เมื่อจ่ายเงินค่าประชุมชาเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปหอ ภายในห้องที่จุดไฟเผาถ่านให้ความอบอุ่นมีแขกนั่งอยู่เจ็ดแปดคน ต่างดื่มชาพูดคุยกัน บรรยากาศรื่นเริงตลบอบอวล
นางรำหกคนสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งบางเบาสีสันสดใสกำลังร่ายรำอ่อนช้อย บิดพลิ้วเอวเพรียวบางและสะโพกอวบอัด
สวี่ชีอัดกวาดมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นนางคณิกาที่ยามอยู่ข้างนอกเป็นกุลสตรีสูงศักดิ์ แต่ยามอยู่บนเตียงช่างยั่วยวนผู้นั้นเลย
การประชุมชาไม่ใช่แค่การร่ำสุราเท่านั้น แต่มีการฟังดนตรีและดูการร่ายรำจำพวกนี้ด้วย ส่วนนางคณิกาก็ไม่ได้ออกมารับแขกด้วยตัวเองเสมอไป
และแขกก็จำเป็นต้องมี ‘เวลาส่วนตัว’ เช่นเดียวกัน การร่ำสุรานั้นน่าสนใจจริงๆ แต่ไม่เหมาะให้พูดคุยเรื่องส่วนตัว
มีแขกบางพวกที่มาเป็นกลุ่มเพื่อร่ำสุราชมบุปผาที่นี่และเพื่อผูกสัมพันธ์กัน ช่วงเวลาเช่นนี้จึงต้องการอิสระเล็กน้อยเพื่อให้พวกเขาฉายแสงแสดงความสามารถกันเอง
ทั้งสามเข้ามานั่ง ซ่งถิงเฟิงยักไหล่ หรี่ตายิ้ม “ดูท่าว่าคืนนี้แม่นางฝูเซียงคงไม่ออกมารับแขก”
สวี่ชีอันเอ่ยถาม “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น”
ซ่งถิงเฟิงอธิบาย “เวลาประชุมชามีจำกัด ปกติแล้วแขกกลุ่มหนึ่งสามารถอยู่ที่นี่ได้นานที่สุดก็หนึ่งชั่วยาม ไม่เช่นนั้นก็ต่อเวลาหรือจากไป และอยากร่ำสุราให้สนุกก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยาม”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือกลุ่มของพวกเราไม่ร่ำสุรา ฝูเซียงย่อมไม่ปรากฏตัวสินะ…เหตุใดเจ้าถึงรู้กฎของสำนักสังคีตดีขนาดนี้ มาใช้บริการไม่ขาดเลยล่ะสิ…สวี่ชีอันพยักหน้า เป็นท่าทางว่าได้เรียนความรู้ใหม่แล้ว
เมื่อระบำหนึ่งชุดจบลง นางรำก็จะหยุดพักชั่วคราว
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมขงจื๊อสีฟ้าอ่อนคนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วชูจอกสุรา มองไปรอบๆ “คุณชายหยาง หยางหลิงอยู่หรือไม่”
เขาถามติดต่อกันสามรอบแต่ก็ไม่มีคนตอบ จึงนั่งลงด้วยความผิดหวัง
โต๊ะข้างๆ ชายวัยกลางคนแต่งตัวราวเศรษฐีร่ำรวยเอ่ยถามอย่างสงสัย “พี่ชาย หยางหลิงผู้นี้คือใครหรือ”
“เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์” ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมขงจื๊อสีฟ้าอ่อนเชิดคางขึ้นช้าๆ “เคยได้ยินหรือไม่”
“คลับคล้ายคลับคลา” ชายวัยกลางคนแต่งตัวอย่างเศรษฐีนึกอยู่ครู่หนึ่ง
“แน่นอนว่าทันทีที่บทกวีนี้ออกมา ปัญญาชนในปัจจุบันจึงเรียกมันว่าบทเพลงชมดอกบ๊วย แม้แต่พวกเจ้าทั้งหลายก็ควรเคยได้ยิน” ชายหนุ่มสวมชุดเสื้อคลุมขงจื๊อเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “มีเพียงปัญญาชนอย่างพวกเราเท่านั้นที่จะประดิษฐ์ประโยคอันสละสลวยเช่นนี้ออกมาได้”
ชายวัยกลางคนในชุดเศรษฐีกล่าวอย่างสงสัย “เช่นนั้นเหตุใดคุณชายถึงมาตามหาคนที่นี่เล่า”
ขณะที่ทั้งสองคนสนทนากัน นักดื่มที่อยู่ด้านข้างก็พากันหยุดพูดคุยแล้วเอียงหูตั้งใจฟัง
“เพราะสุดยอดบทเพลงชมดอกบ๊วยบทนี้มาจากหออิ่งเหมยน่ะสิ กลอนบทนี้เป็นของขวัญที่คุณชายหยางหลิงได้มอบให้กับแม่นางฝูเซียง อุปมาดอกบ๊วยประดุจคน ส่งเสริมขับดุนกัน ช่างเป็นความคิดที่งดงามจริงๆ”
“ไม่แปลกที่แขกผู้มีพระคุณท่านนี้ของหออิ่งเหมยจะเป็นดั่งเมฆา ไม่แปลกที่แม่นางฝูเซียงจะไม่ปรากฏโฉมออกมา”
“นั่นน่ะสิ ได้ยินว่าแม่นางฝูเซียงไม่รับแขกง่ายๆ อีกแล้ว”
“เงาบางเบาเคลื่อนเฉียงอยู่ในน้ำใสตื้น กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์…เป็นกลอนที่ไพเราะจนอยากพบแม่นางฝูเซียงจริงๆ แล้วยังมีอัจฉริยะผู้นี้อีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมขงจื๊อสีฟ้าอ่อนก็กุมมือถอนหายใจ “คุณชายหยางผู้นั้นเคยปรากฏตัวที่สำนักสังคีตแค่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ราชวิทยาลัยหลวงส่งคนไปตามหาเขาที่อำเภอฉางเล่อแล้ว สุดท้ายก็หาคนผู้นี้ไม่พบ”
“ถึงกับมีเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้ด้วย!” ทุกคนตกตะลึง
ชายหนุ่มชุดเสื้อคลุมขงจื๊อสีฟ้าอ่อนเอ่ยอย่างจนปัญญา “ข้ามายังหออิ่งเหมยทุกวันเพื่อรอเขา ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น ปัญญาชนในเมืองหลวงล้วนแต่อยากทำความรู้จักกับคนผู้นี้”
ซ่งถิงเฟิงพูดเสียงเบา “ดีจริงๆ แม่นางฝูเซียงไม่ใช่หญิงสาวที่พวกเราจะปรารถนาได้แล้ว”
จูกว่างเสี้ยวก็ถอนหายใจออกมาด้วย
นี่ถือว่าข้าไปขึ้นค่าตัวให้แบบไม่รู้ตัวหรือเปล่า…สวี่ชีอันก้มหน้าดื่มชาอย่างรู้สึกผิด
ซ่งถิงเฟิงมองดูสหายร่วมงานคนใหม่แล้วเอ่ย “น่าเสียดายที่เจ้าไขคดีได้อย่างร้ายกาจ แต่เขียนกลอนไม่ได้ หากเจ้าสามารถเป็นเหมือนกับหยางหลิงที่เขียนโคลงตัดได้สักบทล่ะก็ ให้ถอนตัวแม่นางฝูเซียงก็ล้วนยินยอม”
“ถอนตัว!” สวี่ชีอันพบจุดเด่นที่คนไม่สังเกตเห็นแล้ว
“เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของนางคณิกากับปัญญาชนยากจนที่สร้างจนแพร่หลายในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดเกิดขึ้นมาเองเฉยๆ หรือไร ปัญญาชนยากจนมักจะประดิษฐ์กลอนสละสลวยมอบเป็นของขวัญให้กับนางคณิกาเป็นครั้งคราว แล้วค่าตัวของนางก็จะทะยานสูงขึ้น นี่เป็นเรื่องดีที่เอื้อประโยชน์ให้กันและกัน ส่วนปัญญาชนอายุน้อยมีชื่อเสียงเหล่านั้นก็ยิ่งเป็นภาพลักษณ์ของนางคณิกาที่มีแต่คนแย่งชิงเอาใจ อย่าว่าแต่ไม่เอาเงินเลย ต่อให้ต้องถอนตัวก็ยังเต็มใจ ครานั้นฆราวาสจื่อหยางของสำนักศึกษาอวิ๋นลู่มีความสามารถด้านกลอนโดยเฉพาะ หลังจากสอบผ่านเป็นจอหงวนก็อยู่ในสำนักสังคีตติดต่อกันสามเดือนโดยไม่ได้หยิบเงินออกมาสักอีแปะ” ซ่งถิงเฟิงกล่าว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง