ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 714

บทที่ 714 ลมปราณที่คุ้นเคย

ดวงตาหลี่หลิงซู่พร่างพราว เขาถูมืออย่างตื่นเต้น

“พี่หยางมีแผนดีอะไรรึ?”

สำหรับทางด้านคนสนิทชิดเชื้อ หลี่หลิงซู่กลับรู้สึกสิ้นหวังชั่วขณะ แม้นองค์หญิงแห่งวังหลวงผู้งามเพริศพริ้งไม่ได้เอื้อนเอ่ย แต่ลำพังหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งและลั่วอวี้เหิง ผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ ก็ทำให้เขายอมสงบปากสงบคำได้แล้ว

เมื่อได้ยินหยางเชียนฮ่วนรำพึงรำพันถึงการปราบปรามสวี่ชีอัน เทพบุตรจึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาบ้าง

หยางเชียนฮ่วนยกถ้วยชา พลางเชยม่านหมวกเหวยเม่า ทั้งฉู่ไฉ่เวยและหลี่หลิงซู่โน้มตัวเข้าหากันทันที พยายามลอบมองใบหน้าที่แท้จริงของเขา

…หยางเชียนฮ่วนค่อยๆ วางถ้วยชาลง ไม่ยอมจิบชาอีก

‘แค่กๆ!’ เทพบุตรจึงกระแอมไอ “เชิญพี่หยางต่อเถิด”

ความรู้สึกเสียดายสะท้อนผ่านสีหน้าเขาและฉู่ไฉ่เวย

แม่นางทั้งสามด้านข้างมีสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจการกระทำของหลี่หลิงซู่และแม่นางชุดเหลือง

หยางเชียนฮ่วนหันหลังให้คนอื่นๆ พลางกล่าว

“จริงๆ แล้ว สิ่งที่สวี่ชีอันทำก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตนฉาบฉวยเท่านั้น คนรุ่นข้า สนใจแต่ชื่อเสียงชั่วลูกชั่วหลาน หาใช่ชื่อเสียงชั่วครั้งชั่วคราวไม่ ต่อให้พวกลัทธิขงจื๊อจะเกลียดชังเขา แต่พวกเขาก็มีคำพูดที่ดี

“สุภาพชนต้องเริ่มจากสร้างคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์ รังสรรค์ถ้อยคำ เหล่านี้ต่างหากถึงเรียกว่าอมตะ แล้วเหตุใดข้าต้องมาชิงดีชิงเด่นกับสวี่หนิงเยี่ยนเพียงฉาบฉวยด้วย?

“ข้าต้องการถูกจดจำไปตลอดกาล เป็นบุคคลผู้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหยางเชียนฮ่วนเร่าร้อนขึ้นมา

“พี่หลี่ ตอนนี้ศูนย์กลางเกิดจลาจลครั้งใหญ่ กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวออกอาละวาด เหล่าคนพลัดถิ่นต่างลุกฮือทั่วทุกหนแห่ง ช่วงเวลาแห่งความโกลาหลนี้จะถูกบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ หากข้าอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย จะรวบรวมคนพลัดถิ่นไล่ต้อนฝูงกวางออกจากใจกลางประเทศ

“หากปราบปรามกลุ่มกบฏได้ในที่สุด ก็จะคืนความสว่างไสวให้แก่ศูนย์กลาง ราชสำนักจะกลับมาสงบสุขและรุ่งโรจน์ นามของข้าหยางเชียนฮ่วนจะกดทับสวี่ชีอันหมาขโมยตัวนั้นอย่างแน่นอน”

“เพื่อให้สวี่หนิงเยี่ยนผู้ฉกฉวยโอกาสไปจากข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้รู้บ้าง ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนไม่เที่ยง”

เหตุไฉนเจ้าจึงไม่ยกตนเป็นจักรพรรดิโดยตรงเลยเล่า หากปราบกบฏได้? เมื่อถึงเวลาอย่าว่าแต่สวี่ชีอันเลย ท่านโหราจารย์อาจารย์ของข้าก็คงไม่ทัดเทียมเจ้าได้…หลี่หลิงซู่รู้สึกวูบโหวงในท้อง

เมื่อจ้าวซู่ซู่ได้ยินถึงตรงนี้ ก็เข้าใจในทันที ศิษย์พี่หยางจากสำนักโหราจารย์ผู้นี้กับฆ้องสวี่เงินมีช่องโหว่ ดูเหมือนจะถูกฆ้องเงินสวี่ฉวยโอกาสไป

ดังนั้นพี่หยางจึงต้องการแก้แค้น

แต่พอฟังแล้วก็แปลกๆ ถ้าต้องการแก้แค้น ไม่ใช่การจัดการกับฆ้องสวี่เงินหรอกรึ?

ฟังไปฟังมา มีแต่ต้องการโดดเด่นและมีชื่อเสียงมากกว่าฆ้องเงินสวี่ นี่เป็นการแก้แค้นแบบใดกันแน่?

จ้าวซู่ซู่มองศิษย์น้องทั้งสองคน ก็พบความสับสนเช่นเดียวกันสะท้อนในดวงตาของพวกนาง

“ถ้าหากสร้างชื่อเสียงและกลายเป็นปรมาจารย์ผู้ห้าวหาญ ศิษย์พี่หยางก็จะถูกบันทึกลงในตำราประวัติศาสตร์ มีชื่อเสียงตลอดไปตราบนานเท่านาน”

แม้นจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางจ้าวซู่ซู่ยิ้มขณะเอ่ยประโยค

เรื่องที่นางพูดนั้นเป็นความจริง ตามโบราณกาล เหล่าผู้ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะล้มเหลวอย่างหนักหรือประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ล้วนถูกจารึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์

‘แปะ แปะ แปะ!’

ฉู่ไฉ่เวยปรบมือ เลื่อมใสให้กับความปราดเปรื่องของศิษย์พี่ตน

หลี่หลิงซู่ลังเลเล็กน้อย

“แผนนี้ของพี่หยางไม่มีแย่ วีรบุรุษมักฉวยโอกาสจากความโกลาหล ด้วยการบำเพ็ญและวิธีการของพี่หยาง คิดจะทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์นั้นไม่ยาก”

หยางเชียนฮ่วนฟังความเห็นชอบจากทุกคน ยิ่งยกยอสติปัญญาตนและมีความมั่นใจมากขึ้น

“อย่างไรก็ตาม หากคิดจะกำราบสวี่ชีอัน ก็ต้อง…” หลี่หลิงซู่สั่นหัวเบาๆ

“พี่หยางเจ้าอาจจะยังไม่รู้…”

หยางเชียนฮ่วนลอบคิดในใจ ‘รู้อะไร?’

หลี่หลิงซู่เอ่ย

“สวี่ชีอันร่วมมือกับปีศาจทักษิณ ขับไล่นิกายพุทธออกจากภูเขาสือว่าน เมื่อปีศาจทักษิณกลับสู่อาณาจักร อาณาจักรหมื่นปีศาจก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เท่านี้ก็เพียงพอที่จะถูกเขียนจารึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเอง การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในจิ่วโจวและฟื้นฟูความเสื่อมโทรมของศูนย์กลาง ถือเป็นผลงานที่ถูกกำหนดให้จารึกเป็นประวัติศาสตร์เพื่อจดจำไปตลอดกาล

“พี่หยางคิดจะกำราบเขา มันยากเหมือนแตะขอบฟ้าเลยนะ”

พูดจบ เขาก็พบว่าหยางเชียนฮ่วนนั่งเงียบงัน ความเงียบนั้นเหมือนกับเด็กน้อยน้ำหนักร้อยหกสิบจิน

พวกจ้าวซู่ซู่อีกทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไร บนใบหน้าสะท้อนความเจ็บปวด ถึงแม้ว่าพวกนางจะเพิ่งรู้จักกัน แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของศิษย์พี่หยางผู้นี้ที่ไหลรินกลายเป็นกระแสน้ำ

ณ เกาะหนอนไหม

ท่ามกลางหุบเขา อบอวลด้วยหมอกควัน แสงแดดส่องไม่ถึง ลมทะเลไม่พัดผ่าน

“หนอนไหมเป็นสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังมากชนิดหนึ่ง ใยไหมที่มันคายออกมา พันธนาการได้กระทั่งจอมยุทธ์ระดับบรรลุธรรม และเป็นพิษอย่างมาก”

สวี่ชีอันจับมือมู่หนานจือ เดินเข้าไปในหุบเขาอย่างระมัดระวัง พลางมองลงไปยังร่องลึกอันมืดมิด

“หนอนไหมชนิดใดกันที่กินขั้นเหนือมนุษย์ได้ ข้าว่าเจ้าคงมิวายปั้นเรื่อง เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานเท่านั้น” มู่หนานจือบึนปาก พร้อมกระชับกอดจิ้งจอกขาวตัวน้อย เขย่งปลายเท้ามองลงไปในหุบเหวลึก

แม้ปากจะพูดบ่นอย่างไม่เชื่อ แต่สีหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

สวี่ชีอันออกแรงฟาดบั้นท้ายงามงอน ทำให้นางเซจนเกือบตกลงไปในหุบเหวลึก

“สวี่หนิงเยี่ยน! มาสู้กับข้าสักตั้งเลยสิ…”

นางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ สีหน้าตื่นตระหนกของมู่หนานจือเริ่มซีดเผือด ขณะโยนไป๋จีทิ้ง พลางแยกเขี้ยวยิงฟันใส่เขาพร้อมสู้ตาย

“อยากไปหลบในเจดีย์พุทธะรึ?”

สวี่ชีอันเชิดหน้าขึ้น ไม่ปล่อยให้นางคว้าใบหน้าตนพร้อมยิ้มตาหยีเอ่ยถาม

มู่หนานจืออารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ นางอยากจะหาเรื่อง แต่ก็กลัวเล็กน้อย

“ถ้าเห็นท่าไม่ดี ข้าจะจับเจ้าเข้าไปในเจดีย์”

“อ่า ก็ได้…”

สวี่ชีอันคว้าเอวคอดบางของเทพธิดาดอกไม้ กระโดดเข้าไปในหุบเขา

หมอกควันพิษลอยปะทะใบหน้าพวกเขา แต่ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อทั้งสองได้แม้แต่น้อย ตลอดทางเดิน สวี่ชีอันสูดดมควันพิษมากเกินไป จนตู๋กู่อิ่มเรียบร้อยแล้ว กระทั่งตอนนี้ก็เสียดายนิดหน่อย

เพราะควันพิษในหุบเขารุนแรงและซับซ้อนกว่าด้านนอก

อุ้งเท้าทั้งสองข้างของไป๋จียกขึ้นปิดจมูกสีชมพูไว้แน่น แม้ว่าร่างกายนางจะถูกฝังด้วยจื่อกู่จากตู๋กู่ จื่อกู่จึงดูดซับพิษแทนนาง

‘กร๊อบ!’

ทั้งสองค่อยๆ หยุดปลายเท้า ใต้ฝ่าเท้าเกิดเสียงกรอบแกรบดังขึ้นมา นั่นคือซากโครงกระดูกไม่น้อย

สวี่ชีอันกวาดมองรอบๆ ทั้งหุบเขามืดมิดเป็นสีดำ ซากกระดูกอันน่าอนาถมีอยู่ทั่วทุกแห่ง เหมือนกองขยะถูกทิ้งไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นซากนกและปลา ส่วนพวกสัตว์มีจำนวนน้อย

กระดูกมนุษย์แทบจะไม่เห็น บริเวณนี้ตั้งอยู่แทบทะเลซินเจียงตอนใต้ เดิมทีซินเจียงตอนใต้เป็นดินแดนเผ่าพันธุ์ปีศาจ จะไม่มีเรือประมงของมนุษย์แล่นที่นี่

“ไหมอเวจีอยู่ที่ไหน?”

มู่หนานจือหันหน้ามอง รอบบริเวณเงียบสงัด แม้แต่เงาผีก็ไม่มี

ใบหูสวี่ชีอันขยับเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มาแล้ว!”

เขาได้ยินเสียงดิ้นขลุกขลัก คืบคลานเข้ามาอย่างรุนแรง

ครู่ต่อมา ไอคลุ้งเหมือนหมอกควันด้านหน้า จู่ๆ ก็สั่นไหว ตามด้วยลำแสงสีดำพวยพุ่งผ่านหมอกออกมาจากส่วนลึก

‘ฟึ่บ!’

สวี่ชีอันดึงมู่หนานจือถอยมา ลำแสงสีดำนั้นยึดพวกเขาไว้บริเวณเดิม มันเป็นม้วนไหมเคลือบเมือกสีดำ ส่วนตัวเส้นไหมมีสีเทาอ่อน

ไม่น่าใช่อย่างที่คิด…สวี่ชีอันเหลือบมองก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ใยไหมอเวจีที่ตนตามหา

เขาสูดลมเข้าลึกจนพวงแก้มป่องนูน ก่อนจะเป่าลมอย่างแรง

เพียงเป่าลมออกมาชั่วขณะ หมอกควันในหุบเขากระจายตัวในทันใด จากนั้นหมอกควันลอยโอนเอนในระยะไกลๆ ก็พัดกลับมาเติมเต็มช่องว่าง

จากทัศนวิสัยชัดแจ๋ว สวี่ชีอันและมู่หนานจือมองเห็นศัตรูตรงเบื้องหน้า มันเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งหนอนสิบกว่าตัว

ผิวของพวกมันเป็นสีมืดคล้ำ ส่วนบนคือมนุษย์ ส่วนล่างเป็นลำตัวหนอนอันอวบอั๋น

ทั้งชายและหญิงต่างไม่ได้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง