ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 715

บทที่ 715 ความลับของจุดจบเทพปีศาจ

ไหมอเวจีในเวลานี้ได้กลับคืนสู่วัยหนุ่มสาว มันมีรูปลักษณ์ราวกับสตรีที่งดงามและเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ไม่แก่โทรมและดวงตาดุดันเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เมื่อถูกดวงตาดั่งอัญมณีสีดำจ้องมองมาอย่างใจจดใจจ่อแล้ว มู่หนานจือก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย นางจึงขมวดคิ้วและหลบอยู่ที่ด้านหลังสวี่ชีอัน

มันคงไม่สามารถมองเห็นตัวตนของหนานจือได้กระมัง ไม่สมเหตุสมผลเลย สร้อยข้อมือที่นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบให้สามารถปกปิดลมหายใจได้ แม้แต่โหรก็ยังมองไม่ออก…สวี่ชีอันขมวดคิ้วพลางออกแรงบีบเจิ้นกั๋วเจี้ยนที่อยู่ในมือเล็กน้อย

ได้ไหมอเวจีมาอยู่ในมือแล้ว ถ้าไม่จำเป็น เขาก็ไม่อยากต่อสู้กับสัตว์ประหลาดระดับบรรลุธรรม

แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าหลิงอวิ้นของเทพดอกไม้นั้นมีพลังดึงดูดที่แข็งแกร่งมากต่อระบบผู้บำเพ็ญกายเนื้อ

ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะควบคุมเจดีย์พุทธะ นำมู่หนานจือและจิ้งจอกขาวน้อยเก็บเข้าไปในนั้น ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างใหญ่ของไหมอเวจีสั่นเทา ดูเหมือนแสงอันรุ่งโรจน์ในดวงตาอัญมณีสีดำค่อยๆ พังลงทีละชั้น เช่นเดียวกับรูม่านตาของมนุษย์ที่หดตัวอย่างรุนแรง

ใบหน้าอันงดงามของนางแสดงความตื่นเต้นและประหลาดใจสุดขีดพลางกรีดร้องดังลั่น “กานมู่ เป็นลมหายใจของกานมู่”

เมื่อเห็นไหมอเวจีปั่นป่วนขึ้นมากะทันหัน แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณของการโจมตี สวี่ชีอันจึงหยุดการกระทำของตนเองและมองไปที่อ้อมแขนของมู่หนานจือ “มันพูดอะไร?”

ไป๋จีกล่าวเสียงหวาน “มันบอกว่าท่อนไม้น่ากิน”

? เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นในจิตใจของสวี่ชีอันและมู่หนานจือพร้อมๆ กัน สวี่ชีอันคิดในใจว่า ผีที่เป็นตัวละครในอุดมคติของโลกอื่นเป็นผีแบบใดกัน

ส่วนมู่หนานจือก็คิดในใจว่า ข้ากลายเป็นท่อนไม้ตั้งแต่เมื่อใดกัน และยังเป็นของน่ากินอีกด้วย

สวี่ชีอันขมวดคิ้วเล็กน้อยและสั่งการว่า “ไป๋จี ถามมันสิว่าท่อนไม้น่ากินหมายความว่าอะไร”

ไป๋จีส่งเสียงแหลมแปลกประหลาด

ไหมอเวจีได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวอธิบายว่า “กานมู่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ต้นไม้เทพอมตะ มันเติบโตบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแผ่นดินจิ่วโจว มีความสูงเป็นพันจั้งพุ่งตรงไปบนท้องฟ้า น้ำของมันเปรียบเสมือนเลือดที่สามารถกลั่นยาอมตะได้ หากคนธรรมดาบริโภคเข้าไปก็จะยืดอายุได้ถึงแปดร้อยปี ส่วนบนของมันทอดยาวเหยียดออกไปสิบลี้ มีสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเกาะอาศัยอยู่บนนั้น บรรพบุรุษของข้าเองก็อาศัยอยู่บนต้นไม้อมตะ บริโภคกิ่งและใบของมันเป็นอาหาร”

หลังจากไป๋จีแปลแล้ว สวี่ชีอันก็อดที่จะหันไปมองมู่หนานจือไม่ได้ เขาคิดในใจว่า เจ้าเป็นเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดไม่ใช่รึ ทำไมถึงได้เกี่ยวข้องกับต้นไม้เทพอมตะได้

ไหมอเวจีกล่าวต่อไปว่า “ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้าเคยติดตามบรรพบุรุษไปสักการะต้นไม้เทพอมตะ บำเพ็ญเพียรอยู่บนส่วนยอดของมันนับร้อยปี ใบไม้ที่หวานอร่อยนั้น จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังจำได้ดี ต่อจากนั้น เมื่อยุคปีศาจสิ้นสุดลง ในฐานะที่ต้นไม้เทพอมตะเป็นเทพปีศาจโดยกำเนิด มันจึงเหี่ยวเฉาไปในมหันตภัยนั้นเช่นกัน”

ในขณะที่กล่าว มันก็แสดงความคะนึงถึงและหลงใหลออกมา

ทันทีที่ไป๋จีแปลเสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็ร้อนใจจนอดที่จะถามไม่ได้

“รีบถามมันเร็วเข้า เทพปีศาจสิ้นชีพได้อย่างไร ต้นไม้เทพอมตะและน้าของเจ้ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”

ไป๋จีตีความตามความเป็นจริง “เทพปีศาจสิ้นชีพได้อย่างไร?”

ไหมอเวจีแสดงท่าทีตื่นตระหนกเล็กน้อย ราวกับแม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่เรื่องราวในตอนนั้นก็ยังคงทำให้มันหวาดกลัว “มีวันหนึ่ง จู่ๆ เทพปีศาจก็คลุ้มคลั่งและลงมือสังหารกันเอง ความวุ่นวายครั้งนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก แผ่นดินจิ่วโจวถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง แผ่นดินในยุคสมัยโบราณกว้างใหญ่กว่าตอนนี้หลายเท่านัก เทพปีศาจที่แข็งแกร่งเหมือนเทพกู่นั้นก็มีน้อยมาก แต่พวกเขาทั้งหมดก็ตายท่ามกลางความวุ่นวายนั้น หากข้าจำไม่ผิด ดูเหมือนจะมีเพียงเทพกู่เท่านั้นที่รอดตาย ลูกหลานเทพปีศาจของพวกเราก็ได้รับผลกระทบและตายในความวุ่นวายครั้งนั้นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน”

ที่แท้ฉากที่ข้าเห็นเทพปีศาจล้มตายในตอนนั้น ไม่ใช่มีคนลงมือสังหารเทพปีศาจ แต่เป็นการฆ่ากันเองของเทพปีศาจงั้นรึ?

เทพกู่ยังดำรงอยู่ได้ เพราะอยู่ในขั้นเหนือกว่า ความจริงในกลุ่มเทพปีศาจก็ไม่ได้ขาดแคลนการมีอยู่ของระดับนี้ ข้าสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ แต่ทำไมจู่ๆ เทพปีศาจถึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้?

ในสมองของสวี่ชีอันส่งเสียงดัง ‘หึ่ง หึ่ง’ เขาทั้งย่อยข้อมูลและกระจายความคิดในเวลาเดียวกันเพื่อเริ่มการวิเคราะห์

“คลุ้มคลั่งได้อย่างไร?” สวี่ชีอันกล่าวแล้วก็หันไปมองไป๋จี

“ทำไมถึงบ้าคลั่งขึ้นมาล่ะ” ไป๋จีใช้ภาษาปีศาจถามด้วยความสงสัย

“ข้าไม่รู้ เพียงแค่คลุ้มคลั่งขึ้นมากะทันหันโดยไม่มีเหตุผล บรรพบุรุษของข้าก็คลุ้มคลั่งและกระโดดเข้าร่วมสงครามโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด” ไหมอเวจีส่ายศีรษะ

เวลานี้ ในที่สุดสวี่ชีอันก็วิเคราะห์เบาะแสบางอย่างออกและถามว่า “เจ้าบอกว่าจู่ๆ เหล่าเทพปีศาจก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา เช่นนั้นทำไมพวกเจ้าที่มีสายเลือดของเทพปีศาจกลับไม่คลุ้มคลั่งเล่า? พวกเจ้าหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร?”

ไหมอเวจีมองไปที่ไป๋จี หลังจากฟังเสียงของเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะจบแล้ว มันก็ตอบกลับว่า “ในตอนแรก พวกเราผู้สืบสายเลือดแห่งเทพปีศาจไม่รู้สาเหตุของความวุ่นวาย แต่เมื่อยุคเทพปีศาจสิ้นสุดลง โลกสงบสุข เหล่าทายาทของเทพปีศาจก็พยายามค้นหาความจริง จนถึงขนาดละทิ้งความแค้นในอดีตและหารือร่วมกัน ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ ไม่รู้ว่าถูกต้องหรือไม่ สาเหตุที่เทพปีศาจเกิดอาการคลุ้มคลั่ง อาจจะเป็นเพราะพวกเขาเป็นเทพปีศาจโดยกำเนิดจากสวรรค์ แต่ผู้สืบสายเลือดอย่างพวกเรากำเนิดขึ้นมาหลังจากนั้น แม้ว่าจะสืบสายเลือดจากเทพปีศาจ แต่ก็ไม่ได้เพียบพร้อมไปด้วยหลิงอวิ้นของเทพปีศาจ”

มันหันไปมองมู่หนานจือและกล่าวอีกว่า “อย่างเช่นต้นไม้เทพอมตะ รากของพระองค์สามารถปลูกต้นไม้เทพที่มีสรรพคุณทางยาได้ แต่ต้นไม้เทพเหล่านั้นมีอายุขัยที่จำกัด ไม่สามารถฟื้นจากความตายได้ เพราะพวกมันไม่มีหลิงอวิ้นของต้นไม้อมตะ บรรพบุรุษของข้าเคยบอกว่า ต้นไม้อมตะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตายได้ ดูเหมือนตอนนี้บรรพบุรุษจะไม่ได้โกหกข้า ถึงแม้ตอนนั้นต้นไม้เทพอมตะจะเหี่ยวเฉาลงท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ตอนนี้พระองค์ยืนอยู่เบื้องหน้าข้าแล้ว”

ไป๋จีกล่าวขัดจังหวะเสียงแหลม “เจ้าหยุดสักครู่ เนื้อหามากมายเช่นนั้น ประเดี๋ยวข้าจะลืมเสียหมด”

ไป๋จีรีบแปลคำพูดของไหมอเวจีอย่างรวดเร็ว มู่หนานจือที่ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน

นางรู้ว่าตนเองเป็นเทพดอกไม้กลับชาติมาเกิด ในยุคสมัยต้าโจว จักรพรรดิหลงใหลในเทพดอกไม้มาก จึงส่งกองกำลังทหารออกไปจับเทพดอกไม้กลับวัง แต่เทพดอกไม้จุดไฟเผาตัวเอง ยอมตายดีกว่ายอมจำนน

แต่นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเทพดอกไม้ในอดีตนั้นจะยังมีตัวตนอีกชั้นหนึ่ง

ข้าก็นึกสงสัยว่าลักษณะพิเศษของเทพดอกไม้กับหลิงอวิ้นที่ไม่ธรรมดาของนางนั้นมีความเหนือกว่าปีศาจอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด หากเป็นเทพปีศาจกลับชาติมาเกิดในสมัยโบราณกาล เช่นนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว นับว่าไขข้อข้องใจของข้าไปอีกข้อหนึ่ง…สวี่ชีอันหันไปมองไป๋จี “ถามมัน ต้นกำเนิดความคลุ้มคลั่งของเทพปีศาจคืออะไร?”

ไหมอเวจีส่ายศีรษะเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ แต่ว่ามีคนหนึ่งที่อาจจะรู้ หลังจากนั้นหลายปี เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจก็ผุดขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์ ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาคนแรกสามารถเทียบได้กับเทพกู่และมังกรที่ยังดำรงอยู่ เขาขับไล่พวกเราทั้งหมดออกไปจากแผ่นดินจิ่วโจว ข้าไม่อยากเดินทางไกล จึงอาศัยอยู่บนเกาะลูกนี้เรื่อยมา วันเดือนหมุนเวียนสับเปลี่ยน ไม่สามารถนับกาลเวลาได้อีกต่อไป”

“พวกเจ้ากินมารดาของปรมาจารย์เต๋าใช่หรือไม่” สวี่ชีอันพูดแขวะ

“พวกเจ้ากลืนมารดาของปรมาจารย์เต๋าลงไปหรือไม่” จิ้งจอกตัวน้อยแปลคำพูด

“เฮ้ ประโยคนี้ไม่จำเป็นต้องแปล” สวี่ชีอันโบกมือปฏิเสธ

“อาจมีใครกินมารดาของเขาไปกระมัง แต่ข้าคิดว่าคนคนนั้นจะต้องรู้ความลับที่เทพปีศาจเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างแน่นอน เขากลัวว่าทายาทของเทพปีศาจแห่งจิ่วโจวจะส่งผลกระทบต่อเขา เขาจึงไล่พวกเราออกมา” ไหมอเวจีกล่าว

“ขอบคุณท่านอาวุโสมากที่ทำให้กระจ่าง”

สวี่ชีอันยกกำปั้นขึ้นมาแสดงความขอบคุณมัน

เขาพอใจกับการตระเวนเกาะครั้งนี้มาก อย่างแรกคือการได้รับไหมอเวจี ซึ่งมันเข้าใกล้การชุบชีวิตเว่ยเยวียนขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง อย่างที่สองคือการได้รู้ความจริงบางส่วนเกี่ยวกับการสูญสิ้นของเทพปีศาจ ถือว่ามันได้ไขข้อสงสัยของเขาไปอีกข้อ

อย่างสุดท้ายคือการได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของมู่หนานจือ

“คำถามสองข้อสุดท้าย!” สวี่ชีอันกล่าว

“มีวิธีการใดที่สามารถแย่งชิงหลิงอวิ้นของต้นไม้อมตะไปได้หรือไม่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง