ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 719

บทที่ 719 ประลองหมาก

“ไม่รู้ว่าเสบียงจะไปถึงเมื่อใด เสบียงของอำเภอซงซานอยู่ได้นานสุดสิบวัน นี่เป็นสถานการณ์ที่กองทัพป้องกันเมืองรัดเข็มขัดแน่น และนักรบเผ่าลี่กู่แทะขนมวอวอโถวแล้ว…”

ขณะที่ฟังโม่ซางกับเหมียวโหย่วฟางคุยโวโอ้อวดและหารือกันว่าจะสอบจอหงวนหลังเสร็จศึกได้อย่างไรนั้น ในใจสวี่เอ้อร์หลางกลับคิดถึงปัญหาเรื่องเสบียง

กองทัพอสูรเหินเวหาของนักรบเผ่าลี่กู่และเผ่าซินกู่กินจนอำเภอซงซานพังทลายแล้ว

อสูรเหินเวหาไม่ต้องพูดถึง ร่างกายของพวกมันมีขนาดใหญ่ กระเพาะก็เลยใหญ่ตาม พอจะเข้าใจได้ แต่คนเผ่าลี่กู่ทำให้บรรดากองทัพป้องกันอำเภอซงซาน ‘ตื่นตะลึงไปจนถึงเทพสวรรค์’

เวลาที่เหล่ากองทัพป้องกันเมืองกินข้าว สิ่งที่ถืออยู่ในมือคือถ้วย เวลาที่เผ่าลี่กู่กินข้าวต้องมีถังข้าววางอยู่ข้างตัว

เวลาทำศึก เหล่าทหารป้องกันเมืองจะกินข้าววันละสามมื้อ เวลาปกติกินสองมื้อ

นักรบของเผ่าลี่กู่กินข้าววันละสี่มื้อ ยามศึกกินข้าวห้ามื้อ

สวี่เอ้อร์หลางเตรียมใจมาแต่แรกแล้ว อย่างไรซะลี่น่ากับหลิงอินทั้งสองคนก็กินจนน่าหวาดกลัว และตอนนี้ตระกูลสวี่ก็ร่ำรวยมาก

นับประสาอะไรกับนักรบเผ่าลี่กู่สี่ร้อยคน

แต่สวี่เอ้อร์หลางยังคงประเมินปริมาณการกินข้าวของนักรบเผ่าลี่กู่ต่ำเกินไป ที่เขาใช้ปริมาณการกินข้าวของลี่น่ากับหลิงอินมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาสภาพการณ์นั้น มันไม่แม่นยำ

เพราะน้องสาวที่โง่เขลากับอาจารย์ที่โง่เขลาของนาง ปกติแล้วจะหัวเราะเอิ้กอ้าก ไม่มีการใช้พลังงาน

แล้วจะเปรียบเทียบกับนักรบที่เหี้ยมโหดได้อย่างไร

“แค่ได้เสบียงมาเสริม ข้าก็สามารถรักษาอำเภอซงซานไว้ได้ตลอดไป” สวี่ซินเหนียนพูดในใจ

ปืนใหญ่และหน้าไม้ของต้าฟ่งรับผิดชอบการยิงแรงระเบิด กองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่ซัดเหวี่ยงการโจมตีทางอากาศ คนของเผ่าซือกู่ควบคุมทหารเดนตายที่ไม่กลัวความตาย คนของเผ่าอั้นกู่รับผิดชอบในการลอบสังหาร

เผ่าลี่กู่รับผิดชอบกวาดล้างข้าศึกที่ปีนขึ้นกำแพง

ประกอบกับความสามารถในการบัญชาการสวี่เอ้อร์หลาง ทำให้คุ้มกันอำเภอซงซานได้อย่างแข็งแกร่งประดุจดังโลหะ

ขณะนี้ทหารกบฏที่อยู่นอกเมือง กองกำลังทหารเกรียงไกรเก้าพันนาย และทหารจับฉ่ายได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากการโจมตีเป็นปิดล้อม พยายามทำให้อำเภอซงซานกลายเป็นหว่านจวิ้นแห่งที่สอง

ที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงก็คือ ทหารจับฉ่ายเป็นทหารบ้านที่ประกอบด้วยประชาชน ประกอบด้วยผู้ลี้ภัยและคนหนุ่มที่ถูกบังคับให้เป็นทหาร หัวหน้าคือคนในยุทธภพที่ทหารกบฏอวิ๋นโจวดึงตัวมา

“ครั้งก่อนได้ยินเอ้อร์หลางบอกว่า เพียงแค่พ้นเทศกาลไหว้วสันต์ไป สถานการณ์ของชิงโจวก็จะดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ”

เหมียวโหย่วฟางใช้หนึ่งจิตสองพลัง เล่นหมากล้อมไปพลางพูดคุยไปพลาง และคิดว่าตนเองเป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ

“สถานการณ์ทั่วทั้งที่ราบกลางดีขึ้นต่างหาก ภัยหนาวคือสาเหตุหลัก รองลงมาคือขาดแคลนเสบียง ถึงทำให้เกิดสถานการณ์วุ่นวายเช่นทุกวันนี้ พอเริ่มฤดูใบไม้ผลิ ประการแรกคือความหนาวไม่อาจคุกคามประชาชนได้อีก”

สวี่ฉือจิ้วถือตำราอยู่ เขาวางขนมวอวอโถวที่กินไปครึ่งหนึ่งไว้บนโต๊ะ กินแบบประหยัดหน่อย และกล่าวขึ้นมา

“ประการที่สอง ทำการเพาะปลูกคือความสามารถของประชาชน ทำการเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วงถึงเก็บเกี่ยวได้ ผู้ลี้ภัยส่วนมากเลือกที่จะหยิบจอบขึ้นมาอีกครั้ง แค่ราชสำนักจัดสรรที่ดินรกร้างเหล่านั้นใหม่ ก็สามารถแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยส่วนมากได้ แต่พอถึงเวลานั้นจะต้องมีตระกูลผู้ดีและคหบดีในชนบทจำนวนมากฉวยโอกาสผนวกเอาที่ดินมาเป็นของตน ไม่เหลือทางรอดไว้ให้ประชาชน ต้องดูว่าจักรพรรดิหย่งซิ่งจะมีความเด็ดขาดมากพอหรือไม่”

กล่าวมาถึงจุดนี้ เขาก็ขมวดคิ้วที่ประณีตงดงามของตัวเอง จักรพรรดิใหม่องค์นั้นดีพร้อมทุกอย่าง ขาดแค่ความเด็ดขาด พอที่จะอนุรักษ์อะไรเดิมๆ ไว้ได้

แต่ทำการใหญ่ไม่อาจคาดหวังได้

หากจักรพรรดิหย่งซิ่งทำตามกลยุทธ์ของเขา แอบ ‘ทำลาย’ คหบดีในชนบท ตระกูลผู้ดี และเจ้าของที่ดินที่วางอำนาจบาตรใหญ่อย่างลับๆ หลังจากเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว เจ้าพวกที่ชอบผนวกเอาที่ดินมาเป็นของตนเองก็จะลดจำนวนลงอย่างฮวบฮาบ

“หากหลังเทศกาลไหว้วสันต์แล้ว พวกเราไม่สามารถรักษาไว้ได้ล่ะ”

เหมียวโหย่วฟางเคยชินกับการพูดงัดข้อ “พวกเจ้าก็จะตายอยู่ในอำเภอซงซาน หรือหลบหนี”

โม่ซางแหงนหน้ายืดอก

“นักรบของเผ่าลี่กู่จะไม่หลบหนี หากข้ารบตายในที่ราบกลาง จำไว้ว่าช่วยนำศพข้าส่งกลับไปที่ซินเจียงตอนใต้ มอบให้กับท่านพ่อของข้า”

เหมียวโหย่วฟางมองไปทางสวี่เอ้อร์หลางอีกครั้ง สวี่เอ้อร์หลางกล่าวอย่างลังเล

“พยายามทำในเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้ ที่เหลือก็แล้วแต่ฟ้าดิน หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตายจริงๆ ข้าผู้แซ่สวี่เป็นถึงปัญญาชน ย่อมสละชีวิตเพื่อสัจธรรม พี่เหมียวล่ะ”

“ข้าจะรบตายได้อย่างไร ภายหน้าข้าต้องกลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่ อืม หากมีวันเช่นนั้นจริงๆ จำไว้ว่าช่วยสลักคำว่า ‘จอมยุทธ์ใหญ่’ สองคำนี้ไว้บนป้ายหลุมศพข้าด้วย จากนั้นช่วยพูด ‘ขอโทษ’ กับฆ้องเงินสวี่แทนข้าด้วย”

เหมียวโหย่วฟางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ใช่สิ ทุกปีต้องเผาหญิงรับใช้กระดาษให้ข้าสักสองสามคน จอมยุทธ์ใหญ่อย่างข้าต่อให้อยู่ในยมโลก ก็ต้องการนอนกับผู้หญิงด้วย”

สวี่ฉือจิ้วส่ายหน้า สายตาไม่ได้ละออกจากตำราพิชัยสงครามเลย เขายื่นมือไปคว้าขนมวอวอโถว สุดท้ายก็คว้าได้เจอแต่ความว่างเปล่า

“หืม?” เขาหันหน้ามอง บนโต๊ะว่างเปล่า พอแหงนหน้าขึ้น เห็นโม่ซางเคี้ยวสองทีก็กลืนขนมวอวอโถวลงไปเลย จากนั้นก็แสร้งทำราวกับว่าไม่มีอะไรขึ้น และเล่นหมากกับเหมียวโหย่วฟางอย่างตั้งใจ

‘มารดาเจ้าสิ หงุดหงิดเสียจริงเลย…’ สวี่ซินเหนียนแอบด่า เขากล่าวโดยไม่แสดงอารมณ์ทางสีหน้า

“พี่โม่ซาง พอเห็นท่าน ข้ามักจะนึกถึงน้องสาวของท่าน”

โม่ซางที่มีผิวคล้ำหันมากล่าวด้วยความงุนงง

“เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น”

เขารู้ว่าสวี่ซินเหนียนเป็นน้องชายของฆ้องเงินสวี่ และรู้ว่าลี่น่าอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลสวี่มากว่าครึ่งปีแล้ว

สวี่เอ้อร์หลางแสดงสีหน้านอบน้อมและจริงใจ

“พี่โม่ซางกับลี่น่าต่างก็เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง จรรโลงเรื่อง ‘ประชาชนเห็นอาหารการกินเป็นเรื่องสำคัญ’ อย่างถึงอกถึงใจ หากผู้คนทั่วหล้าเป็นเหมือนกับพวกท่านสองพี่น้อง จิ่วโจวคงถูกปกครองแบบกระทำตัวคล้ายตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนให้เปลืองแรงมาช้านานแล้ว ซึ่งจะไม่มีสงครามวุ่นวายขนาดนี้”

โม่ซางคิดไม่ถึงว่าตนเองกับน้องสาวจะได้รับการสรรเสริญจากสวี่ซินเหนียนที่สอบได้บัณฑิตขั้นสูงถึงสองป้ายประกาศผู้นี้ เขาจึงหัวเราะฮ่าๆ ด้วยความดีใจ และกล่าว

“ใต้เท้าสวี่ชมเกินไปแล้ว ข้าผู้เป็นพี่ชายนั้นโง่เขลาไม่อาจรับได้ แต่ลี่น่านั้นพ่อข้าชมว่าฉลาดตั้งแต่เด็กแล้ว”

‘พ่อเจ้าเข้าใจคำว่าฉลาดตั้งแต่เด็กผิดหรือเปล่า…’ สวี่ซินเหนียนพยักหน้าและอ่านตำราเงียบๆ

เหมียวโหย่วฟางกลับคิดว่าคำพูดของสวี่เอ้อร์หลางมีความหมายอื่นแฝงอยู่ แต่เขาไม่มีหลักฐาน

พอพูดถึงลี่น่า โม่ซางก็อยากสนทนามากขึ้น เขากล่าวว่า

“หลายวันนี้ยุ่งอยู่กับการต่อสู้ พวกเจ้าเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในที่ราบกลาง รู้ชื่อเล่นในยุทธภพที่ราบกลางของลี่น่าน้องสาวข้าหรือไม่”

‘ถังข้าวหรือ…’ สวี่เอ้อร์หลางแขวะอยู่ในใจ

เหมียวโหย่วไม่ได้ร่วมแขวะด้วยเพราะไม่คุ้นเคยกับลี่น่า มิเช่นนั้นด้วยความปรารถนาเอาชีวิตรอดในระดับต่ำที่พูดคำว่า ‘พี่สะใภ้ใหญ่ที่อัปลักษณ์ที่สุด’ ออกมาได้ ตอนนี้อาจจะแร็ปแขวะลี่น่าต่อหน้าโม่ซางไปท่อนหนึ่งแล้ว

“ชื่อเล่นอะไร”

เหมียวโหย่วฟางถือโอกาสตอนที่โม่ซางมองไปทางสวี่เอ้อร์หลาง ใช้พลังระดับสลายแรงแอบสับเปลี่ยนหมากเม็ดหนึ่ง

โม่ซางยืดอกและห่อปลายลิ้นเหมือนกับสำนักพุทธที่กำลังจะเผยความจริงออกมา และพูดคำว่า ‘จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน!”

“อะไรนะ!”

สวี่เอ้อร์หลางเงยหน้าอย่างงงงัน

เหมียวโหย่วฟางจ้องโม่ซางด้วยสีสับสน

โม่ซางพอใจกับสีหน้าปากอ้าตาค้างของพวกเขามาก เขายืดอกเงยหน้าขึ้น

“ลี่น่าเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในยุทธภพได้ครึ่งปีแล้ว ได้รับความเคารพรักจากบุคคลที่มีชื่อเสียงในที่ราบกลางของพวกเจ้า ถูกขนานนามว่าจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน”

สวี่ฉือจิ้วสมกับเป็นปัญญาชนเสียจริง เขาค่อยๆ กล่าวด้วยสีหน้าปกติ

“ใครเป็นคนบอกเจ้า”

“ลี่น่าพูดเองนี่” โม่ซางตอบ

เหมียวโหย่วฟางกำลังจะเปิดโปง แต่เห็นสวี่เอ้อร์หลางส่งสายตาเป็นนัย จึงส่งกระแสจิตไปสอบถาม

“ทำไมล่ะ”

สวี่ฉือจิ้วไม่เชี่ยวชาญทักษะส่งกระแสจิต เพียงแค่ส่ายหน้าเล็กน้อย

‘เข้าใจแล้ว ความหมายของเอ้อร์หลางคือรอโม่ซางป่าวประกาศอย่างกำเริบเสิบสานแล้วค่อยดูเรื่องตลกจากเขา ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ความคึกคักไม่มากพอ…’ ไม่เสียแรงเปล่าที่เหมียวโหย่วฟางมั่วอยู่กับสวี่ชีอัน

ครู่เดียวก็นึกถึงเทพบุตร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง