ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 711

บทที่ 711 แผนที่อันไร้ค่า

สำหรับคำถามของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ไป๋ตี้มิได้ตอบทันที เพราะรอช่วงจังหวะของตนเอง

“ข้าไปสักการะเทพเจ้ากู่มาแล้ว เทพเจ้ากู่บอกกับข้าว่า บางทีปรมาจารย์เต๋าคงร่วงหล่นไปแล้ว

“ข้าคิดว่าสิ่งนี้คงไม่เหมาะกับทักษะและความสามารถของปรมาจารย์เต๋า ครั้นไปเยือนที่นิกายสวรรค์มาหนหนึ่ง จึงได้เห็นวิธีการฝึกพลังภายในของนิกายสวรรค์ทั้งหมด ข้าเลยพลันตระหนักได้ว่า บางทีปรมาจารย์เต๋าอาจร่วงหล่นไปแล้ว

“ทั้งเขาและเทพกู่บรรพกาลต่างเป็นเฉกเช่นเดียวกัน ร่วงหล่นในย่างก้าวสุดท้าย”

ด้านพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่มีสีหน้าสงบนิ่ง ไร้ข้อสงสัยและไม่เอื้อนเอ่ยคำใด

ดวงตาสีฟ้าดุจทะเลของไป๋ตี้พินิจมองไปที่เขา ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า

“เจ้ารู้ความลับมากมายตามที่คิดไว้จริงๆ ด้วย”

หลังผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายไป๋ตี้ก็ตอบคำถามเมื่อครู่

“จิ่วโจวจะเกิดความเปลี่ยนแปลง และโลกนี้ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน นับตั้งแต่อดีตกาลมา นี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองแล้ว

“จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งก่อน ที่ยุคสมัยของเทพมารได้จบสิ้นลง นอกจากเทพเจ้ากู่แล้ว ก็ไม่มีเทพมารองค์ใดที่เกิดขึ้นแล้วจะสามารถอยู่รอดได้

“การเปลี่ยนแปลงเป็นทั้งภัยพิบัติและโอกาส เป็นโอกาสที่พันปีก็ยากจะพบ แต่หากคิดอยากจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายกลางภัยพิบัติ พวกเราก็จำเป็นต้องหาผู้เฝ้าประตู”

ซ่าหลุนอากู่ขมวดคิ้วเอ่ย “ผู้เฝ้าประตู?”

เขาไม่คุ้นชินกับคำนี้ จึงไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร

ไป๋ตี้พยักหน้า “ถูกต้อง ผู้เฝ้าประตู!

“ยามอดีตกาล ข้าติดตามบิดาท่องยุทธภพไปทั่วจิ่วโจว และได้สักการะเทพมารองค์หนึ่ง รูปลักษณ์ของพระองค์เหมือนดั่งเต่างู งูสามารถมองเห็นจิตใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ส่วนเต่าก็สามารถทำนายความลับสวรรค์ได้ หึๆ วิชาพยากรณ์ในสำนักพ่อมดของพวกเจ้า เกินครึ่งก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากพระองค์นี่แล”

เดิมทีเผ่ามนุษย์ในสมัยโบราณก็เป็นดั่งมดแมลงที่แสนต่ำต้อย ทว่าภายหลังกลับขยันขันแข็งไม่ย่อท้อต่อการเรียนรู้ จึงค่อยๆ เข้าใจพลังของฟ้าดินทีละก้าว จนริเริ่มสร้างสองแนวทางแห่งการบำเพ็ญอย่างจอมยุทธ์และลัทธิเต๋าขึ้นมา

ในช่วงระหว่างนั้น เทพมารที่เกิดมาพร้อมกับพลังอันน่าหวาดหวั่น ก็กลายเป็นเป้าหมายที่เอาไว้เรียนรู้และศึกษา

ดังตามตำนานที่กล่าวไว้ว่า ช่วงที่จักรพรรดิในอดีตจัดการปัญหาน้ำท่วมนั้น ก็เห็นเทพเจ้าเต่าตนหนึ่งลอยปรากฏบนผิวน้ำ โดยบริเวณกระดองมีลวดลายดูลึกลับพิศวง

และแล้วจักรพรรดิองค์นั้นก็ได้รับการอวยพรเพิ่มพูนปัญญา จนสามารถคิดวิชาพยากรณ์ที่ใช้ในการทำนายเสี่ยงโชคออกมาได้

เผ่ามนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ค่อยๆ เรียนรู้ทีละนิด ค่อยๆ ศึกษาอย่างเจาะลึกทีละก้าว จนถึงทุกวันนี้ไม่ว่าจะแนวทางการบำเพ็ญใดก็ล้วนมีอยู่บนโลก

ส่วนเทพพ่อมดก็ได้สร้างแนวทางการบำเพ็ญของพ่อมดขึ้นมา ทว่าวิชาที่สำนักพ่อมดครอบครองอยู่นั้น เทพอู่หาได้สร้างขึ้นเองทั้งหมดไม่ หรือพูดได้ว่า เทพพ่อมดใช้ประสบการณ์กับวิชาจากบรรพบุรุษ เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคและต่อยอด จนสร้างแนวทางการบำเพ็ญของสำนักพ่อมดได้

ก็เหมือนกับปรมาจารย์เต๋า คนรุ่นหลังต่างเรียกเขาว่าเป็นผู้ก่อตั้งแนวทางการบำเพ็ญลัทธิเต๋า ซึ่งแท้จริงแล้วก่อนหน้าปรมาจารย์เต๋า เดิมทีแนวทางการบำเพ็ญวิชาในลัทธิเต๋าก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยมีผู้ทำการรวบรวมด้านนี้ จึงไม่เคยปรากฏคุณูปการชั้นยอดออกมา

“ยามนั้นเลยเป็นช่วงสิ้นสุดของเทพมาร เทพมารองค์นี้เคยกล่าวไว้ว่า หากการเปลี่ยนแปลงครานี้ไร้ซึ่งผลลัพธ์ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ในครั้งถัดไปก็จะปรากฏผู้เฝ้าประตูขึ้น”

จากนั้นไป๋ตี้ก็เอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “หากเจอตัวผู้เฝ้าประตู ก็ฆ่าผู้เฝ้าประตูเสีย ถึงจะกลายเป็นผู้ชนะกลางภัยพิบัติได้”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ ไป๋ตี้ก็พลันหยุดชะงัก แล้วมองไปทางซ่าหลุนอากู่อย่างนิ่งเงียบ

คนดังกล่าวลังเลไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเอ่ยว่า

“ถึงข้าจะไม่เคยได้ยินเรื่องการมีอยู่ของผู้เฝ้าประตูมาก่อน แต่เจ้าคาดการณ์ผิดแล้ว เวลาของ ‘การเปลี่ยนแปลง’ ที่ถูกต้อง มันคือเมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีที่แล้วต่างหาก”

ภายในดวงตาสีฟ้าของไป๋ตี้ เป็นรูม่านตาเหมือนดั่งแมวที่เมื่อเจอแสงจ้าก็จะหรี่แคบโดยพลัน

“ความหมายของเจ้าคือ…”

ซ่าหลุนอากู่พยักหน้ากล่าว “ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ทำการปิดผนึกขั้นสูง และได้เลื่อนเวลาของ ‘การเปลี่ยนแปลง’ เมื่อหนึ่งพันสองร้อยปีก่อนเอาไว้ ผู้เฝ้าประตูที่เจ้าว่าคงตายจากไปแล้วกระมัง”

ไป๋ตี้เปิดเผยอารมณ์ผ่านสีหน้าทันใด

“หลังจากกลับแผ่นดินใหญ่ สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือ เหตุใดปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ต้องทำการปิดผนึกขั้นสูงเอาไว้ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว และก็เข้าใจอีกว่าไฉนเทพเจ้ากู่ถึงกล่าวว่า เขาเคยคิดว่าปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์คือผู้เฝ้าประตู”

หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ไป๋ตี้ก็เอ่ยต่อว่า

“ข้าได้กำจัดปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์และปรมาจารย์เต๋าไปแล้ว เช่นนั้นแล้วเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งจิ่วโจวในแผ่นดินใหญ่ที่เหลือ ใครคนไหนที่มีความน่าจะเป็นผู้เฝ้าประตูมากที่สุด ข้าก็คิดตัดสินไว้ในใจแล้ว แต่ก็ยังขาดหลักฐาน สาเหตุที่ข้ามาหาเจ้าถึงที่นี่ ก็ต้องการจะพูดเหตุผลมากมายเช่นนี้”

ซ่าหลุนอากู่ขมวดคิ้วขาวเล็กน้อย

“มีสิ่งใดก็ว่ามา”

ไป๋ตี้จึงกล่าวตรงประเด็น

“ข้ากำลังสงสัยว่าท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งคือผู้เฝ้าประตู ซึ่งก็เป็นลูกศิษย์ของเจ้าด้วย”

ซ่าหลุนอากู่ส่ายหน้าตอบ

“เขาก็เหมือนกับปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ ต่างเป็นคนตายไปแล้ว”

“สิ่งนี้แหละที่ข้ากำลังสงสัย เดิมทีข้าอยากจะลองตรวจสอบท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง แต่กลับพบว่าข้อมูลทุกอย่างของเขาได้ถูกท่านโหราจารย์คนปัจจุบันลบทิ้งเสียหมด หากอยากจะคลายข้อสงสัย ก็มีแต่เพียงต้องมาหาเจ้า”

ไป๋ตี้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แนวทางการบำเพ็ญคืนชีพของโหรที่มีต่อพ่อมด ในบางแง่มุม ก็ถึงขั้นไว้ใช้สำหรับควบคุมพวกพ่อมด ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งเป็นลูกศิษย์เจ้า เจ้ามีความเห็นต่อเขาว่าอย่างไร”

ซ่าหลุนอากู่มองไปยังที่ห่างไกล โดยมีสีหน้าสะเทือนใจเล็กน้อย

“เก่งกาจดั่งเทพประทานพรเชียวล่ะ เขาถึงขั้นสามารถสร้างแนวทางการบำเพ็ญของโหรได้ ซึ่งมันเกินที่ข้าคาดหมายเอาไว้ และข้าก็งงงวยอยู่หลายปีเลย”

ไป๋ตี้พยักหน้าพลางฟังไปด้วย “จากมุมมองของเจ้า มีพรสวรรค์แต่ไม่เพียงพอต่อการก่อตั้งนิกาย จึงสร้างแนวทางการบำเพ็ญของโหรขึ้นแทน และแน่นอนว่า พรสวรรค์ไม่อาจแทนทุกสิ่ง ความสำเร็จของคนคนหนึ่ง ย่อมเกี่ยวพันกับประสบการณ์ที่จะได้รับในอนาคตด้วย”

“สวี่ผิงเฟิงบอกว่า เขาเคยนำพวกพ่อมดในสำนักพ่อมดไปต่อสู้ชิงอำนาจกับจักรพรรดิที่ก่อตั้งต้าฟ่งด้วย”

ซ่าหลุนอากู่พยักหน้า

“ตอนนั้นปีศาจเดินเท้าเจอเด็กนั่นเป็นครั้งแรกที่จงหยวน เป็นมิตรภาพที่ไม่เลวเลยทีเดียว ต่อมาเจ้าเด็กนั่นคิดอยากจะทำสงคราม แต่ก็ประสบกับความพ่ายแพ้ จนแทบเอาตัวไม่รอด แล้วเขาก็มาขอความช่วยเหลือปีศาจเดินเท้าถึงหน้าประตู โดยบอกว่าขอเพียงสำนักพ่อมดช่วยเขาโค่นล้มต้าโจว และขึ้นปกครองจงหยวน เขาก็จะให้สำนักพ่อมดเป็นศาสนาประจำชาติ

“ทั้งยังจะให้สำนักพ่อมดครอบครองชะตากรรมของจงหยวนแต่เพียงผู้เดียว ในตอนนั้นข้าและปรมาจารย์น่าหลันอวี่ต่างก็เห็นด้วยกับความคิดเช่นนั้น จึงตกลงเข้าร่วมกับเขา

“ทว่าเมื่อเขาโค่นล้มฝ่ายนั้นสำเร็จ และก่อตั้งราชวงศ์ต้าฟ่งได้ ข้าก็ขอให้เขาทำตามสัญญา ที่ว่าให้สำนักพ่อมดเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เขากลับปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว ทั้งยังส่งจดหมายมาต่อว่าข้าว่าเป็นคนหน้าหนาไร้ยางอายถึงสามฉบับ

“พูดว่าตัวเองเป็นชาวจงหยวนผู้มีเกียรติ จะทำข้อตกลงกับชนเผ่าอื่นให้เหล่าบรรพบุรุษอับอายได้อย่างไร ข้าจึงเดือดดาลในทันที และเขียนจดหมายติเตียนเด็กหนุ่มที่ไร้ศีลธรรมนั่น จากนั้นเขาก็ตอบกลับมาให้ข้าเป็นคนรับผิดชอบจัดการเอาเอง”

ไป๋ตี้ถามต่อ “แล้วจากนั้นล่ะ?”

“จากนั้นข้าก็คัดเลือกยอดฝีมือจำนวนสองแสนคนไปจัดตั้งกองกำลังที่ชายแดน หมายจะเคลื่อนทัพบุกเมืองหลวงต้าฟ่ง แต่ถูกปีศาจเดินเท้าขัดขวาง เขาในเวลานั้นระดับพลังได้ก้าวเข้าสู่ขั้นหนึ่งแล้ว ทั้งยังเริ่มสร้างแนวทางการบำเพ็ญโหรอีก ภายในดินแดนจงหยวนทั้งปวง กระทั่งตัวข้าเองก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

ซ่าหลุนอากู่มองย้อนกลับไปยังในอดีต ช่วงเวลาหกร้อยปีที่ผ่านมา ก็ไม่เหลือความเป็นศัตรูตั้งนานแล้ว มีเพียงแต่ความรู้สึกสะท้อนใจและน่าขบขันเท่านั้น

“สถานการณ์ชัดเจนไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว สำนักพ่อมดสูญเสียอย่างหนักจนตกอยู่สภาวะพูดไม่ออก และทำได้เพียงเท่านี้”

ไป๋ตี้ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า

“ก่อนหน้านี้ เจ้าไม่รู้สักนิดเลยหรือว่าเขาได้ริเริ่มสร้างแนวทางการบำเพ็ญของโหร? ตอนที่เขาโค่นล้มสำเร็จแล้วก่อตั้งราชวงศ์ต้าฟ่งกับจักรพรรดิเกาจู่ ก็น่าจะมีพฤติกรรมที่ดูแปลกไปจากเดิมบ้างสิ”

ซ่าหลุนอากู่นึกย้อนความทรงจำที่แสนยาวนาน หกร้อยปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางรายละเอียดต่างๆ หากมิได้ตั้งใจจะจำ แม้มีพลังขั้นหนึ่ง ก็ยากที่จะนึกออกได้ในทันที

“ในปีที่สามของการทำสงคราม เขาเคยเขียนจดหมายมาหาข้า ถามหลายคำถามที่ดูแปลกๆ ซึ่งมีอยู่คำถามหนึ่งที่ทำให้ข้าในตอนนั้นถึงกับประหลาดใจขีดสุด เขาพูดว่า บรรดาจักรพรรดิแห่งดินแดนจงหยวนในอดีตล้วนนำดวงชะตาติดตัวทั้งสิ้น แล้วเคยมีใครเคยนำชะตาบ้านเมืองติดตัวบ้างหรือไม่?”

ซ่าหลุนอากู่กล่าวเสียงเคร่งขรึม

“การบำเพ็ญของสำนักพ่อมดจะเกี่ยวข้องกับโชคชะตาอยู่แล้ว เขาไม่น่าจะถามคำถามเช่นนี้ ข้าจึงเขียนจดหมายหาเขาว่าเหตุใดถึงถามเช่นนี้ เขาก็บอกว่าตอนนั้นได้พูดคุยประเด็นนี้กับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งลัทธิขงจื๊อในเชิงลึก เลยตื่นเต้นจนแสดงอาการออกมาเท่านั้น จนถึงตอนนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือไม่ แต่นั่นคงเป็นครั้งแรกที่เขาปะติดปะต่อปัญหาเกี่ยวกับโชคชะตาได้

“หลังจากนั้น ข้าก็ได้ยินมาว่าเขาสามารถสร้างวิชาหลอมอาวุธได้ด้วยตัวเอง ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวเรื่องนี้มากขนาดนั้น เพราะด้วยความสามารถของเขา จะสร้างสิ่งใดสำเร็จก็มิใช่เรื่องยากเย็นอะไร”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง