ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 713

บทที่ 713 แผนอันยอดเยี่ยมของหยางเชียนฮ่วน

หลังจากสองศิษย์พี่ศิษย์น้องเดินไปพลางพูดคุยไปพลางจนผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็เลี้ยวออกจากเส้นทางแคบเปล่าเปลี่ยวเข้าสู่ถนนหลวง

ถนนหลวงคึกคักขึ้นมาทันที ไม่ใช่ความคึกคักตามปกติทั่วไป แต่ทั้งสองข้างทางของถนนหลวงมีผู้ลี้ภัยมารวมกันจำนวนมาก

พวกเขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บ้างก็พยายามขุดรากต้นไม้ใบหญ้า บ้างก็นั่งเหม่อลอย บ้างก็นอนหายใจรวยรินอยู่บนกองหญ้าแห้ง

ท่ามกลางฝูงชนยังมีกระโจมโกโรโกโสอยู่เป็นหลังๆ

‘สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองมาก พวกเขามารวมตัวอยู่ที่นี่ทำไม ทั้งยังไม่มีของกินด้วย…’ ฉู่ไฉ่เวยเห็นแล้วก็ฉงน

ขณะที่นางละสายตาไปมองหยางเชียนฮ่วนที่อยู่ด้านหน้านั้น ก็เห็นว่าเขาสวมหมวกคลุมใบหนึ่งแล้ว ผ้าที่ย้อยลงมาคลุมไม่ใช่ผ้าบางๆ แต่กลับเป็นผ้าฝ้ายหนาๆ จอมยุทธ์ระดับเหนือมนุษย์ยังมองผ้าฝ้ายชนิดนั้นไม่ทะลุเลย

“ท่านแม่ ข้าหิวจัง…”

เด็กชายอายุราวๆ หกเจ็ดขวบที่อยู่ริมถนนม้วนตัวอยู่ในอ้อมกอดของมารดา

ทั้งสองแม่ลูกผมยุ่งเป็นกระเซิง หน้าตาก็สกปรกมอมแมม ผอมจนเหลือแต่กระดูก

“ทนอีกสักพัก ทนอีกสักพักก็ไม่หิวแล้ว”

แม่ที่ยังสาวกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมกอด ขณะที่ตัวสั่นเทิ้มท่ามกลางลมหนาวนั้น นางก็พูดไปด้วย “รอเจ้าหลับแล้วก็ไม่หิวแล้ว…”

แม่ยังสาวมีรอยฟกช้ำหลายแห่งบนใบหน้า บริเวณข้อมีมือมีเลือดสีแดงเข้ม ริมฝีปากซีดขาวราวกับได้รับบาดเจ็บ

แววตาของฉู่ไฉ่เวยสะท้อนภาพสีหน้าจนใจและไร้ความรู้สึกของหญิงสาว และสะท้อนภาพการเฝ้าปรารถนาอาหารและความหวาดกลัวต่อความหิวโหยของเด็กชาย

นางก้าวไปย่อตัวลงตรงหน้าสองแม่ลูกอย่างช้าๆ และหยิบหมั่นโถวสองลูกที่ห่อด้วยกระดาษไขวัวออกจากถุงหนังกวางที่ห้อยอยู่บนเอว

ชั่วพริบตาเดียว ดวงตาที่มีเส้นเลือดแดงก่ำแต่ละคู่ก็มองเข้ามา มันเปล่งแสงที่ยากจะอธิบายออกมาได้ น่ากลัวจนดูเหมือนไม่ใช่แววตาของมนุษย์

หญิงสาวรับหมั่นโถวและเขย่าลูกน้อยที่นอนสะลึมสะลืออยู่ จากนั้นก็พูดเร่งเร้า

“รีบกิน รีบกิน…”

ในเวลาเดียวกัน ขณะที่นางยัดหมั่นโถวเข้าปาก ก็หยิบหินที่ฝนจนแหลมคมที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมา นางใช้สายตาดุร้ายกวาดมองผู้ลี้ภัยรอบด้านที่กลืนน้ำลายด้วยความกระหายอยากจะลอง

ในระหว่างนั้นนางก็เร่งให้ลูกชายรีบกินอยู่ไม่หยุด

ฉู่ไฉ่เวยเห็นเด็กชายสำลักจนตาขาวมองบน นางก็รีบหยิบถุงน้ำยื่นไปให้และกล่าวเบาๆ

“ค่อยๆ ดื่มน้ำหน่อย”

ขณะที่เด็กชายดื่มน้ำนั้น ฉู่ไฉ่เวยก็มองหญิงสาวและถามขึ้นมา

“พวกเจ้ามารวมตัวอยู่ที่นี่ทำไม”

จากสิ่งที่นางได้เห็นและได้ยินมา การดำรงชีวิตของผู้ลี้ภัยมีสามรูปแบบ รูปแบบแรกคือกลายเป็นพลพรรคของโจร ปล้นสะดมบ้านประชาชนคนอื่นๆ เหมือนกับตั๊กแตนผ่านแดน และประชาชนที่ถูกปล้นสะดมก็กลายเป็นผู้ลี้ภัย มีขนาดมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกรูปแบบคือติดอยู่นอกเมือง อาศัยการบริจาคทานจากราชสำนักในการประทังชีพ หรือหาของที่กินได้ตามทุ่งกว้างและป่าเขา

อีกรูปแบบคือสมัครเป็นทหาร กลายเป็นทหารบ้าน

สถานการณ์แบบสุดท้ายนี้มีคนเลือกน้อยสุด ประการแรกคือเสบียงของราชสำนักมีจำกัด เลี้ยงดูทหารบ้านมากเกินไปไม่ได้ ประหารที่สองคือชิงโจวกำลังทำสงครามอยู่ กลายเป็นทหารบ้านแล้วจะถูกส่งไปทำศึกที่ชิงโจวอย่างรวดเร็ว

และผู้ลี้ภัยที่รวมตัวกันที่นี่ ข้างหน้าก็ไม่ติดหมู่บ้านข้างหลังก็ไม่ติดกับร้านค้า นั่งรอความตายท่ามกลางลมหนาวหรือ

หญิงสาวกัดหมั่นโถวไปสองคำก็ไม่กินต่อแล้ว นางกำมันไว้ในมือและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง

“ห่างออกไปด้านหน้าหกลี้มีเขาอยู่ลูกหนึ่ง บนภูเขามีจอมโจรภูเขา พวกเขามักจะออกไปปล้นสะดมสิ่งของอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ปล้นกลับมาได้ก็ให้คนมาส่งของกินให้จำนวนหนึ่ง”

หญิงสาวเห็นลูกน้อยกินหมั่นโถวหมดแล้ว ก็ยื่นชิ้นที่อยู่บนมือให้

“กินเถอะ…”

นางมองฉู่ไฉ่เวยอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วกล่าววิงวอนเบาๆ

“แม่นาง ท่านพาลูกของข้าไปได้หรือไม่”

ฉู่ไฉ่เวยอึ้งไปทันที นางย่อมไม่สามารถพาเด็กคนหนึ่งไปด้วยได้ เจ้าเด็กนี่ดูๆ แล้วมีอายุพอๆ กับสวี่หลิงอิน แต่ผอมแห้ง ขี้ขลาดและอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าเลี้ยงสวี่หลิงอินง่ายกว่า

อีกอย่างนางเป็นคนที่ถูกสำนักโหราจารย์ขับไล่ด้วย ออกมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ไปทั่วทิศ ไหนเลยเด็กที่ร่างกายอ่อนแอจะทนลำบากกับการวิ่งเต้นไปทั่วได้

ขณะที่กำลังจะปฏิเสธ พลันได้ยินเสียงวิงวอนของหญิงสาว

“ข้าใกล้จะปกป้องเขาไม่ไหวแล้ว สายตาที่คนเหล่านั้นมองดูเขาดูแปลกขึ้นทุกวัน เมื่อคืนมีคนแอบเอาลูกข้าไปเงียบๆ ยังดีที่ข้าตื่นขึ้นมาทัน จึงสู้ตายกับพวกเขา…”

ฉู่ไฉ่เวยเข้าใจในทันทีว่ารอยฟกช้ำบนใบหน้ากับรอยเลือดสีแดงเข้มบนมือข้อมือของนางเกิดขึ้นได้อย่างไร

ชั่วขณะนี้ ฉู่ไฉ่เวยเกือบหายใจไม่ออก

นางลุกขึ้นมองไปทางถนนหลวงด้านหน้า เห็นกองทหารม้าห้อตะบึงเข้ามาอย่างรวดเร็ว หัวหน้าเป็นหญิงสาวงดงามผู้หนึ่งที่สวมกระโปรงสีดำ ตาโตคิ้วเข้ม บุคลิกห้าวหาญ

“ฮือฮา…”

บรรดาผู้ลี้ภัยที่ซบเซามี ‘ชีวิตชีวา’ ขึ้นมาในพริบตา ครู่เดียวก็ลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินไปใกล้กองทหารม้า

‘ป้าบ!’

หญิงสาวกระโปรงดำหวดแส้ม้าบีบให้ผู้ลี้ภัยที่กรูเข้ามาให้ถอยออกไป และประณามเสียงดัง

“เข้าแถวดีๆ ใครกล้าพุ่งเข้ามา แม่จะฟาดให้ตายเลย”

บรรดาผู้ลี้ภัยไปเข้าแถวอย่างสงบ ดูเหมือนจะหวาดกลัวนางมาก

บรรดาทหารม้าพลิกตัวลงจากม้า ในมือแต่ละคนต่างก็ถือถุงผ้าหนึ่งใบ ในถุงผ้ามีหมั่นโถวบรรจุอยู่ และแจกให้คนละลูก

ขณะที่ผู้ลี้ภัยแต่ละคนรับของกินไปแล้ว ถุงผ้าก็ว่างเปล่าไปด้วย

หญิงสาวกระโปรงดำนั่งอยู่หลังม้า นางสังเกตดูหยางเชียนฮ่วนกับฉู่ไฉ่เวยก่อนกล่าว

“ดูจากการแต่งตัวของพวกเจ้าไม่เหมือนประชาชนผู้ประสบภัย เป็นคนที่ไหนล่ะ”

ขณะที่ฉู่ไฉ่เวยกำลังจะพูด ก็เห็นหยางเชียนฮ่วนลอยขึ้นกลางอากาศ เขาหันหลังกับฝูงชน และค่อยๆ กล่าวออกมา

“สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา หากฟ้าไม่สร้างข้าหยางเชียนฮ่วน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน”

บรรดาฝูงชนรวมถึงผู้ลี้ภัย ณ ที่แห่งนั้นต่างก็ตกตะลึงปากอ้าตาค้างด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง

หญิงสาวกระโปรงดำมีสีหน้าหวาดกลัว ไม่กล้าบุ่มบ่าม นางจึงกล่าวเสียงทุ้ม

“ท่านมาที่นี่มีเป้าหมายอันใด”

นางแอบกุมดาบไว้แน่น

ก่อนหน้านั้นไม่นาน ทางการยังเคยส่งทหารไปโจมตีภูเขาเพื่อทำลายรังของพวกเขา

แม้จะบอกว่าถูกโจมตีจนร่นถอยออกไปในตอนท้าย แต่คุณชายหลี่คาดการณ์อย่างมั่นใจว่าทางการจะไม่รามือเพียงเท่านี้ ในช่วงจังหวะที่สำคัญเช่นนี้พลันมีบุคคลลึกลับที่มีตบะไม่ธรรมดาผู้หนึ่งโผล่ออกมา มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นยอดฝีมือที่ราชสำนักส่งมา

หยางเชียนฮ่วนกล่าวอย่างช้าๆ

“ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนหลี่หลิงซู่สหายของข้า พวกท่านเคยได้ยินมาก่อนหรือไม่”

พระอาทิตย์ที่ดูอบอุ่นลอยอยู่บนท้องฟ้า แต่กลับไม่ให้ความอบอุ่นใดๆ เลย ค่ายภูเขาที่ง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการถูกโจมตีนี้มีควันลอยอ้อยอิ่ง

ชายสวมชุดผ้าฝ้ายเก่าๆ ขาดๆ คนหนึ่งหิ้วตะกร้าไม้ไผ่เดินมาถึงป้อมที่อยู่ตรงปากทางเข้าค่ายภูเขา และตะโกนออกมา

“ลงมากินข้าวได้แล้ว”

“รับทราบ…”

บนป้อมสังเกตการณ์ คนที่รับผิดชอบสังเกตดูสถานการณ์ตอบรับไปทีหนึ่ง จู่ๆ เขาก็กล่าวด้วยความสงสัย

“เอ๊ะ หัวหน้าที่สี่กลับมาแล้ว ทำไมถึงพาคนกลับมาเยอะขนาดนั้น”

หลี่หลิงซู่อัดอั้นมาครึ่งค่อนวัน ก็พ่นออกมาประโยคหนึ่ง

“สมกับเป็นเจ้าจริงๆ!”

“เช่นนั้นเหตุใดแม่นางไฉ่เวยถึงออกมาด้วยล่ะ เหตุใดเจ้าต้องเข้าร่วมด้วย”

ฉู่ไฉ่เวยกล่าวด้วยความลำบากใจ

“รับของกินของคนอื่น ทำธุระแทนคนอื่น ศิษย์พี่หยางเลี้ยงข้าวข้าน่ะสิ”

‘สมกับเป็นเจ้าจริงๆ…’ หลี่หลิงซู่แขวะอยู่ในใจ

ขณะนี้ หยางเชียนฮ่วนกล่าวออกมา

“ข้าพากลุ่มผู้ลี้ภัยที่พบเจอระหว่างทางกลับมาด้วยแล้ว วางแผนจะรวบรวมผู้ลี้ภัย ครอบครองภูเขาเป็นราชาเหมือนกับเจ้า ทางด้านเสบียงนั้นข้าจะจัดการเอง แต่พวกเขาต้องซุกหัวนอนอยู่ในค่ายของพี่หลี่ชั่วคราว”

หยางเชียนฮ่วนกับฉู่ไฉ่เวยพาประชาชนผู้ประสบภัยเหล่านั้นมาด้วยกัน

หลี่หลิงซู่มองจ้าวซู่ซู่ที่ดูแลค่าใช้จ่ายทีหนึ่ง พอเห็นนางพยักหน้าก็กล่าวตอบรับทันที

“คุยกันได้ คุยกันได้ ด้วยหนังสือเคลื่อนย้ายที่ลึกลับของพี่หยาง ปล้นคลังเสบียงของคนรวยที่ไม่มีความเมตตาเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก”

หยางเชียนฮ่วนส่ายหน้า

ข้าไม่ปล้นสะดม อยากได้เสบียงก็ไปซื้อโดยตรง”

จ้าวซู่ซู่ได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

“ศิษย์พี่หยาง นี่ไม่ค่าใช้จ่ายน้อยๆ เลยนะ ตอนนี้เสบียงขึ้นราคา…”

ยังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินฉู่ไฉ่เวยพูดขึ้นมา

“ตอนที่พวกเราออกจากสำนักโหราจารย์นั้น อาจารย์โหราจารย์ได้ให้เงินพวกเราคนละห้าหมื่นตำลึง”

หลี่หลิงซู่ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง “ห้าหมื่นตำลึงเงินหรือ ท่านโหราจารย์ช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง…”

ฉู่ไฉ่เวยส่ายหน้า

“เป็นตำลึงทอง”

‘ฆ่าคนชิงทรัพย์เถอะ…’ หลี่หลิงซู่พูดในใจ

หยางเชียนฮ่วนกล่าวเสียงทุ้ม

“เป้าหมายของข้าในครั้งนี้ นอกจากทนความยากลำบากของประชาชนไม่ได้จนต้องยื่นมือเข้าช่วยแล้ว เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือหวังจะรวบรวมจนกลายเป็นกลุ่มอิทธิพล และกลายเป็นกองทัพใหญ่ที่ไม่อาจดูแคลนได้”

“จากนั้นก็ไปทำสงครามที่ชิงโจวหรือ ดูท่าพี่หยางจะเป็นคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันกับข้า” หลี่หลิงซู่ทอดถอนใจกล่าว

‘…’ หยางเชียนฮ่วนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว

“นี่ย่อมเป็นหนึ่งในเป้าหมาย นอกจากนี้ ที่จริงนี่คือแผนการที่คิดออกมาเพื่อยับยั้งสวี่ชีอัน”

แม้ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรที่สามารถใช้วิธีการนี้ยับยั้งสวี่ชีอันได้ แต่พอหลี่หลิงซู่ได้ยินคำว่า ‘ยับยั้งสวี่ชีอัน’ ทั้งห้าคำนี้ ในใจก็รู้สึกเป็นสุข จึงรีบถามขึ้นมา

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”

หยางเชียนฮ่วนกล่าวเรียบๆ

“สวี่ชีอันเจ้าสุนัขชั่วผู้นี้อาศัยการประจบประแจงประชาจนเป็นจุดสนใจครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าข้าจะตามอย่างไรก็ตามไม่ทัน ช่างทำให้รู้สึกท้อแท้ใจเสียจริง”

‘คู่คิดรู้ใจของเขาแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา ช่างทำให้รู้สึกท้อแท้ใจเสียจริง…’ หลี่หลิงซู่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก “เฮ้อ พี่หยางเข้าใจข้าเสียจริง”

หยางเชียนฮ่วนยังคงมีน้ำเสียงสงบ เพราะมีความมั่นใจ

“แต่ช่วงนี้จู่ๆ ข้าก็มีแผนการอันยอดเยี่ยมแผนหนึ่ง เพียงแค่สำเร็จก็ทำให้ชื่อทั้งสามคำของหยางเชียนฮ่วนปิดทับชื่อของสวี่ชีอันได้”

………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง