ฝูเซียงผู้คลุมตัวด้วยผ้าบางเบา ผิวขาวผ่องเรือนร่างโดดเด่น นั่งคุกเข่าปรนนิบัติอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ มือน้อยๆ อันอ่อนนุ่มถูไถอยู่บนร่างกายของเขา
“ไม่เจอกันหลายวัน คุณชายรูปงามยิ่งกว่าเดิมนัก” นางคณิกาเอ่ยชมเรือนร่างแข็งแรงกำยำของสวี่ชีอัน ดวงตาระยิบระยับเคลื่อนไปมารวดเร็ว
องคาพยพทั้งห้าของสวี่ชีอันก่อนหน้านี้หล่อเหลานับว่าไม่เลว แต่เมื่อพบกันใหม่ในวันนี้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าภายนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่กลับทำให้เกิดอารมณ์แบบที่ยากจะบรรยาย
“ขอเพียงเจ้าพึงใจ การเปลี่ยนแปลงของข้าก็คุ้มค่าแล้ว” สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้น
ใบหน้างดงามชดช้อยของฝูเซียงแดงเถือก มีความสุขแบบเขินอายเล็กน้อย
นางเอ่ยด้วยสีหน้าน้อยอกน้อยใจ “ชอบหลอกลวงข้าด้วยถ้อยคำน่าฟังอยู่เรื่อย เห็นได้ชัดว่าคุณชายดูแคลนข้า”
มีชายหนุ่มที่ไหนจะกอดนางทั้งคืนโดยไม่ทำอะไรสักอย่างบ้างเล่า
วันต่อมาเมื่อนางคณิกาตื่นขึ้น นางก็รู้สึกสงสัยในเสน่ห์ของตัวเองอย่างหนัก
“วันนั้นข้าเหนื่อยนิดหน่อย…” สวี่ชีอันกล่าวอย่างสบายอารมณ์ คำกล่าวนี้ฟังดูแล้วคล้ายข้ออ้างของชายแก่วัยสี่สิบห้าสิบยิ่งนัก
เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที เอ่ยถามว่า “หนาวหรือไม่”
นางคณิกาพยักหน้าทันที กล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “หนาวเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันดึงนางเข้ามาในอ่างอาบน้ำ
‘ตู้ม…’
นางกรีดร้องอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฝูเซียงนอนคว่ำอยู่ในอ้อมอกของสวี่ชีอันแล้วกล่าวอย่างออดอ้อน “เกลียดนัก”
นางนั่งอยู่บนท้องของสวี่ชีอัน สองมือคล้องคอเขา แล้วเอ่ยขอคำแนะนำเรื่องบทกลอนของเขาเป็นการหาเรื่องมาพูดแก้เขิน
ถึงแม้สวี่ชีอันจะเป็นของหนีภาษี แต่ในหัวของเขาก็จดจำบทกลอนได้มากมาย โพล่งออกมาสักสองสามประโยคเป็นครั้งคราวก็ทำให้นางคณิกาใบหน้าแดงด้วยความตื่นเต้นแล้ว
“จริงสิ เรื่องปลดรองเจ้ากรมโจวจากราชการแล้วเนรเทศนั้น คุณชายหยางได้ยินแล้วหรือยังเจ้าคะ”
ประโยคที่ดูเหมือนสุ่มพูดออกมาทำให้จิตใจที่ผ่อนคลายของสวี่ชีอันตื่นตัว
“ได้ยินแล้ว เหมือนว่าจะถูกเวยอู่โหวกล่าวหา” สวี่ชีอันกล่าว
นางคณิกาเงยดวงหน้างามชดช้อยมีเสน่ห์หยาดเยิ้มขึ้นมาจ้องมองเขา ก่อนหัวเราะเสียงเบา “ดูเหมือนจะเป็นเพราะคุณชายโจวผู้นั้นไม่ล้มเลิกความคิดชั่วร้าย จับตัวบุตรสาวอนุภรรยาของเวยอู่โหวไป”
“ดังนั้นจึงได้กล่าวว่าความงามเป็นดั่งมีดเฉือนกระดูกอย่างไรเล่า” สวี่ชีอันเอ่ยตกใจครึ่งทอดถอนใจครึ่ง
ในฐานะที่เป็นมือฉมังในการสอบสวน ย่อมไม่มีใครขุดเอาข่าวคราวไปจากเขาได้ง่ายๆ ได้ ถึงอย่างนั้น ฝูเซียงก็อาจจะเกิดความสงสัยในใจ
จะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ได้อย่างไร วันนั้นเพิ่งจะพูดเรื่องในอดีตไป โจวลี่ก็ลงมือกับบุตรสาวอนุภรรยาของเวยอู่โหวจริงๆ…อืม อาจจะไม่ได้สงสัย แต่ย่อมมีความอยากรู้แน่
ข้าต้องทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่ผู้หญิงคนนี้มีต่อข้าเพิ่มขึ้น ทำให้นางเอนใจมาที่ข้า เลี่ยงไม่ให้พูดเรื่องของข้ากับขุนนางสักคนในวันใดวันหนึ่ง…
“เมื่อครู่ข้าเห็นแม่นางร่ายรำก็รู้สึกประทับใจทันที จึงบังเอิญคิดได้ขึ้นมาสองสามประโยค…” สวี่ชีอันโอบไหล่หอมกรุ่นของคนงามแล้วท่องกลอน “สุขใจปีนี้ซ้อนปีหน้า จันทราสราทลมวสันต์รอพักผ่อน”
สุขใจปีนี้ซ้อนปีหน้า จันทราสราทลมวสันต์รอพักผ่อน[1]…นางคณิกาน้ำตาคลอเบ้า ร่ำไห้พลางเอ่ยเสียงเบา “คุณชายกำลังแทงใจข้าน้อยหรือเจ้าคะ คุณชายช่างใจร้ายนัก”
ค่ำคืนนั้น เตียงนอนของนางคณิกาสั่นไหวอยู่ครึ่งคืน
…
ยามเหม่าวันต่อมา สวี่ชีอันแต่งตัวสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยภายใต้การปรนนิบัติของคนงามผู้มีสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย รับอาหารเช้าแล้วบอกลาฝูเซียงที่มองด้วยสายตารักใคร่เสน่หา
ตอนที่สาวใช้ใหญ่ซึ่งรออยู่ของฝูเซียงเห็นเขาในเช้าวันนี้ ท่าทางนอบน้อมนั่นก็ทำให้สวี่ชีอันสุขใจ
เมื่อออกมาจากลานในหออิ่งเหมย เขาก็เจอกับสหายร่วมงานท่าทางกระปรี้กระเปร่าสองคนที่ประตู
นางไม่ได้เก็บเงินข้าจริงๆ ด้วย…อา จนใจกับบุญคุณคนงามนัก…สวี่ชีอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉง “อรุณสวัสดิ์ท่านทั้งสอง”
ทั้งสามออกจากตรอกของสำนักสังคีตเคียงกัน เมื่อจากมาซ่งถิงเฟิงก็หรี่ตาลง อดเอ่ยถามไม่ได้ “แม่นางฝูเซียง…เป็นอย่างไรรึ”
จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมก็หันมามอง
สวี่ชีอันเดินไปด้านหน้าพร้อมกับท่าทางเย่อหยิ่งอันธพาล มุมปากยกขึ้นกล่าว “ต่อไปให้เรียกข้าว่าประสกผู้สุกงอม”
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง