ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 720

บทที่ 720 ชื่อของรุ่นที่หนึ่ง

สายตาของท่านโหราจารย์ราบเรียบ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย

“อาจารย์จะทำตามความปรารถนาของเจ้า”

ร่างของเขาอันตรธานไปในชั่วพริบตา เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็นั่งอยู่ตรงข้ามสวี่ผิงเฟิงข้างกระดานหมากรุก

ชุดขาวเผชิญกับชุดขาว

สวี่ผิงเฟิงหยิบหมากดำตัวหนึ่งขึ้นพร้อมเอ่ย

“ท่านเคยพูดว่า โลกคือหมากรุก ผู้คนเสมือนเบี้ย เมื่ออยู่ในโลกนี้ ทุกคนต่างก็เป็นตัวหมาก พวกเหนือระดับก็ไม่ยกเว้น ยามที่ข้าถามท่านว่า อาจารย์ก็เป็นหมากใช่หรือไม่ คำตอบของท่านคือ…ไม่ใช่!”

‘ตุ้บ!’ ตัวหมากวางลง สวี่ผิงเฟิงมองท่านโหราจารย์ที่อยู่ตรงข้ามพร้อมเอ่ยเสียงแผ่ว

“ตอนนั้นข้านึกไม่ถึง เวลาผ่านไปนานหลายปี เมื่อนึกย้อนอดีตถึงรู้ความหมายลึกซึ้งในคำพูดของท่าน ท่านโหราจารย์ ท่านเป็นคนเฝ้าประตูสินะ”

สายตาของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่อยู่ไม่ไกลทอดมองท่านโหราจารย์

ท่านโหราจารย์หยิบหมากขาวขึ้น น้ำเสียงทรงพลังแต่ราบเรียบ

“ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหกของข้า เจ้ามีพรสวรรค์ที่สุด ทว่าคนฉลาดชอบคิดมากเกินไป เทียบกับคนโง่จิตใจไม่ว้าวุ่นไม่ติด ด้วยบุคลิกของเจ้า เจ้ายังห่างชั้นจากคนเฝ้าประตูมาก เป็นโหรขั้นหนึ่งให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”

‘ตุ้บ’ เมื่อหมากขาววางลง หมากดำในกระดานหมากรุกก็ระเบิดเป็นผุยผง

สวี่ผิงเฟิงที่อยากพูดเรื่องของคนเฝ้าประตูอีกก็พูดไม่ออก เขาหยิบหมากดำขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อยพร้อมเอ่ย

“ท่านอาจารย์เป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า มองเห็นอนาคตได้ แม้ตอนนั้นท่านจะเห็นชะตาประเทศของต้าฟ่งล่มสลาย ทว่าท่านกลับมิอาจหยุดยั้งได้ ความขัดแย้งระหว่างปีศาจตอนใต้กับสำนักพุทธ ความขัดแย้งระหว่างต้าฟ่งกับคนเถื่อนทางเหนือและสำนักพ่อมด และความปรารถนาที่เผ่าพันธุ์กู่จะฟื้นฟูรูปปั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อ…สิ่งเหล่านี้ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ แนวโน้มสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นอกจากนี้ ผู้ที่รู้ความลับของสวรรค์จะต้องถูกความลับของสวรรค์พันธนาการ”

‘ตุ้บ’ หมากดำวางลง หมากขาวกลายเป็นผุยผง

โหรขั้นหนึ่งมีได้เพียงหนึ่งคน ในกระดานหมากรุกก็มีเบี้ยเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น

ท่านโหราจารย์หยิบหมากขาวขึ้นพร้อมหัวเราะ

“ตอนนั้นข้าเตรียมรับมือ น่าเสียดายที่พลังของวิชาดวงดาราผันเปลี่ยนปกปิดความลับของสวรรค์ได้ชั่วคราว ทำให้เจ้ากับเฒ่าเทียนกู่ประสบความสำเร็จ ทว่าเจ้าคิดว่าหญิงสาวในตอนนั้นหลบหนีจากอวิ๋นโจวมาถึงเมืองหลวงอย่างราบรื่นได้อย่างไร”

‘ตุ้บ!’ หมากขาววางลง หมากดำกลายเป็นผุยผง

สีหน้าของสวี่ผิงเฟิงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะบ่นพึมพำ

“ท่านรู้ทั้งรู้ว่าข้าดักซุ่มอยู่ที่อวิ๋นโจว เพราะเหตุใดจึงไม่เคยลงมือตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา”

ท่านโหราจารย์ปรายตามองเขา แล้วเหยียดยิ้ม

“ข้าพูดเจ้าก็เชื่องั้นหรือ หากข้ารู้ เจ้ายังจะทำสำเร็จอยู่หรือ”

สวี่ผิงเฟิงทอดถอนใจ

“ปรมาจารย์ลิขิตฟ้ามักจะเพ้อไปเรื่อย ช่างเถอะ มันผ่านไปแล้ว ยามตัดสินใจออกจากเมืองหลวงในตอนนั้นและสนับสนุนสายเลือดเมื่อห้าร้อยปีก่อน เมื่อกลายเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าสำเร็จ ข้าก็เริ่มเตรียมการ ท่านอาจารย์รู้หรือไม่ว่าหมากที่ข้าวางไว้ตั้งแต่แรกคือตัวไหน”

ท่านโหราจารย์ส่ายหน้าเล็กน้อย

“เฉินกุ้ยเฟยอย่างไรล่ะ! ” สวี่ผิงเฟิงวางลง ทำเอาหมากขาวกลายเป็นผุยผง แต่สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยมีความสุข แล้วเอ่ยอย่างหดหู่

“พูดถึงข้ากับเว่ยเยวียนก็เห็นใจคนชะตากรรมเดียวกัน บิดาของเฉินกุ้ยเฟยเป็นเจ้ากรมกรมการคลัง เคยมีบุญคุณสนับสนุนข้า สมัยวัยรุ่น ข้าทั้งสองก็ตกลงปลงใจใช้ชีวิตด้วยกันเอาเอง น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่แน่นอน ยามที่หยวนจิ่งคัดเลือกสาวงาม นางก็เข้าวังแล้ว ในตอนนั้นก็ใช้นางเผยความลับ ทำให้เว่ยเยวียนกับหยวนจิ่งจักรพรรดิและขุนนางผิดใจกัน บีบให้เขาล้มเลิกตบะ ข่าวคราวทั้งหมดในวังหลายปีมานี้ก็ได้มาจากนางทั้งนั้น ทว่าหลังก่อจลาจลขึ้น หมากตัวนี้ก็ไร้ประโยชน์แล้ว”

เฉินกุ้ยเฟยเป็นคนส่วนน้อยในวังที่จำเขาได้ ทว่าเฉินกุ้ยเฟยไม่รู้แผนการก่อกบฏของสวี่ผิงเฟิง

ตอนนี้ทั้งสองมีจุดยืนตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

“จริงด้วย ข้าก็รู้สถานะของจักรพรรดิหยวนจิ่งและตัวตนของเจินเต๋อจากการติดตามเบาะแสผ่านนาง นี่จึงเป็นผลปลุกปั่นให้หยวนจิ่งบำเพ็ญธรรมและทำลายชะตาประเทศต้าฟ่งเองตามมาทีหลัง”

ท่านโหราจารย์หยิบหมากขาวขึ้นและวางลง แล้วเอ่ยท่ามกลางเสียงระเบิดของหมากดำ

“อาจารย์ยังต้องขอบคุณพ่อลูกเช่นพวกเจ้ามากที่ช่วยข้ากำจัดเนื้อร้ายเช่นเจินเต๋อ มิเช่นนั้นข้าคงทำอะไรเจินเต๋อไม่ได้จริงๆ”

สวี่ผิงเฟิงไม่ได้หยิบหมากดำ ก้มหน้ามองหมากขาวในกระดานหมากรุกพร้อมเอ่ย

“ท่านโหราจารย์ จากการตรวจสอบและวิเคราะห์ประวัติการก่อจลาจลของอู่จงตอนนั้นอย่างต่อเนื่องในหลายปีมานี้ มีอยู่สองเรื่องที่ข้านึกไม่ถึงมาโดยตลอด การก่อจลาจลของจักรพรรดิอู่จงในตอนนั้นค่อนข้างเร่งรีบ ต่างจากอวิ๋นโจวในปัจจุบันที่มีทุกอย่างพร้อม ทว่าอาจารย์ปู่กลับรีบรับมือ ราวกับไม่ได้คาดการณ์ว่าท่านจะก่อกบฏ ข้าไม่รู้ว่าเขาจงใจเมินเฉยหรือไม่ หากไม่ใช่นั่นก็น่าสนใจ อาจารย์ปู่ในฐานะปรมาจารย์ลิขิตฟ้าจะถูกท่านหลอกตบตาได้อย่างไร ไม่ว่าจะปิดกั้นความลับของสวรรค์ของโหรก็ดีหรือดาวหมีใหญ่หันเหก็ช่าง ต่างปิดกั้นได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งและสิ่งหนึ่งเท่านั้น ทว่าปรมาจารย์ลิขิตฟ้าเห็นอนาคตได้ แม้จะปิดกั้นได้ชั่วเวลาหนึ่ง แต่ก็ปิดกั้นตลอดไปไม่ได้ ท่านโหราจารย์ ท่านทำได้อย่างไรกัน”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ แสงประหลาดก็ฉายอยู่ในดวงตาของสวี่ผิงเฟิง

“เพราะท่านคือคนเฝ้าประตู นี่จึงเป็นเหตุให้ท่านสังหารอาจารย์ได้จริงๆ”

ท่านโหราจารย์มองเขาอย่างลุ่มลึก

“หากท่านเป็นคนเฝ้าประตู แล้วรุ่นที่หนึ่งล่ะ”

เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลังของท่านโหราจารย์ อสูรยักษ์เขากวางเกล็ดสีขาว ปากจระเข้แผงคอราชสีห์ตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

‘ตึง! ตึง! ตึง!’

อำเภอซงซาน เสียงกลองประหนึ่งฟ้าร้อง

ทหารอาสาวิ่งไปที่หัวเมืองขนถังน้ำมันตะเกียง ท่อนซุง และหีบบรรจุปืนใหญ่รวมถึงหน้าไม้

มือปืนใหญ่ปรับองศาการยิงอย่างรวดเร็ว มือธนูถือซองหน้าไม้แต่ละถุงไว้ข้างเท้า ทหารอารักขาทั้งหมดระดมพล ต่างเตรียมการกันอย่างเป็นระเบียบ

ทั้งหมดนี้ถูกตราตรึงอยู่ในสัญชาตญาณของเหล่าทหารมานานภายใต้การฝึกอบรมของสวี่เอ้อร์หลาง แม้จะเป็นทหารอาสาก็ได้รับการฝึกฝนอย่างดี

อย่างไรเสียในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกเขาต้องฝึกฝนทุกวันครั้งแล้วครั้งเล่า ขนกองกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ป้องกันเมืองขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง

เหมียวโหย่วฟางยืนอยู่บนเชิงเทิน สายตาทอดมองไปไกลก็เห็นกองทัพอันคับคั่งเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ จากป่ารกร้างที่อยู่ไกลออกไป

ด้านหน้าสุดของกองทัพเป็นรถประหลาดทั้งหมดหกคัน แต่ละคันสูงสองจั้ง ผิวนอกปกคลุมด้วยแผ่นเหล็กราวกับโล่ยักษ์ ทุกคันต่างขับเคลื่อนด้วยทหารอาสาสิบกว่าคน

เหมียวโหย่วฟางไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ทว่าความรู้สึกในการต่อสู้ที่ปลูกฝังในช่วงเวลานี้ ทำให้เขารับรู้ได้ว่านี่เป็นสิ่งที่กองทัพศัตรูสร้างออกมาใช้ป้องกันปืนใหญ่ระดมยิงมาจากบนกำแพงเมือง

“หน้าไม้! ”

ยามที่กองทัพศัตรูเคลื่อนมาถึงรัศมีการยิงของหน้าไม้ เหมียวโหย่วฟางก็ตะโกน คลื่นเสียงดังสนั่น

‘ปังๆๆ!’

หน้าไม้ประหนึ่งหอกยาวพุ่งออกไป แล้วเจาะเข้าไปในโล่ยักษ์ได้อย่างง่ายดายท่ามกลางเสียงยิง

ทว่าหน้าไม้ที่เลื่องลือด้านพลังทะลวงก็มิอาจทำลายโล่ยักษ์เหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพได้

เหมียวโหย่วฟางไม่ย่อท้อ หลังจากกองทัพศัตรูเข้ามาถึงรัศมีปืนใหญ่ มือใหญ่ก็โบกลง

“ยิง!”

‘ตูม!’ ปืนใหญ่พลันถอยหลัง เปลวไฟพ่นออกมาจากปากกระบอก กระสุนแต่ละลูกถูกยิงออกไป แล้วกระทบลงบนโล่ยักษ์ราวกับอุกกาบาต ปล่อยลูกไฟขยายตัวออกไป

โล่ยักษ์ระเบิดออกท่ามกลางปืนใหญ่ เศษไม้และแผ่นเหล็กอันร้อนผ่าวกระเด็นไปทั่วสารทิศ

ทว่ามันกลับสกัดแรงระเบิดส่วนหนึ่งของทหารอารักขาเอาไว้ได้ ลดจำนวนผู้เสียหายของกองทัพกบฏ

หลังจากจ่ายค่าตอบแทนที่ทำลายโล่ยักษ์ทั้งหกคันและปืนใหญ่สามลำ ในที่สุดกองทัพกบฏก็เคลื่อนแนวทหารเข้ามาถึงรัศมีการยิงปืนใหญ่ของตนเอง

‘ตูมๆๆ’

ปืนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน บนกำแพงเมืองและป่ารกร้างต่างระเบิดเป็นลูกไฟอย่างต่อเนื่อง ควันหนาพุ่งโขมง

กองทัพกบฏเปิดฉากบุกโจมตีท่ามกลางเสียงแตรสัญญาณ คับคั่งประหนึ่งฝูงมด พลังประหนึ่งสายรุ้ง

เผ่าอั้นกู่ราวกับปีศาจร้าย สังหารกองทัพศัตรูที่บุกเมืองเป็นฝูงมดทีละคน แล้วผู้ควบคุมศพของเผ่าซือกู่ก็เปลี่ยนศพของกองทัพศัตรูให้กลายเป็น ‘กองกำลังพันธมิตร’

พลรบของเผ่าลี่กู่พละกำลังน่าเกรงขาม รับผิดชอบทิ้งท่อนซุงและกลิ้งหินลงไป

พวกเขาร่วมมือกันอย่างรู้ใจหาใดเทียบภายใต้การบัญชาจากสวี่เอ้อร์หลาง

“ระวัง! ”

เหมียวโหย่วฟางที่อยู่ไม่ไกลจากสวี่เอ้อร์หลางพลันกระโดดเข้าใส่เขา

ทันใดนั้นสวี่เอ้อร์หลางก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตูม’ เชิงเทินระเบิดออก หน้าไม้ประหนึ่งหอกยาวแทงทะลุเชิงเทินและระเบิดในตำแหน่งเดิมที่เขาอยู่

‘หน้าไม้ธรรมดามิอาจกลืนพลังปราณได้ นี่เป็นสิ่งที่ยอดฝีมือขว้างออกมา…’ เหมียวโหย่วฟางประกายความคิด พุ่งไปข้างกำแพงเมืองและมองกราดลงมาก็มองเห็นทั้งคนแปลกหน้าและคุ้นเคยท่ามกลางฝูงชนที่วุ่นวาย

จัวเฮ่าหราน!

ในมือของเขาถือศีรษะของพลรบฝ่ายอั้นกู่ อีกมือหนึ่งถือหอกยาวกำลังแสยะยิ้มมองมาบนกำแพงเมือง

“ขวางเขาไว้!”

สวี่ซินเหนียนโบกธงคำสั่งอย่างใจเย็น

ภายในเมือง กองทัพสัตว์บินกว่าสามร้อยตัวพุ่งเข้ามา กรงเล็บเกี่ยวถังน้ำมันตะเกียง เหล่าอัศวินแบกธนูพร้อมถือลูกธนูที่หัวลูกศรห่อผ้าดินสำลีไว้ในมือ

นี่ทำให้กองทัพสัตว์บินทั้งสามร้อยราวกับเครื่องบินทิ้งระเบิด

กองทัพสัตว์บินเป็นกองกำลังไพ่ใบเอก แทบจะคงกระพันและชนะสิบทิศในสนามรบ แม้จะเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ หากไม่ได้ฝึกฝน ‘วิถีธนู’ ก็มิอาจข่มขู่กองทัพสัตว์บินด้วยธนูได้

หากเหินฟ้าไล่ฆ่า ความเร็วในการเหาะเหินของจอมยุทธ์ขั้นสี่เทียบกับสัตว์บินไม่ได้อยู่แล้ว

ในเวลานี้เอง เสียงร้องกังวานก็ดังไปทั่วขอบฟ้า

ฝูงนกยักษ์สีแดงกระพือปีกมาจากขอบฟ้า ส่งเสียงเจื้อยแจ้วจำนวนกว่าห้าร้อยตัว

โดยมีผู้นำเป็นนกยักษ์ปีกยาวสามจั้ง ร่างกายใหญ่ยักษ์ ปราศจากทหารม้าบนร่างของมัน

ม่านตาของสวี่เอ้อร์หลางพลันหดตัว

มณฑลฟู่!

จีเสวียนยืนอยู่บนกำแพงเมืองที่ทรุดลงครึ่งหนึ่ง ทอดมองซุนเสวียนจีที่ยืนทะนงอยู่บนฟ้า แล้วหัวเราะเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย

“ในสายตาของข้า กำแพงเมืองต่างกับกระดาษไหว้เจ้าอย่างไร ซุนเสวียนจี ตอนนี้กองทัพของข้าบุกเข้าเมืองจนเต็มเมืองไปหมดแล้ว เจ้าอยากให้มณฑลฟู่ปกคลุมไปด้วยแรงระเบิดหรือไม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง