สวี่ชีอันค่อยๆ กวาดตามองใบหน้าของเหล่าสหายร่วมงานแล้วเอ่ยเสียงขรึม “นี่คือดินประสิว”
ชื่อดินประสิวนี้ไม่คุ้นหูทหารสองสามคนในที่นี้ซึ่งมีการศึกษาน้อยและขาดความรู้ที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง
ซ่งถิงเฟิงและพวกสหายร่วมงานประสานสายตากัน ก่อนจะขมวดคิ้วถาม “ดินประสิวหรือ”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างครุ่นคิด “ข้าเปลี่ยนชื่อเรียก ถ้าเป็นหินจุดไฟพวกเจ้าน่าจะเข้าใจยิ่งขึ้น มันเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับทำดินปืน”
สีหน้าของทุกคนในที่นั้นล้วนเปลี่ยนไปอย่างไม่อาจควบคุมได้
ดินปืนเป็นศาสตร์ลับของต้าฟ่ง เป็นหนึ่งในกลวิธีสยบนานาประเทศทั่วหล้า เพียงแต่สูตรและวัตถุดิบที่เกี่ยวข้องกับดินปืนนั้น ต้าฟ่งล้วนจัดการควบคุมอย่างเข้มงวดมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือดินประสิว
แม้จะเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังรู้ส่วนประกอบของดินปืนแบบงูๆ ปลาๆ
‘แต่กลับพบเหมืองดินประสิวบนภูเขาต้าหวง…ทั้งยังมีร่องรอยการขุดเจาะ…’ ใบหน้าของซ่งถิงเฟิงไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย เขาเคร่งเครียดอย่างผิดปกติ “กลับเมืองหลวงไปรายงานเรื่องนี้ต่อเบื้องบนเดี๋ยวนี้”
เมื่อเทียบกับเรื่องปีศาจก่อปัญหาแล้ว การค้นพบเหมืองดินประสิวจึงจะเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่า
หลี่ว์ชิงจ้องผู้ใหญ่บ้านผมหงอกขาวเขม็งแล้วออกคำสั่ง “มัดเขาไว้แล้วเอาตัวไป”
บนภูเขาต้าหวงกลับมีเหมืองดินประสิวอยู่ เป็นถึงผู้ใหญ่บ้านกลับบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำตัวกลับไปสอบปากคำ
มือปราบสองคนปลดเชือกรอบเอวออกแล้วมัดสองมือของผู้ใหญ่บ้านไว้ข้างหลัง ก่อนดันเขาออกไปข้างนอก
ผู้ใหญ่บ้านน่าจะไม่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นคงไม่พาพวกเรามาที่นี่ นี่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย… อีกอย่าง จากการวิเคราะห์ทางภาษากายและรายละเอียดอื่นๆ แล้ว เขาก็ไม่เหมือนคนที่รู้เรื่อง คนแก่ไม่รู้หนังสือคนหนึ่ง ไม่มีทางเป็นเจ้าพ่อการแสดงได้หรอก… แต่สาเหตุที่ปีศาจขับไล่คนเผาถ่านนั่นเป็นเพราะเหมืองดินประสิวหรือ
เอ่อ… ไม่น่าเป็นไปได้ ต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญมาดูว่าเหมืองดินประสิวแห่งนี้ขุดเจาะเมื่อไหร่จึงจะตัดสินได้
สวี่ชีอันสะสางความคิดทั้งหลายในหัว เขายกคบเพลิงขึ้น เพิ่งก้าวออกจากถ้ำก็มีเสียงร้องของหลี่ว์ชิงดังอยู่ข้างหู “ระวัง!”
ขณะนั้นเอง เขาก็ได้เสียงหวีดหวิวทะลวงอากาศ เงาดำพุ่งมาจากด้านข้าง เร็วจนเขาเกือบจะตอบสนองไม่ทัน
ปัง!
ฆ้องที่หน้าอกแตกออก สวี่ชีอันคิดว่าตัวเองถูกรถไฟความเร็วสูงชนเข้าจังๆ แรงกระแทกรุนแรงส่งให้เขากระเด็นออกไป สติจมลงสู่ความมืดในพริบตา
การโจมตีอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน แต่ละคนก็มีปฏิกิริยาแตกต่างกันไป
มือปราบสามคนของที่ว่าการเมืองชักดาบและปลดหน้าไม้ออกมาอย่างรวดเร็ว
จูกว่างเสี้ยวกวาดขาเตะผู้ใหญ่บ้านเข้าไปในเหมือง ซ่งถิงเฟิงชักดาบแล้วตะโกนตาม “กลับเข้าไป อย่าออกมา”
บนก้อนหินยักษ์ข้างเหมืองมีสัตว์ประหลาดลำตัวยาวสองจั้งหมอบอยู่ รูปร่างคล้ายซาลาแมนเดอร์[1]ผิวนอกปกคลุมด้วยเกล็ดหนาหนัก
บนหน้าผากมีเขาแหลมงอกอยู่ รูม่านตาเป็นขีดตั้งสีอำพันที่ส่องประกายแสงเย็นเยียบดุร้าย
ขาหน้ามีสี่นิ้ว
แก้มของมันปูดโปนราวกับซ่อนอาวุธลับที่สามารถยิงออกมาได้ทุกเมื่อเอาไว้
‘ฟู่!’
เงาดำที่แทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าพุ่งออกมาแล้วโจมตีไปยังซ่งถิงเฟิง
เขาหรี่ตาลง ร่างกายตอบสนองฉับไวกว่าสมอง เอนหลังหลบโดยสัญชาตญาณ เลี่ยงการโจมตีทะลวงหัวใจได้
หลี่ว์ชิงก้าวไปข้างหน้า เหยียบก้อนหินจนแตกอย่างต่อเนื่องแล้วสาดซัดเศษฝุ่นหิน สองมือกำดาบฟาดฟัน
‘หวึ่งๆ…’ คมดาบสั่นสะเทือนด้วยความถี่สูง
‘ชิ้งๆๆ…’
ภายใต้เสียงเสียดฟันดังเป็นชุดๆ คมดาบก็ตัดปลายลิ้นสัตว์ประหลาดจนเกิดประกายไฟบาดตา
ทุกคนจึงมองเห็นว่าลิ้นยาวของสัตว์ประหลาดตัวนั้นมีเกล็ดเล็กถี่ๆ ปกคลุมอยู่หนึ่งชั้น
สัตว์ประหลาดคล้ายรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจึงดึงลิ้นยาวของมันกลับ ขาทั้งสี่ค้ำยันร่างกายมหึมา มันยืนอยู่บนก้อนหินสูงแล้วเหลือบมองกลุ่มคนจากด้านบน
แก้มของมันบวมเป่ง อ้าปากกว้างใหญ่แล้วร้องคำรามลั่น
เสียงคำรามทำให้นกในภูเขาตกใจจนพากันกระพือปีกบินเตลิดขึ้นฟ้า
จิตใจของพวกซ่งถิงเฟิงตกอยู่ในภวังค์ตะลึงงันทันที เหมือนถูกคนใช้ไม้ทุบหลังศีรษะ
ระดับหลอมวิญญาณ… จิตใจของเขาสะเทือน สะกดกลั้นอาการเวียนหัว ใช้ด้ามดาบกระแทกหน้าอก
‘เคร้ง…’
เสียงฆ้องดังก้องเหมือนตีกลองยามเย็นตีระฆังยามเช้า คลื่นเสียงค่อยๆ สลายไปพร้อมกับจิตใจที่เริ่มกระจ่างชัด
หลังจากทั้งสองฝ่ายหลุดจากภวังค์แล้วก็ตอบสนองทันที
หลี่ว์ชิงก้าวถอยหลังพลางกำชับสหายร่วมงานระดับหลอมจิตขั้นสูงสุดสองคนไปด้วย “พวกเจ้าใช้หน้าไม้ช่วยเสริม ยิงไปที่ดวงตา กราม กับช่องปากของมัน”
พวกนี้ก็คือจุดที่ค่อนข้างอ่อนไหว
ซ่งถิงเฟิงถอดฆ้องแล้วโยนให้กับจูกว่างเสี้ยว “เจ้ารับหน้าที่สกัดกั้นด้านหน้า ระวังตัวด้วย”
เมื่อครู่เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าฆ้องของสวี่ชีอันถูกทำลาย จึงรู้ว่าฆ้องหนึ่งใบไม่อาจต้านทานลิ้นของปีศาจตัวนี้ได้
เมื่อนึกถึงสวี่ชีอัน ซ่งถิงเฟิงก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย ถึงแม้ฆ้องจะสามารถต้านทานการโจมตีเต็มกำลังของระดับหลอมวิญญาณได้ แต่เมื่อกี้นี้เจ้าสัตว์ประหลาดกลับลอบโจมตีได้สำเร็จ
เมื่อไม่ได้เตรียมตัวป้องกัน สวี่ชีอันก็มีโอกาสถูกพลังที่เหลือสั่นสะเทือนจนหัวใจแหลกสลายได้ ถ้าเขามีอายุการทำงานแค่วันเดียวก็น่าเวทนาเกินไปแล้ว
ซ่งถิงเฟิงเก็บความรู้สึกแล้วลากดาบพุ่งเข้าไปโจมตีสัตว์ประหลาดจากด้านข้าง
ดวงตาดุร้ายสีอำพันของซาลาแมนเดอร์เคลื่อนไหวราวกับจะหันมาแลบลิ้นใส่ จูกว่างเสี้ยวชิงตีฆ้องไปก่อนหนึ่งก้าว สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของปีศาจ
ขณะเดียวกัน ไอปราณก็หลั่งไหลเข้าสู่คมดาบแล้วฟาดฟันปราณดาบเข้มข้นออกไปท่ามกลางเสียงคำรามทุ้มต่ำ ปราณดาบรูปโค้งพาดพัดออกมา อากาศบิดเบี้ยวด้วยความร้อน
สัตว์ประหลาดร่างกายมหึมาไม่อาจหลบหลีกได้ มันก้มหัวต่ำ ใช้เขาหน้าผากแข็งๆ ต้านกับปราณดาบ จากนั้นมันก็สะบัดหางแล้วฟาดไปที่ซ่งถิงเฟิงอย่างแม่นยำราวกับมีตางอกอยู่ที่หลัง
ซ่งถิงเฟิงยกดาบมาบังเอาไว้ ร่างกายกระเด็นออกไป
ส่วนอีกด้าน หลี่ว์ชิงที่เข้ามาช่วยก็ฉวยโอกาสไสดาบแทงไปที่ท้องของปีศาจ แต่มันก็ยังหลบหลีกได้ราวกับรู้ล่วงหน้า
จอมพลังระดับหลอมวิญญาณของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ครอบครองพลังจิตกล้าแกร่ง สามารถสอดส่ายสายตาไปได้ทั้งสี่ทิศและมองเห็นรายละเอียดของทิวทัศน์โดยรอบอยู่ในหัว
ไม่ว่าจะเป็นการติดตาม ลอบโจมตี ตรึงตำแหน่ง หรือจิตสังหารต่างๆ ล้วนไม่อาจหนีพ้นการมองอย่างทะลุปรุโปร่งของจอมพลังระดับหลอมวิญญาณได้
นี่คือพลังที่มีเพียงระดับหลอมวิญญาณเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้
…
บ้าเอ๊ย เกือบด่วนตายไปก่อนแล้วไง ไม่ง่ายเลยกว่าจะทะลวงขั้นหลอมปราณได้ ยังไม่ได้เปิดพรหมจรรย์ก็เกือบตายขณะปฏิบัติหน้าที่เสียแล้ว… หลังจากสวี่ชีอันเป็นลมหมดสติช่วงสั้นๆ เขาก็ฟื้นขึ้นมา
เขาได้ยินเสียงต่อสู้ดุเดือดดังมาจากที่ไกลๆ ไม่ได้หยัดตัวลุกขึ้น แต่คลานไปข้างหน้า ก่อนจะปีนขึ้นที่สูงขณะที่ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจ
เขาหยิบกระจกหยกใบเล็กออกมาจากอกเสื้อ พลิกด้านหลัง แล้วหยิบหน้าไม้และพิษกร่อนกระดูกที่ซ่งชิงมอบให้ออกมา หลังจากป้ายบนลูกศรพิษอย่างใจเย็นแล้ว เขาก็ยกหน้าไม้ขึ้นไม่พูดไม่จา เล็งไปที่ปีศาจ รอโอกาสอยู่เงียบๆ
‘เคร้ง…’
จูกว่างเสี้ยวตีฆ้องสะเทือนจิตวิญญาณของปีศาจ ทำให้การรับรู้ของมันมืดบอด
สวี่ชีอันกำลังจะยิงลูกศร แต่จู่ๆ ปีศาจตนนั้นก็พลิกกายกะทันหัน นี่ทำให้พวกซ่งถิงเฟิงตกตะลึง ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของมันคืออะไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง