‘เก้า: เจ้าอยู่ที่ไหน’
สวี่ชีอันจ้องมองกระจก ตะลึงอยู่เนิ่นนาน กระจกพูดได้หรือ มันเป็นสมบัติที่มีสติปัญญาอย่างนั้นหรือ
‘เก้า’ หมายความว่าอะไร กระจกนี้มีชื่อว่าเก้างั้นหรือ
ไม่สิ ถ้าหากเป็นจิตวิญญาณของกระจกจริง คงไม่ถามว่า ‘เจ้าอยู่ที่ไหน’ ออกมาหรอก เพราะข้ากับเจ้านอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกวัน
สวี่ชีอันจ้องมองกระจก ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เขากำลังใคร่ครวญถึงปัญหาสี่ข้อ
หนึ่ง กระจกเป็นสมบัติชนิดใด นอกจากใส่วัตถุสิ่งของแล้ว ยังสามารถรับส่งข้อความได้ด้วยหรือ
สอง นี่คือข้อความหรือเปล่า ถ้าหากใช่ เช่นนั้นใครส่งมา
สาม นักบวชเต๋าเฒ่าคือใคร ทำไมเขาถึงให้กระจกกับข้าล่ะ
สี่ ข้าควรตอบกลับหรือไม่
เพื่อความรอบคอบ สวี่ชีอันยึดความคิดที่ว่า ‘ขอเพียงข้าแสร้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เช่นนั้นมันก็จะไม่มีอยู่จริง’ เขาเก็บกระจกไว้เงียบๆ ไม่คิดจะตอบกลับ
อีกอย่าง เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไร
เมื่อเขามาถึงลานบ้านก็แช่หัวลงในถังเก็บน้ำแล้วใช้ผ้าซับเหงื่อเช็ดให้แห้ง จากนั้นสวี่ชีอันก็ออกจากลานเล็กไป
เขาได้เข้าร่วมกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว แต่เวลาทำงานอย่างเป็นทางการคือวันมะรืน ที่ว่าการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต้องเตรียมชุดเครื่องแบบกับฆ้องให้เขาก่อน
ยังเช้าอยู่เลย เวลานี้เป็นยามอู่ สองเค่อ (เวลาประมาณ 11.30 น.)
สวี่ชีอันไปที่ว่าการอำเภอฉางเล่อรอบหนึ่งก่อนเพื่อบอกกล่าวเรื่องที่ตนได้เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลให้กับสหายร่วมงานและนายอำเภอจูฟัง
นายอำเภอจูได้รับข่าวจากทางนี้แล้ว เพราะหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมานำทะเบียนบ้านของสวี่ชีอันจากที่ว่าการอำเภอฉางเล่อไปล่วงหน้า
สวี่ชีอันกับสหายร่วมงานและนายอำเภอจูนัดทานอาหารค่ำด้วยกันในตอนเย็น ไม่ใช่แค่งานเลี้ยงอำลาเท่านั้น แต่ยังเป็นงานเลี้ยงฉลองการเลื่อนตำแหน่งที่ร่ำรวยขึ้นของเขาด้วย
สถานที่ย่อมต้องเลือกหอเสี่ยวเยว่ที่อยู่ไม่ไกลจากที่ว่าการอำเภอ หอคณิกาคือตัวเลือกแรกของการพบปะสังสรรค์ในแวดวงราชการ
ก่อนมาที่นี่ สวี่ชีอันคิดจะไปที่หอคณิกาเพื่อฟังดนตรีพลางแก้ปัญหาอาหารกลางวันไปด้วย
…
งานเลี้ยงอำลาเริ่มตั้งแต่ยามเซิน เรื่อยไปจนถึงยามโหย่ว สามเค่อ (เวลาประมาณ 16.00-20.00 น.)
ระหว่างงานเลี้ยง นายอำเภอจูถอนหายใจกล่าว “หนิงเยี่ยนเอ๋ย เจ้าเป็นคนจากที่ว่าการอำเภอฉางเล่อของข้า ได้เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ถือเป็นโชคดีของอำเภอฉางเล่อของพวกเรา แต่ก่อนข้านั้นเห็นแววเจ้าดีอย่างยิ่ง…”
เขาหยุด ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด
ถ้าหากข้าสามารถปีนป่ายต่อไปได้ละก็…นายอำเภอจูคงจะเป็นเส้นสายแรกที่ข้าสามารถเชื่อถือได้ในแวดวงขุนนาง…สวี่ชีอันรับรู้และดื่มเหล้าจนหมดแก้วตามไป
เมื่องานเลี้ยงจบลง เหล่ามือปราบของที่ว่าการยังไม่ได้จากไป แม่เล้าร้องเรียกหญิงสาวสะสวยกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องส่วนตัวและเสนอให้เหล่านายท่านขุนนางทั้งหลายเลือกดู
หน้าตาไม่เลว ในชาติก่อนของข้า หญิงสาวเอ๊าะๆ ในคลับจะจัดเรียงกันเป็นแถว…สวี่ชีอันส่ายหน้า หลังจากได้ลิ้มลองความหอมหวานของสาวงามเช่นฝูเซียงแล้ว เขาก็ไม่ค่อยเห็นผู้หญิงทั่วไปอยู่ในสายตานัก
หลังจากสวี่ชีอันจัดเตรียมคนให้กับนายอำเภอจูและสหายร่วมงานมือปราบทั้งหลายอย่างเหมาะสมก็ออกจากหอเสี่ยวเยว่แล้วเดินกลับบ้าน
เมื่อมาถึงประตูลานก็พบว่าแม่กุญแจถูกเปิดออก ในห้องมีแสงเทียนส่องลอดออกมา
อารองมาหาข้าหรือ
สวี่ชีอันผลักประตูและเข้าไปในห้อง
ในแสงเทียนยามพลบค่ำ สาวน้อยสวมชุดสีม่วงกระโปรงยาวนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มือข้างหนึ่งประคองหน้าผาก ศีรษะงามผงกเล็กน้อย
สวี่ชีอันกวาดตามองตู้ข้างเตียงทันที เมื่อไม่เห็นร่องรอยถูกเปิด ในใจก็โล่งอกเล็กน้อย
อืม บางทีข้าอาจต้องลองใช้ภาษาอังกฤษเขียนบันทึกประจำวันแล้ว
เขาเดินเข้าไปและผลักสวี่หลิงเยวี่ยให้ตื่นเบาๆ
“พี่ใหญ่ไปไหน…” สวี่หลิงเยวี่ยลืมตา นัยน์ตางดงามสับสนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีความดีใจปรากฏขึ้นมา
ใบหน้ารูปเมล็ดแตงคมคายของนางสะท้อนอยู่กลางแสงเทียน เหมือนหยกอุ่นอ่อนโยนไร้ตำหนิชิ้นหนึ่ง นัยน์ตามีแสงส่องวาบ
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” สวี่ชีอันกล่าว
นางเอ่ยเสียงบางเบา “เหตุใดพี่ใหญ่ไม่กลับไปกินข้าวที่บ้านล่ะเจ้าคะ ท่านพ่อบอกว่าพี่ใหญ่จะต้องไปเที่ยวหอนางโลมแน่”
อารองนี่มันจริงๆ เลย…เข้าใจข้าดียิ่งนัก!
สวี่ชีอันกล่าว “มิได้ๆ เพียงแค่เข้าสังคมตามปกติเท่านั้น ข้าไปทำงานที่ที่ว่าการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ดังนั้นจึงเลี้ยงข้าวสหายร่วมงานเท่านั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง