‘สาม: แล้วพรรคฟ้าดินนั่นมันเรื่องอะไรอีก’
‘เก้า: พรรคฟ้าดินเป็นลัทธินอกรีต อยากได้ของวิเศษของนิกายปฐพีของเรามานานแล้ว เฮอะๆ ของวิเศษนี้เรียกอีกอย่างว่าหนังสือปฐพี สามารถส่งข้อความได้พันลี้ เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่จินเหลียน รู้ว่าเขาไปที่เมืองหลวงแห่งต้าฟ่ง เพราะมีเพียงการเข้าไปในเมืองหลวงเท่านั้นถึงจะหลบหนีการไล่ล่าของพรรคฟ้าดินได้ แต่เมื่อข้ารีบไปที่เมืองหลวงกลับสูญเสียวิธีการติดต่อกับศิษย์พี่จินเหลียนไป จึงส่งข้อความผ่านทางหนังสือปฐพี ถึงได้รู้ว่าเขามอบ ‘หนังสือปฐพี’ ให้เจ้าแล้ว คาดว่าสถานการณ์ของศิษย์พี่จะต้องวิกฤตอย่างยิ่งแน่ ถึงได้จำเป็นต้องละทิ้งหนังสือปฐพีเพื่อรักษาชีวิตรอด’
เวรล่ะ…หมายความว่าโยนหม้อมาให้ข้าหรือ!
สวี่ชีอันทึมทื่อไปแล้ว
‘เก้า: เพียงแต่ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้ทรงศักดิ์ของฝ่ายใด ถึงได้ทำให้ศิษย์พี่จินเหลียนวางใจมอบหนังสือปฐพีให้เจ้า’
ข้าเป็นแค่มือปราบเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่สิ ข้าคือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตัวน้อยๆ เท่านั้น…สวี่ชีอันใจเย็นวาบไปแล้วครึ่งหนึ่ง
‘สาม: เหตุใดถึงละทิ้งหนังสือปฐพีเพื่อเอาตัวรอดหรือ คนของพรรคฟ้าดินสามารถจับตำแหน่งของหนังสือปฐพีได้หรือ’
สวี่ชีอันผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์เหตุผลจับประเด็นนี้ได้อย่างเฉียบคม
‘เก้า: เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของนิกายปฐพีของอาตมา จึงมิอาจบอกได้ หนังสือปฐพีคือสมบัติประจำนิกาย หวังว่าเจ้าจะสามารถมอบให้อาตมาได้ อาตมาจะขอบคุณอย่างยิ่ง’
‘สาม: ได้ จะส่งคืนให้อย่างไร’
สวี่ชีอันรู้สึกไม่เต็มใจอยู่สักหน่อย ถึงอย่างไรนี่ก็คือสมบัติที่สามารถใช้เป็นแหวนมิติเก็บของได้เชียวนะ แต่พอพิจารณาถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับมัน เขาก็เลือกตัดใจ
‘เก้า: อาตมาอยู่ในเมืองหลวง สามารถไปหาเจ้าได้ทุกเมื่อ ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อสามารถเลือกสถานที่แลกเปลี่ยนเองได้ อืม เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ’
ผู้หญิง ข้าต้องการผู้หญิงร้อนแรง…สวี่ชีอันเกือบจะโพล่งออกมา
‘สาม: ท่านนักบวชเกรงใจแล้ว ส่งของกลับสู่เจ้าของเดิมเป็นความรับผิดชอบที่ข้าน้อยสมควรทำ เพียงแต่ตอนนั้นนักบวชจินเหลียนผู้นั้นพูดกับข้าน้อยว่านี่คือสมบัติฟ้าดิน และนำมาขายให้ข้าในราคาห้าร้อยตำลึงทอง ข้าน้อยมิได้ร้องขอเงินทอง เพียงแต่สมบัติกลับสู่เจ้าของเดิม ทองคำก็ย่อมต้องกลับสู่เจ้าของเดิมเช่นกัน แลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมน่ะ ใช่หรือไม่’
‘เก้า: …แต่เดิมก็ควรเป็นเช่นนั้น’
…
สวี่ชีอันเก็บกระจก แล้วผล็อยหลับไปพร้อมกับกอดความฝันอันงดงามเรื่องเงินห้าร้อยตำลึงทอง
วันรุ่งขึ้น เขาเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แขวนป้ายห้อยเอวและดาบพก ผูกฆ้องที่เปลี่ยนมาใหม่เมื่อวานไว้ที่หน้าอก
จากนั้นก็ข้ามกำแพงไปกินข้าวเช้าที่บ้านอารอง
เมื่อออกจากจวนสกุลสวี่ เขาก็รับบังเหียนม้ามาจากเหล่าจางคนเฝ้าประตู จากนั้นสวี่ชีอันจึงขี่ม้าไปยังที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในเมืองชั้นใน
ม้าตัวนี้เป็นพาหนะของอารอง แต่ตอนนี้เป็นของสวี่ชีอันแล้ว แน่นอนว่าสวี่ชีอันได้ให้เงินอารองไปห้าสิบตำลึงเงินเพื่อปิดปากอาสะใภ้เรียบร้อย
มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ที่ว่าการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ในเมืองชั้นใน ห่างจากจวนสกุลสวี่มากเกินไป หากสวี่ชีอันเดินเท้าล่ะก็ กว่าจะถึงที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ใกล้จะได้กินข้าวกลางวันแล้ว
เขารีบขี่ม้าไปยังที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก้าวเข้าไปในห้องชุนเฟิง หลี่อวี้ชุนกำลังดื่มชากับฆ้องเงินคนหนึ่ง
“ลูกน้องคนใหม่ของเจ้าหรือ” เมื่อฆ้องเงินผู้นั้นเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้าก็เอ่ยถามออกมา
“อืม” หลี่อวี้ชุนพยักหน้า
“อยู่ระดับอะไร” ฆ้องเงินถาม
หลี่อวี้ชุนไม่รอให้สวี่ชีอันเอ่ยปาก เขาก็รีบบอก “ระดับอี่[1]”
ฆ้องเงินค่อนข้างประหลาดใจ เขาเอ่ยชื่นชม “ไม่เลวๆ หน่วยงานราชการต้องการคนหนุ่มมีศักยภาพเช่นนี้ ในอนาคตพวกเจ้าก็จะเป็นผู้แบกงานหนักของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว”
ประโยคหลังพูดให้สวี่ชีอันฟัง
สวี่ชีอันโค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วจึงกล่าวจุดประสงค์การมา “หัวหน้า ข้าอยากไปที่คลังเอกสารขอรับ”
เขาทั้งไม่รู้ว่าคลังเอกสารอยู่ที่ไหน และยังไม่รู้การจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงด้วย
“ต่อไปถ้ามีคำถามอะไรสามารถไปหาเจ้าหน้าที่โดยตรงได้เลย” หลี่อวี้ชุนกล่าว
“เข้าใจแล้วขอรับ” สวี่ชีอันถอยออกมาจากห้องชุนเฟิง
หัวหน้ากำลังพูดคุยติดลมอยู่ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาหากไม่มีเรื่องสำคัญไม่อาจไปรบกวนได้ จุดนี้มีราคาที่ต้องจ่าย
เมื่อจับตัวเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาสอบถามว่าคลังเอกสารอยู่ที่ไหน สวี่ชีอันก็มาถึงอาคารใหญ่แห่งหนึ่ง
เขามอบป้ายห้อยเอวให้กับเจ้าพนักงานชุดดำ หลังจากรับไปและยืนยันว่าถูกต้องก็มอบคืนให้กับสวี่ชีอันพร้อมกล่าว
“คลังเอกสารแบ่งเป็นสี่คลังคือ เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง ฆ้องทองแดงสามารถตรวจสอบเอกสารได้แค่คลังตัวอักษรติงเท่านั้นขอรับ”
สวี่ชีอันใคร่ครวญดูแล้วเอ่ยถาม “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลที่ข้าต้องการตรวจสอบอยู่ในคลังของเขตไหน”
เจ้าพนักงานชุดดำเอ่ยพร้อมรอยยิ้มท่าทางนอบน้อม “ไปคลังตัวอักษร ‘ติง’ ขอรับ”
‘เจี่ย อี่ ปิ่ง ติง’ ทั้งสี่คลังนี้ ติงคือชั้นฐานและใหญ่ที่สุด นี่เป็นไปตามกฎพีระมิด
ยิ่งเป็นเอกสารลับเท่าไร ก็ยิ่งมีจำนวนน้อย
สวี่ชีอันเข้าไปยังคลัง ‘ติง’ เมื่อมาถึงด้านหน้าโต๊ะต้อนรับก็กล่าวว่า “ข้าอยากได้ข้อมูลเรื่องลัทธิเต๋า”
เจ้าพนักงานที่อยู่หลังโต๊ะต้อนรับพลิกหนังสือพับเล่มหนา ตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าขึ้นกล่าว “ใต้เท้า โปรดรอสักครู่”
เขาเข้าไปยังส่วนในของคลังเอกสาร
ไม่นาน เจ้าพนักงานชุดดำก็ถือตำราม้วนหนึ่งออกมาพร้อมกับรับป้ายห้อยเอวของสวี่ชีอันไปแล้วยื่นหนังสือมาให้
สวี่ชีอันกล่าว “ขอชาร้อนหนึ่งถ้วย”
จากนั้นก็หันกายไปยังห้องโถงด้านข้างที่มีโต๊ะตั้งอยู่แล้วพลิกอ่านข้อมูลของลัทธิเต๋า
ที่มาของลัทธิเต๋ามาจากปรมาจารย์เต๋า อายุของปรมาจารย์เต๋าไม่อาจตรวจสอบได้ ตามตำนานบอกว่าปรมาจารย์เต๋าเป็นผู้วิเศษในสมัยโบราณ หนึ่งปราณของเขาแยกเป็นสามวิสุทธิ์ อันได้แก่ เทพปกครองสวรรค์ ศาสดาแห่งเต๋า และรัตนะผู้วิเศษ
สอดคล้องกับองค์ประกอบสามอย่างคือ สวรรค์ ปฐพี และมนุษย์
นี่ก็คือที่มาของสามนิกาย ‘สวรรค์ ปฐพี มนุษย์’ ของลัทธิเต๋า
สองนิกายในนั้นอย่างสวรรค์และมนุษย์เปรียบเสมือนน้ำกับไฟ ล้วนอวดอ้างว่าตนเป็นลัทธิเต๋าสายตรง แทบจะรอตบตีกับอีกฝ่ายไม่ได้
นิกายปฐพีนั้นเฉยเมยมากที่สุด รูปแบบของนิกายก็เก็บงำไม่เปิดเผยอย่างยิ่ง ไม่แข่งชื่อเสียงไม่รับผลประโยชน์ สำหรับคนที่ไม่รู้จักจะคิดว่าลัทธิเต๋ามีเพียงสวรรค์และมนุษย์สองนิกายเท่านั้น
เป็นปลาเค็ม[2]เสียจนปวดใจ
‘คาดว่าปีนี้ความขัดแย้งด้านการแข่งขันของสายเต๋าจะใหญ่ที่สุด’ สวี่ชีอันเสริมหนึ่งประโยคในใจเงียบๆ ว่า พวกพี่สาวนั้นไร้พ่ายที่สุดแล้ว
เมื่ออ่านต่อไป เขาก็พบว่า ‘นิกายปฐพี’ ทำตัวเป็นปลาเค็มอย่างมีเหตุผล
นิกายปฐพีบูชาศาสดาแห่งเต๋า บำเพ็ญกุศลคุณธรรมนับไม่ถ้วน พวกเขาท่องไปทั่วหล้า ประพฤติตัวเก็บงำ ปิดทองหลังพระ เมื่อได้รับบุญกุศลแล้วก็จากไป
บุญกุศล… สวี่ชีอันขมวดคิ้วครุ่นคิด
ในแง่หนึ่งบุญกุศลก็คล้ายคลึงกับโชค ผู้คนมักพูดว่าสร้างกุศลสะสมบุญ คนดีมักได้รับผลตอบแทน
บุญกุศลหมายถึงโชคดี ซึ่งโชคดีและโชคก็คือสิ่งเดียวกัน
ดังนั้นนักบวชเฒ่าของนิกายปฐพีผู้นั้นถึงได้มองเห็นจุดพิเศษของข้าอย่างนั้นหรือ รู้ว่าข้าคือเจ้าพ่อแห่งความโชคดีที่มีดาวนำโชครายล้อมถึงได้โยนเผือกร้อนมาให้ข้าอย่างสบายใจเช่นนี้…แม่มันเถอะ เจ้าไม่ใช่ต้องบำเพ็ญบุญกุศลหรอกเรอะ แล้วทำไมถึงได้ทำเรื่องไร้คุณธรรมแบบนี้…
สวี่ชีอันส่อเสียดอยู่ในใจ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มเชื่อมโยงว่าโชคแปลกประหลาดในตัวเขาก็คือบุญกุศลอย่างหนึ่ง
แต่บรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของสกุลสวี่ล้วนเป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ทั้งนั้น มีรุ่นของอารองที่ดีขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งสองพี่น้องก็ยังเป็นพวกสมควรตายที่มักจะมือถือมีดทำครัวตัดสายไฟ ทำให้มีประกายไฟและฟ้าผ่ามาตลอดทาง[3]
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง