บทที่ 721 ฟ้าเปลี่ยนไป (1)
พออีเอ๋อร์ปู้พูดจบ ก็ ‘เห็น’ สวี่ชีอันอยู่ตรงหัวเรือ เขาเบิกตากว้างใบหน้าแข็งค้างราวกับอยู่ๆ ก็โดนใครสักคนตีหัว
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว อาจารย์หลิงฮุ่ยขอตัวก่อน”
อีเอ๋อร์ปู้ละสายตา พูดเสียงเรียบและคิดจะจากไป
“รอก่อน!”
สวี่ชีอันผ่อนลมหายใจช้าๆ แล้วถามว่า “บ้านบรรพชนของท่านโหราจารย์รุ่นแรกไม่ได้อยู่ในเซียงโจวหรอกรึ?”
ตอนถามคำถามนี้ ใบหน้าของเขาสงบนิ่งเยือกเย็น ทว่าหัวใจกลับตึงเครียด
อีเอ๋อร์ปู้ขมวดคิ้ว
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ถึงข้ารู้ ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย”
ใช้โอกาสนี้ดูถูกสวี่ชีอัน แล้วก็หันขวับเดินจากไป
ท่ามกลางแสงแดดแผดเผา สวี่ชีอันนั่งนิ่งอยู่ตรงหัวเรือ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ?”
มู่หนานจือตะโกนถามจากอีกฟากของลำเรือ
ด้วยความใกล้ชิดสนิทสนมนางเลยรู้สึกว่าสวี่ชีอันมีอะไรบางอย่างแปลกไป เขาควรจะดีใจที่ได้วัสดุหลอมเพื่อฟื้นคืนชีพให้เว่ยเยวียน แต่เขากลับนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความงุนงง
สวี่ชีอันถอนหายใจ สงบสติอารมณ์และพูดว่า “เจ้าจดจำแผนที่มหาสุสานตระกูลไฉได้ใช่หรือไม่?”
มู่หนานจือเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “บรรพชนตระกูลไฉเคยเป็นผู้พิทักษ์สุสานมาก่อน แต่พวกเขาถูกกำจัดเพราะแผนที่มหาสุสาน ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวถูกขายเป็นทาสในชายแดนตอนใต้ ต่อมาเขากลับมายังเซียงโจวและก่อตั้งตระกูลไฉขึ้น ในตอนนี้…”
พอพูดถึงประโยคนี้นางก็ชะงักและพยายามนึกต่อ
สวี่ชีอันถามซ้ำอีกครั้ง
“แล้วเจ้าคิดว่านั่นเป็นหลุมฝังศพของใคร?”
มู่หนานจือพูดจาฉุนเฉียว
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร!”
ไป๋จีสะท้อนคำพูดของนางเบาๆ “ถูกต้อง!”
เวรกรรม…สวี่ชีอันถอนหายใจแล้วก็พูดว่า
“แล้วถ้าข้าบอกว่าท่านโหราจารย์รุ่นแรกชื่อไฉ่ซินเจว่ล่ะ?”
มู่หนานจือกับไป๋จีเอียงศีรษะไปทางซ้ายพร้อมกันด้วยท่าทางสับสนระคนน่ารัก
พวกนางไม่ได้หันหน้ามา
ชั่วขณะหนึ่ง สวี่ชีอันบอกไม่ได้ว่าพวกนางจำท่านโหราจารย์รุ่นแรกไม่ได้หรือไม่เข้าใจในเรื่องที่เขาพูด
สุดท้ายแล้วข้อมูลของท่านโหราจารย์รุ่นแรกก็ถูกปิดผนึก แต่เนื่องจากรู้สึกว่าประวัติศาสตร์สะเปะสะปะเหลือเกินจึงไม่อาจลืมไปได้หมดสิ้น
“เจ้าของมหาสุสานนี้เป็นท่านโหราจารย์รุ่นแรก” สวี่ชีอันเผยคำตอบออกมาตรงๆ
จากนั้นมู่หนานจือกับไป๋จีก็ทำตาโตพร้อมกัน ดูแป๋วแหววยิ่งนัก
“ถ้าอย่างนั้นไฉซิ่งเอ๋อร์ก็เป็นลูกหลานของท่านโหราจารย์รุ่นแรกจริงๆ น่ะหรือ?” มู่หนานจือรู้สึกว่าสวี่ชีอันกำลังพูดเรื่องไร้สาระจึงทำท่าทางไม่เชื่อถือ
“เป็นไปได้อย่างไร คนแซ่ไฉมีตั้งเยอะ อาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้”
“เป็นเรื่องบังเอิญ!” ไป๋จีย้ำอีกครั้ง
สวี่ชีอันส่ายหัว
“คนแซ่ไฉมีเยอะ แต่มีไม่กี่คนที่ทำให้สวี่ผิงเฟิงมาถึงหน้าประตูด้วยตัวเอง ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ”
“ยิ่งกว่านั้น ท่านโหราจารย์รุ่นแรกยังสิ้นชีพในกบฏอู๋จงเมื่อห้าร้อยปีก่อน ในแง่เวลา แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตระกูลไฉมีประวัติยาวนานถึงห้าร้อยปี แต่ก็ไม่มีข้อโต้แย้ง”
ตามช่วงเวลาแล้ว เดิมทีตระกูลไฉเป็นผู้พิทักษ์สุสาน จากนั้นก็ละทิ้งสถานะการเป็นผู้พิทักษ์สุสานและมาตั้งรกรากในเซียงโจว ต่อมาเพราะมีคนอยากได้แผนที่สุสาน ตระกูลไฉจึงถูกกำจัดและผู้สืบทอดเพียงคนเดียวก็ถูกขายเป็นทาสในชายแดนตอนใต้
กว่าร้อยปีที่แล้ว เด็กคนนั้นกลับมายังเซียงโจวและกลายเป็นบรรพบุรุษตระกูลไฉในปัจจุบัน
กล่าวอีกนัยหนึ่งประวัติศาสตร์ของตระกูลไฉต้องไม่ต่ำกว่าสองร้อยปีแน่นอน
ดังนั้นจึงไม่มีความขัดแย้งในเรื่องเวลา
“ข้าเคยสงสัยว่าทำไมสวี่ผิงเฟิงถึงให้ความสนใจกับตระกูลแม่น้ำและทะเลสาบเล็กๆ ถ้าเทียบว่าเขาเป็นโหรขั้นสอง ตระกูลไฉก็เป็นเหมือนมด หลังจากรู้ว่าตระกูลไฉมีแผนที่มหาสุสานลึกลับ ข้าก็เริ่มสงสัยอีกแล้วว่า เหตุใดมหาสุสานจึงดึงดูดความสนใจของสวี่ผิงเฟิงได้”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ต่อมา ข้าคิดว่าเป็นสวี่ผิงเฟิงที่ติดต่อหัวหน้าเผ่าซือกู่ เอาแผนที่ไปจากเขาแล้วไปตามเส้นทางนี้เพื่อตามหาตระกูลไฉ”
มู่หนานจือใช้เวลานานในการย่อยคำพูดของเขา ขมวดคิ้วและพูดว่า
“ไม่ได้เป็นว่า?”
“ความเป็นไปได้นี้ไม่ได้ถูกตัดออกไป แต่อาจมีความเป็นไปได้อื่น!”
สวี่ชีอันทำหน้าไม่สู้ดี
“บางทีสวี่ผิงเฟิงอาจได้เรียนรู้ว่าสุสานสืบสายเลือดจากเมื่อห้าร้อยปีก่อน เขารู้ว่าตระกูลไฉเป็นผู้พิทักษ์สุสานของท่านโหราจารย์รุ่นแรก เพียงแต่ข้าไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อย”
“รายละเอียดอะไร?”
ไป๋จีถามอย่างกระฉับกระเฉง
สวี่ชีอันไม่ตอบสนอง
ประการแรก ทำไมสวี่ผิงเฟิงจึงมองหาสุสานของคนรุ่นแรก? คนรุ่นแรกตายไปหมดแล้ว ดังนั้นจะมีคุณค่าอะไรอยู่ในสุสานของเขา
ประการที่สอง ท่านโหราจารย์รุ่นแรกสิ้นชีพในกบฏอู๋จงปีนั้นเอง ไม่ว่ากระดูกของเขาจะได้รับการเก็บรักษาไว้หรือไม่ก็ตาม แต่ว่าร่างของท่านโหราจารย์รุ่นแรกจะถูกฝังไว้ในสุสานขนาดใหญ่เช่นนี้หรือ?
…
เมืองจิ้งซาน
ซ่าหลุนอากู่สวมชุดไว้ทุกข์ผ้ากระสอบ ปีนขึ้นบันไดหินเพื่อไปยังแท่นบูชา
อีกรูปปั้นหนึ่งสวมเสื้อคลุมแบบขงจื๊อโบราณและหมวกขงจื๊อ มือข้างหนึ่งวางบนหลังและอีกข้างจับที่ท้องน้อย
ซ่าหลุนอากู่เดินไปที่รูปปั้นโหรเทพ โค้งคำนับเล็กน้อย ทำความเคารพ จากนั้นพึมพำคำพูดบางอย่างและได้ยินบางคำไม่ค่อยชัดเจน
“ไป๋ตี้…ผู้เฝ้าประตู…ท่านโหราจารย์รุ่นแรก…มีปัญหา…”
หลังจากพูดจบ ซ่าหลุนอากู่ก็ก้มศีรษะทำท่ารับฟัง
ไม่กี่วินาทีต่อมา ซ่าหลุนอากู่ก็เงยหน้าขึ้น หรี่ตาช้าๆ และพูดกับตัวเองว่า
“ต้าฮวง เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…”
…
ดินแดนประจิมทิศ อรัญตา
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนสวมผ้าย้อมน้ำฝาดอยู่ในรูปภิกษุหนุ่ม นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์
พระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้มีเกศาสีฟ้าเหมือนน้ำตก นุ่งขาวห่มขาว เท้าเปล่าเหมือนหิมะ ถือหม้อหยกอยู่ในพระหัตถ์
‘เชือก’ ของหม้อหยกคืองูสีดำตัวเล็ก หางเกี่ยวอยู่ที่ด้ามจับหม้อส่วนหัวงูบิดอยู่ในมือพระโพธิสัตว์หลิวหลี
“ท่านแน่ใจหรือว่าผู้เฝ้าประตูเป็นท่านโหราจารย์”
เสียงของพระโพธิสัตว์หลิวหลีไพเราะเสนาะหู ทว่ามิได้เจือไปด้วยอารมณ์
“นั่นคือสิ่งที่เจียหลัวซู่ว่าไว้” พระโพธิสัตว์กว่างเสียนยิ้มและประสานมือไว้ด้วยกัน
“จากมุมมองของข้าก็น่าจะเป็นเรื่องจริง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง