ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 716

บทที่ 716 ความกระอักกระอ่วนใจของนักบวชเต๋าจินเหลียน

หยางกงและหลี่มู่ไป๋หันมาสบตากัน ฝ่ายหลังกล่าวว่า “พูดตามตรง เรื่องนี้รบกวนจิตใจข้ามานาน ข้ามักจะรู้สึกว่าระดับของกบฏอวิ๋นโจวไม่น่าจะมีเพียงเท่านี้ แต่ในแง่ของสถานการณ์ปัจจุบัน การพิชิตชิงโจวภายในหนึ่งเดือนนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน นอกจากเว่ยเยวียนจะยังมีชีวิตอยู่”

“ทุกท่านมีความเห็นอย่างไร?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายทหารฝ่ายเสนาธิการทุกท่านก็เริ่มคาดเดาไปต่างๆ นานา “สถานการณ์ปัจจุบัน การที่กบฏอวิ๋นโจวต้องการโจมตีชิงโจวเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก ดีไม่ดี…อืม หรือว่าพวกเขาอาจจะมีกองกำลังหลักอีกกลุ่มหนึ่งและวางแผนแบ่งกำลังออกไปโจมตีสถานที่อื่น? แต่ทางด้านชิงโจวกำลังไกล่เกลี่ยกับพวกเขาเพื่อเข้ามาพัวพันกับกองกำลังหลักของราชสำนัก”

“แต่แยกกันโจมตีในสถานที่อื่นเช่นนี้จะมีความหมายอะไร? น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ จะกลายเป็นทหารเองที่สิ้นหวังในสถานการณ์อับจน โดนต้าฟ่งของพวกเรากำจัดทีละฝ่ายจนแตกพ่ายไม่ใช่รึ? ในหนังสือนำทัพของฆ้องเงินสวี่มีคำกล่าวว่า จงใช้ความสมานสามัคคีและความแปลกประหลาดในการทำสงคราม”

“หยางกง ข้ากลับรู้สึกว่าไม่แปลกประหลาด ไม่ใช่ว่าพวกเราประเมินกบฏอวิ๋นโจวสูงเกินไปและก็ไม่ใช่ว่ากบฏอวิ๋นโจวไม่มีประโยชน์ แต่แท้จริงแล้วเป็นเจตนารมณ์ของสวรรค์ ทุกท่านลองคิดดูสิ หากไม่ใช่เพราะฆ้องเงินสวี่เชิญเผ่ากู่ที่อาจหาญมาผ่อนปรนแรงกดดันของชิงโจว ทำให้พวกเราได้พักหายใจเพื่อส่งกองกำลังทหารไปฟื้นฟูสถานการณ์ทั้งหมด แนวรบที่สองนี้ก็อาจจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะฆ้องเงินสวี่สร้างพันธมิตรกับปีศาจตอนใต้และได้ยับยั้งกองกำลังพันธมิตรแต่ละมณฑลในแดนประจิมและพระสงฆ์สำนักพุทธ สถานการณ์ในตอนนี้คือราชสำนักกำลังทำสงครามทั้งสองแนวรบ ไม่สามารถเสริมกำลังที่ชิงโจวได้ ไม่แน่แนวรบอาจจะถูกผลักไปยังพื้นที่ใจกลางที่ราบลุ่มกลางก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ใช่ว่ากบฏอวิ๋นโจวไร้ความสามารถ แต่ความจริงคือถนนทุกสายและแผนการทุกประเภทล้วนได้รับการแก้ไขและยับยั้งโดยการปฏิบัติการของฆ้องเงินสวี่ที่นอกราชสำนัก”

หลังจากวิเคราะห์เชิงลึกโดยละเอียดแล้ว แม้แต่หยางกงและหลี่มู่ไป๋ก็ยังยอมรับว่าคำพูดนี้ช่างสมเหตุสมผลจริงๆ

เพราะปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านก็คิดไม่ออกเช่นกันว่ายังมีความเป็นไปได้อื่นอีกหรือไม่

หลังจากการสนทนาจบลง หลี่มู่ไป๋ดื่มน้ำชาในถ้วยเสร็จเรียบร้อยแล้วก็หันไปมองนายทหารฝ่ายเสนาธิการที่เสนอวิธีการ ‘กินคน’ มาแก้ไขปัญหาขาดแคลนเสบียงของสัตว์บินก่อนหน้านี้ พลางยกกำปั้นขึ้นมาเคารพและกล่าวว่า “ศิษย์พี่หลิงจาน เชิญออกมาคุยกันสักหน่อย”

นายทหารฝ่ายเสนาธิการที่มีเคราแพะลุกขึ้นและออกไปข้างนอกพร้อมกับหลี่มู่ไป๋

ทั้งสองเดินออกมาจากห้องพิจารณาคดี ในขณะที่เดินไปยังศาลว่าการของผู้ว่าการมณฑล จู่ๆ หลี่มู่ไป๋ก็กล่าวว่า “ข้ามีเรื่องอยากรบกวนศิษย์พี่หลิงจาน”

นายทหารฝ่ายเสนาธิการท่านนั้นยกกำปั้นขึ้นมาเคารพ “ศิษย์พี่ฉุนจิ้งมีเรื่องอันใดก็พูดมาเถิด”

หลี่มู่ไป๋พยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าหวังว่าศิษย์พี่หลิงจานจะสามารถเขียนจดหมายไปที่อำเภอซงซาน บอกสวี่ฉือจิ้วดำเนินทำสิ่งที่ไม่ธรรมดาในช่วงเวลาคับขัน แต่อย่าดำเนินการในนามของหยางกง”

นายทหารฝ่ายเสนาธิการกล่าวเสียงหนักแน่นในฉับพลัน “หลิงจานรับทราบ”

เมืองหลวง วิหารหยางเสิน

ในช่วงบ่ายที่เงียบสงบ จักรพรรดิหย่งซิ่งตื่นขึ้นจากแท่นบรรทมด้วยความรู้สึกสดชื่น หลังจากที่ไม่ได้นอนหลับสนิทมานาน

สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากตื่นนอนคือเรียกขันทีจ้าวเสวียนเจิ้นมาและสั่งกำชับว่า “ข้าจำได้ว่าอีกหนึ่งเดือนจะเป็นเทศกาลไหว้วสันต์แล้ว แจ้งผู้ช่วยศาลต้าหลี่ว่าต้องจัดให้ยิ่งใหญ่สักหน่อย ข้าต้องบูชาบรรพบุรุษและสวรรค์ให้ดี”

หลังจากเทศกาลไหว้วสันต์ ฤดูใบไม้ผลิก็จะหวนคืนสู่แผ่นดินอีกครั้ง

หายนะอันหนาวเหน็บที่เกือบจะทำลายล้างต้าฟ่ง ในที่สุดก็เสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลายแล้ว

ถึงฤดูกาลแห่งการฟื้นคืนสรรพสิ่ง ประการแรกคือความเหน็บหนาวไม่สามารถคุกคามประชาชนได้อีกต่อไป ประการต่อมา ถึงแม้จะยังขาดแคลนอาหารอยู่ แต่ทุ่งกว้างมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง อีกทั้งยังมีภูเขาที่อยู่รอบๆ เพียงแค่ขุดดินก็จะสามารถหาของกินได้ตลอดเวลา

ไม่กี่วันก่อน มีการหารือกันในห้องทรงพระอักษร จากการวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมของชิงโจว ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวไม่มีทางพิชิตชิงโจวได้ก่อนเทศกาลไหว้วสันต์

และจากช่องว่างของทั้งสองฝ่าย กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวยังคงทำพลาดซ้ำๆ ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งเหนื่อยล้าขึ้นเรื่อยๆ ไฟลามทุ่งที่โหมกระหน่ำจึงค่อยๆ ดับลงจนกระทั่งดับลงไปอย่างสิ้นเชิง

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ บรรยากาศจริงจังและหนักแน่นในเมืองหลวงละลายลงราวกับธารน้ำแข็งและผ่อนคลายลงอย่างกะทันหัน

สำนักราชเลขาธิการออกประกาศต่อเนื่องสามฉบับเพื่อเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ประชาชน

ในขณะที่จ้าวเสวียนเจิ้นกำลังจะถอยออกไปถ่ายทอดคำสั่ง จักรพรรดิหย่งซิ่งก็โบกมือปฏิเสธอีกครั้งและกล่าวว่า “ช่างเถอะ แค่เรียกทุกคนมาหารือกันที่ห้องทรงพระอักษร”

เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “หารือเรื่องสถานการณ์ของชิงโจวต่อ”

ที่ตำหนักเฟิ่งชี ฮว๋ายชิ่งมาพร้อมกับนางกำนัลข้างกายสองคน ได้ก้าวเข้ามาในตำหนักอันเย็นยะเยือกเช่นนี้ แต่กลับเป็นพระราชอุทยานที่ผู้หญิงจำนวนนับไม่ถ้วนในวังหลังใฝ่ฝันถึง

ถ่านไฟกำลังลุกโชนให้ความอบอุ่น ผ้าม่านทิ้งตัวลงมาปิดหน้าต่าง ไทเฮาผู้มีบุคลิกสง่างามนั่งอยู่ที่โต๊ะ รับประทานขนมอบที่ตนเองทำไปพลางอ่านหนังสือไปพลาง

“เสด็จแม่!”

ฮว๋ายชิ่งกล่าวทักทายด้วยท่าทีเย็นชา

ไทเฮาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวด้วยความเฉยเมยว่า “ไม่กี่วันก่อน ฝ่าบาททรงประทานพิธีอภิเษกสมรสให้กับหลินอันและฆ้องเงินสวี่ จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าที่ผ่านมาข้าละเลยงานแต่งงานของพวกเจ้า ตอนที่จักรพรรดิองค์ก่อนยังมีประชนม์ชีพอยู่ พวกเจ้าก็เป็นหญิงสาวที่รอคู่หมั้นอยู่ในห้องส่วนตัว ตอนนี้จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว อายุอานามของพวกเจ้าก็ไม่น้อย ให้รอคู่หมั้นอยู่แต่ในห้องส่วนตัวต่อไปก็คงไม่เหมาะ ที่ข้าเรียกเจ้ามาในวันนี้ก็เพราะอยากถามเจ้า ฮว๋ายชิ่งเจ้ามีคนที่ชื่นชอบแล้วหรือยัง?”

ฮว๋ายชิ่งเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังเย้ยหยันหรือดูถูก นางกล่าวเสียงเบาว่า “เสด็จแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลพระทัยเรื่องการอภิเษกของลูก หากเจอคนที่ชื่นชอบจริงๆ ข้าต้องแต่งงานเป็นแน่”

ไทเฮาพยักหน้าโดยไม่ขัดขืน “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”

ฮว๋ายชิ่งแสดงความเคารพและออกไปจากตำหนักเฟิ่งชีพร้อมกับนางกำนัล

กำแพงวังอันสูงตระหง่านและหนักอึ้ง ปิดกั้นผู้คนจากความฝัน

จู่ๆ ฮว๋ายชิ่งก็หยุดลงบนถนนเส้นหนึ่งพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีคราม

คนที่ชอบ…นางพึมพำสามพยางค์นี้ในใจ

เมื่อกลับไปที่สวนเต๋อซิน จู่ๆ ฮว๋ายชิ่งก็ไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือ เดิมทีนางวางแผนจะงีบหลับครู่หนึ่ง แต่จู่ๆ ก็ใจสั่น นางถอยห่างออกมาจากนางกำนัลอย่างเงียบๆ และหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา

หมายเลขสอง ‘ข้าเห็นประกาศในเมืองว่าสถานการณ์โดยรวมที่ชิงโจวดีมาก กบฏเสื่อมทรุดจนเป็นม้าตีนปลาย ดังนั้นข้าจึงหงุดหงิดมาก ไอ้พวกขุนนางชาติหมาที่ไร้ความสามารถเหล่านี้กำลังหลอกลวงประชาชน’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง