‘เขากลับคาดเดาได้ถึงตำแหน่งของสัตว์ประหลาดหลังจากมันลงน้ำได้… ทั้งยังยิงโดนหัวของมันอย่างแม่นยำ… การมองทะลุปรุโปร่งและพลังการคาดเดาอันเฉียบคมนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก…’ หลี่ว์ชิงทำงานเป็นมือปราบของทางการในฐานะสตรีและมีอำนาจเหนือเหล่าวีรบุรุษ นี่เป็นเรื่องที่นางภาคภูมิใจมาก
แต่ชั่วขณะนี้เอง ทักษะอันน่าอัศจรรย์ที่สวี่ชีอันแสดงออกมาก็ได้ทำให้นางยอมรับสุดหัวใจและยอมพ่ายแพ้อย่างเต็มใจ
อืม ไม่ใช่แค่มีพลังแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเก็บงำถ่อมตน ดียิ่งกว่าพวกผู้ชายที่ดูถูกผู้หญิงเหล่านั้นเสียอีก
เฮ้อ… ถ้าหากไม่ใช่เพราะสัตว์ประหลาดได้รับบาดเจ็บและถูกพิษ และยังมีผืนน้ำกั้นอีก ข้าก็อาจยิงไม่โดนมัน… สวี่ชีอันเก็บหน้าไม้ไป รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่หน้าไม้นี้ยิงได้แค่สามครั้ง ความทนทานก็ต่ำเกินไป
หลังยิงออกไปสามครั้งแล้ว มันก็จะกลายเป็นหน้าไม้ธรรมดา
เดิมทีมันควรจะนำมาใช้เพื่อรักษาชีวิต พอเอามาใช้กับสัตว์ประหลาดก็น่าเสียดายจริงๆ
หลี่ว์ชิงมองตามสายตาของเขาและสังเกตเห็นหน้าไม้ธรรมดาที่ภายนอกดูเรียบๆ แต่เมื่อมองดูดีๆ ก็ตกตะลึงทันที
บนหน้าไม้สลักลวดลายที่ลึกลับซับซ้อน เมื่อนึกโยงไปถึงพลังปราณที่สาดซัดตอนยิงลูกศรออกมา ก็เดาได้ไม่ยากว่านี่คืออาวุธเวทมนตร์ชิ้นหนึ่ง
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีเพียงฆ้องเท่านั้นที่เป็นอาวุธเวทมนตร์… ‘เช่นนั้นนี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขาหรือ ที่เขาบอกว่าสามารถเชิญโหรของสำนักโหราจารย์มาได้ ที่แท้ก็ไม่ได้อวดอ้างสินะ…’ ภาพจำที่หลี่ว์ชิงมีต่อชายคนนี้เปลี่ยนไปอีกครั้ง ความรู้สึกดีๆ เพิ่มขึ้น
สวี่ชีอันหันข้าง ไม่ยอมให้นางมองดูสมบัติของตนอีก ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ
“ถ้าไม่ไปจับมันขึ้นมา เดี๋ยวมันก็ถูกน้ำพัดไปได้ นี่ผลงานชิ้นใหญ่เลยนะ”
หลี่ว์ชิงเม้มปากหัวเราะด้วยท่าทีสงวนตัวแล้วพยักหน้า
ทั้งคู่ลงน้ำไปด้วยกันแล้วลากร่างของสัตว์ประหลาดขึ้นมาบนบก
ตอนนี้เอง ซ่งถิงเฟิงก็ประคองจูกว่างเสี้ยวเดินโซเซออกมาจากป่า
“พวกเจ้าฆ่ามันได้แล้วหรือ” ซ่งถิงเฟิงไม่อาจปกปิดรอยยิ้มโล่งใจได้
จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมถอนหายใจยาวๆ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” สวี่ชีอันเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของจูกว่างเสี้ยว
เจ้าปีศาจในร่างคนส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร แค่ซี่โครงหักไปสองซี่”
คนทั้งสี่พักกันอยู่ริมแม่น้ำครู่หนึ่ง มือปราบระดับหลอมจิตสองคนก็พาผู้ใหญ่บ้านลงมาจากเขา
เมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นศพของสัตว์ประหลาด เขาทั้งโมโหทั้งหวาดกลัว จึงก้าวไปข้างหน้าอย่างระแวดระวังแล้วเตะมันทีหนึ่ง ก่อนเผ่นหนีด้วยความว่องไวอย่างที่คนแก่ไม่ควรจะมี
รออยู่ไม่เท่าไหร่ เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ จึงวางใจพุ่งเข้าไปชกหมัดต่อยเตะ ระบายอารมณ์อย่างคนไร้ความสามารถ
หลังจากระบายอารมณ์แล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็คุกเข่าแล้วโขกศีรษะให้กับพวกสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันโบกมือ “ข้าขอถามเจ้า เหมืองทางใต้นั่นขุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิด “นั่นเป็นเหมืองที่เหลือมาจากสมัยก่อนขอรับ ปูนขาวทางทิศใต้มีไม่มาก เส้นทางก็ไปได้ไม่ง่าย จึงปล่อยทิ้งไว้หลายปีแล้ว ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าขุดจนเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ”
สวี่ชีอันเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ทางนั้นมีคนไปบ่อยๆ หรือไม่”
ผู้ใหญ่บ้านบอก “มิได้ขอรับ หาได้มีร่องรอยมนุษย์ไม่”
เจ้าบอกข้าตรงๆ ว่ามีคนไปเป็นบางครั้งบางคราวก็พอแล้ว จะมาเล่นสำนวนโวหารอะไรกับข้า… สวี่ชีอันส่อเสียดอยู่ในใจพลางกล่าว “เจ้ากลับไปก่อน รอทางการเรียกตัว”
ชายแก่เพิ่งจะถูกจูกว่างเสี้ยวเตะไปทีหนึ่งจึงได้รับบาดเจ็บ สวี่ชีอันเห็นเขาจับบริเวณเอวอยู่ตลอด
หลี่ว์ชิงไม่มีความเห็นค้านกับวิธีการจัดการของสวี่ชีอัน นางให้สหายร่วมงานคนหนึ่งส่งผู้ใหญ่บ้านกลับไปทันที
คนที่เหลือพักอยู่ที่เดิมอีกครู่หนึ่งเพื่อฟื้นกำลังกาย เติมน้ำและอาหาร
หนึ่งเค่อต่อมา ม้าสามตัวก็ลากศพของสัตว์ประหลาดแล้วค่อยๆ เดินไปตามทางหลวง
ระหว่างทาง หลี่ว์ชิงได้บรรยายเรื่องกระบวนท่าดั่งเทพของสวี่ชีอันเป็นคุ้งเป็นแคว ในน้ำเสียงแฝงความชื่นชมไว้เต็มเปี่ยม
ซ่งถิงเฟิงบังคับม้าเข้าไปใกล้กับสวี่ชีอันแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนยุง “นางคล้ายจะรู้สึกดีกับเจ้ามากนะ”
สวี่ชีอันตอบเสียงกระซิบ “เจ้าอยากพูดอะไร”
ซ่งถิงเฟิงกล่าว “มือปราบหลี่ว์มีชื่อเสียงมากในแวดวงราชการของเมืองหลวง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงาน บุรุษทุกคนล้วนปรารถนาจะเป็นที่หนึ่งบนเส้นทางสักสายมิใช่หรือ”
ยุคสมัยนี้ นางเป็นหญิงขึ้นคานอายุมากแล้ว… สวี่ชีอันหัวเราะ “เช่นนั้นเจ้าก็พยายามหน่อยล่ะ”
ซ่งถิงเฟิงหรี่ตา ถอนหายใจส่ายศีรษะ “คนอย่างข้าเหมาะกับสำนักสังคีตเท่านั้นล่ะ”
สวี่ชีอันหัวเราะกล่าว “แม้ว่าเส้นทางต้นไม้เรียงรายที่เจ้ามุ่งไปจะมีน้ำค้างแข็งปกคลุมในทุกอรุณและสายัณห์น่ะหรือ”
จูกว่างเสี้ยวขมวดคิ้ว ฟังไม่รู้เรื่องว่าสหายร่วมงานทั้งสองกำลังเล่นอะไรกันอยู่
“จริงสิ กระบวนท่าเมื่อครู่นั้นของเจ้าคืออะไรหรือ” สวี่ชีอันถาม
“เคล็ดกระบี่วายุคำราม” ซ่งถิงเฟิงบอก
เคล็ดกระบี่…
เคล็ดวิชาดาบที่เหมือนจะตัดได้ทุกอย่างของมือปราบหลี่ว์ตอนต่อสู้เมื่อครู่ก็เป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่งด้วย… เดี๋ยวนะ เคล็ดกระบี่หรือ!
สายตาของสวี่ชีอันจับจ้องดาบพกของซ่งถิงเฟิง
ซ่งถิงเฟิงยักไหล่ “ผู้ใดบอกเล่าว่าดาบไม่อาจใช้เคล็ดกระบี่ได้”
นั่นน่ะสิ ใครบอกล่ะว่าไม่มีดาบติดปลายปืนแล้วจะยิงคนไม่ตาย สวี่ชีอันเอ่ยส่อเสียดอยู่ในใจ
ขณะที่พูดคุยหัวเราะกันอยู่ พวกเขาก็มองเห็นกลุ่มชาวบ้านเดินมาจากไหนสักแห่งแล้วมารวมตัวกันที่ทางหลวงฝั่งนี้
ผู้นำก็คือผู้ใหญ่บ้านนั่นเอง แล้วยังมีมือปราบระดับหลอมจิตที่ไปส่งเขาคนนั้นด้วย
มือปราบส่ายหน้าอย่างจนใจ “พวกเขาจะมาขอบคุณเราให้ได้”
ในมือของผู้ใหญ่บ้านถือตะกร้าไข่ไก่แล้วชูขึ้นสูงตรงหน้าสวี่ชีอัน “นี่คือไข่ไก่ทั้งหมดจากหมู่บ้านของเรา ใต้เท้า ท่านรับไว้เถอะขอรับ ครึ่งปีมานี้ พวกเราเกือบจะใช้ชีวิตกันไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าใต้เท้าทั้งหลายไม่ได้กำจัดปีศาจร้ายนั่นแทนพวกเรา แล้วบอกว่าไม่มีเหตุให้ผิดกฎหมายล่ะก็ เมื่อส่งมอบเงินภาษีไม่ได้ พวกเราก็มีแต่ต้องหลบหนีไปเป็นผู้ลี้ภัยเท่านั้นแล้วขอรับ”
สวี่ชีอันจับจ้องดูท่าทางไม่สบายใจของผู้ใหญ่บ้าน เขากวาดตามองใบหน้าเหลืองซูบซีดของคนเผาถ่านทั้งหลาย
“ได้!” เขายิ้มพลางรับตะกร้าไข่ไก่มาแขวนไว้บนอานม้า
ชาวบ้านรอบๆ แย้มยิ้ม ตอนนี้เองพวกเขาจึงกล้าพูดเสียงดัง ชี้ไปที่ศพของสัตว์ประหลาดพลางก่นด่าอย่างไม่รู้จบ
ถ้าหากข้ายังยืนกรานไม่ยอมรับของแล้วบอกพวกเขาไปดังๆ ว่า ‘ข้าไม่เอาของชาวบ้านเล็กๆ น้อยๆ หรอก!’
คาดว่าคงจะทำให้พวกเขาตกใจแน่
สวี่ชีอันถอนหายใจเงียบๆ
…
เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง ศพของสัตว์ประหลาดก็มีเหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนที่รออยู่นอกเมืองมารับไป ลากขึ้นรถเข็น ใช้ผ้าขาวปกคลุมไว้ หลังจัดการร่องรอยเรียบร้อยแล้วก็นำเข้าเมือง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง