ตี้!”

ดวงตาสีฟ้าของไป๋ตี้จดจ้องมองปรมาจารย์พ่อมดแล้วเอ่ยเสียงขรึม

“ขั้นหนึ่งจากสายพ่อมด เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”

ขณะที่เอ่ยพูด เกล็ดที่แก้มสองข้างก็เปิดออกและเผยให้เห็นเหงือกสีแดงอ่อน

สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก

ซ่าหลุนอากู่พยักหน้า

“สำนักพ่อมดแทรกซึมอยู่ในอวิ๋นโจวมาหลายปี เรื่องชื่อเสียงของไป๋ตี้นั้นย่อมโด่งดังดุจเสียงฟ้าคำราม”

ไป๋ตี้นิ่งเงียบแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนเอ่ยว่า

“ตอนนั้นที่ข้ากลับมายังดินแดนจิ่วโจวเพื่อลองหยั่งเชิงท่าทีของปรมาจารย์เต๋า ผลกลับเหนือความคาดหมาย ในยุคสมัยโบราณกาล ปรมาจารย์เต๋าที่ขับไล่พวกเราออกไปจากจิ่วโจวกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อการหยั่งเชิงของข้าเลย ข้าเริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติ จึงทิ้งวิธีการเชื่อมต่อเอาไว้อวิ๋นโจว จนกระทั่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน โหรคนหนึ่งที่ชื่อสวี่ผิงเฟิงก็ได้ปลดวิธีการนั้นและติดต่อข้ามาได้ จากคำของเขา ข้าจึงรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของจิ่วโจวหลังจากสิ้นปรมาจารย์เต๋า และรู้ว่าเขาได้หายตัวไปนานแล้ว”

ซ่าหลุนอากู่อดทนฟังจบก็เอ่ยถามว่า

“จุดประสงค์ที่ท่านกลับมายังดินแดนจิ่วโจวและมาพบข้าที่เมืองจิ้งซานคืออะไร?”

……………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง