บทที่ 732 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (1)
‘เจ้าเด็กนี่! ข้าเป็นถึงขุนนางขั้นสามผู้องอาจ’…ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูสาปแช่งในใจ ก่อนสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยเสียงดังว่า
“ข้าหลิวต๋าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลู ขอต้อนรับคณะทูตอวิ๋นโจว”
เขาป่าวร้องต่อเนื่องหลายครั้ง หากไร้การขานรับจากเรืออวี้เฟิง
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูรออยู่ท่ามกลางลมหนาวอีกหนึ่งเค่อ ก่อนจากไปอย่างจนใจภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านที่สัญจรไปมา
นายท่านบนเรือนั้นรอได้ แต่เขากลับรอไม่ไหว การที่ไม่สามารถเชิญคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองหลวงได้เป็นความบกพร่องในหน้าที่ของเขา บรรดาขุนนางและฝ่าบาทจะต้องตำหนิเขาเป็นแน่
“ใต้เท้า เชิญขึ้นรถ”
ผู้ใต้บังคับบัญชาเลิกผ้าม่านรถม้าให้เขา
“จะขึ้นรถอะไรเล่า เตรียมม้าให้ข้า!”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูพาลตวาดใส่ จากเมืองหลวงไปถึงเมืองชั้นใน แล้วไปยังเขตพระราชฐานอีก นั่งรถม้ากว่าจะถึงมันยามใดเล่า
‘กุบกับ กุบกับ กุบกับ’…ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูควบม้าเร่งรุดไปยังกรมพิธีการ
ศาลหงหลูอยู่ในสังกัดของกรมพิธีการ ในเมื่อเจ้าเด็กจากอวิ๋นโจวคิดว่าตำแหน่งขุนนางของเขาไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาตำแหน่งที่สูงกว่าเท่านั้น
ภายในห้องโถง กรมพิธีการ
เจ้ากรมพิธีการขมวดคิ้วมุ่น
“เจ้าเด็กนี่!
“นี่เป็นการแผลงศักดาต่อราชสำนักอย่างหนึ่งนะ”
ทว่าด่าก็ส่วนด่า เจ้ากรมพิธีการเอ่ยเสียงเข้มว่า
“ให้…ช่างเถอะ ข้าจะไปกับเจ้าสักครั้ง”
เดิมทีเขาต้องการให้รองเจ้ากรมพิธีการออกหน้า แต่เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งขุนนางแล้ว รองเจ้ากรมตำแหน่งสูงกว่าหลิวต๋า ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูผู้นี้เพียงครึ่งขั้น ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะออกหน้าด้วยตัวเอง
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนเดินไปด้านนอกพร้อมกับเจ้ากรมพิธีการพลางเอ่ยว่า
“รบกวนใต้เท้าเจ้ากรมแล้ว”
เจ้ากรมพิธีการอายุมากแล้ว ขี่ม้าไม่ไหว ทั้งสองจึงเปลี่ยนเป็นรถม้าแล้ววิ่งควบไปตลอดทางจนถึงประตูเมือง
ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าจึงแล่นออกจากประตูเมือง เมื่อเจ้ากรมพิธีการเลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเรือไม้มหึมาลำนั้นอยู่ข้างทาง
รถม้าจอดข้างเรือไม้ เจ้ากรมพิธีการเอ่ยเสียงดังว่า
“ข้า เจ้ากรมพิธีการ มาต้อนรับคณะทูตอวิ๋นโจว”
ชั่วครู่ องครักษ์ผู้หนึ่งก็โผล่หน้าออกมาจากด้านข้างเรือด้วยท่าทางหยิ่งยโส
“คุณชายของข้ากล่าวว่า ฐานะของท่านยังไม่เพียงพอ”
เจ้ากรมพิธีการพลันสีหน้าเข้ม ก่อนข่มโทสะแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า
“กลับไปถามคุณชายของเจ้า ว่าต้องการอย่างไรกันแน่เขาจึงจะยอมเข้าเมือง”
องครักษ์ไม่ขยับ เขาส่งเสียงฮึ แล้วเชิดคางขึ้น
“คุณชายเก้ากล่าวว่า ต้องการให้ชินอ๋องมาต้อนรับพร้อมกับสมุหราชเลขาธิการ ดนตรีพิธีมิให้ขาด หากทำไม่ได้ก็ให้แจ้งล่วงหน้าสักหน่อย เขาอยากกลับจวนยิ่งนัก จะได้ไปบอกทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของอวิ๋นโจวว่า ต้าฟ่งไม่ยินดีเจรจา”
“นี่ไม่เหมาะสมตามธรรมเนียม ให้คุณชายเก้าของพวกเจ้าออกมาเจรจากัน” เจ้ากรมพิธีการกล่าวเสียงดัง
องครักษ์หดศีรษะกลับไปโดยมิได้ใส่ใจ
เส้นเลือดดำบนหน้าผากของเจ้ากรมพิธีการเต้นตุบ ก่อนสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์อีกครั้ง
เขาพลันมองไปยังผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูข้างกายแล้วเอ่ยว่า
“ส่งคนไปขอคำแนะนำจากฝ่าบาท”
ในห้องซึ่งตกแต่งอย่างเรียบง่ายบนเรืออวี้เฟิง จีหย่วนนั่งอยู่ที่โต๊ะ สองมือเรียวยาวกำลังปอกส้ม พัดกระดูกสีเงินด้ามเล็กวางอยู่ข้างมือ
“พี่เก้า นี่เป็นการแผลงศักดาต่อราชสำนักต้าฟ่งหรือ”
สวี่หยวนไหวยืนอยู่ข้างหน้าต่างจึงได้ยินการสนทนาเมื่อครู่อย่างชัดเจน
“ปราดเปรื่อง!” จีหย่วนเอ่ยชม จากนั้นจึงพลันส่ายหัว
“แต่ยังฉลาดไม่พอ”
สวี่หยวนไหวขมวดคิ้ว
จีหย่วนเอียงคอมองไปยังสวี่หยวนซวงซึ่งนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ แล้วยิ้มพลางว่า
“หยวนซวง เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่ได้เงยหน้าว่า
“ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการทดสอบขีดจำกัดนี่”
“ดูสิ ดูสิ…” จีหย่วนเอ่ยพลางยิ้มตาหยี
“ยังคงเป็นน้องหญิงหยวนซวงที่ปราดเปรื่อง หยวนไหวเอ๋ย นับตั้งแต่พวกเรามาถึงนอกเมืองหลวง การเจรจาก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องนั่งโต๊ะเจรจาหรอก เข้าใจหรือไม่”
เมื่อเห็นว่าสวี่หยวนไหวราวกับไม่ยอมรับ จีหย่วนจึงกินส้มพลางเอ่ยว่า
“เจ้าต้องรู้ว่าขีดจำกัดของจักรพรรดิน้อยอยู่ตรงไหน พรุ่งนี้เมื่อเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทองแล้วจึงจะประเมินเขาได้”
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วพลางว่า
“จักรพรรดิหย่งซิ่งอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้”
‘พรึ่บ’ จีหย่วนหยิบพัดกระดูกสีเงินมาคลี่ออก แล้ววางราบแนบอกพลางยิ้มและเอ่ยว่า
“นี่ก็เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง เพื่อทดสอบมาตรฐานของจักรพรรดิน้อย”
อายุของเขามิได้มากกว่าจักรพรรดิหย่งซิ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับเจือความดูหมิ่น
รอจนเกือบครึ่งชั่วยาม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนด้านนอกว่า
“เหยียนชินอ๋องและสมุหราชเลขาธิการเฉียนมาต้อนรับคณะทูตอวิ๋นโจว”
‘พรึ่บ’ จีหย่วนคลี่พัดกระดูกสีเงินด้ามน้อยออก ก่อนวางราบกับอกและส่ายหัวพร้อมอดหัวเราะไม่ได้
“มีจักรพรรดิเช่นนี้ ต้าฟ่งจะยังมีสิ่งใดน่ากังวลอีกเล่า”
…
‘ขบวนต้อนรับ’ อย่างหรูหราเข้าเมืองมา ชาวบ้านโดยรอบต่างชี้นิ้ววิจารณ์ตลอดเส้นทาง
“นั่นมันธงของอวิ๋นโจวนี่ เช่นนี้ก็แปลว่ารักษาชิงโจวไว้ไม่ได้จริงๆ สินะ ที่พูดกันเมื่อสองสามวันก่อนว่าราชสำนักต้องการเจรจาสงบศึกเป็นเรื่องจริงหรือ”
ผู้รู้หนังสือในหมู่ชาวบ้านจะแยกธงสัญลักษณ์ของอวิ๋นโจวในขบวนคณะทูตออก พื้นหลังสีเหลือง ปักเมฆสีขาว อักษร ‘อวิ๋น’ ขนาดใหญ่ปักด้วยด้ายสีแดง
ข่าวลือใส่สีตีไข่ต่างๆ ในเมืองหลวงถูกควบคุมอย่างดีที่สุด ในวันธรรมดาชาวบ้านจึงกล้าพูดคุยกันเฉพาะในที่รโหฐาน ไม่กล้าถกกันเรื่องการล่มสลายของชิงโจว การเสียชีวิตของท่านโหราจารย์ในสงคราม หรือเรื่องที่ราชสำนักตัดสินใจเจรจาสงบศึกในที่สาธารณะเช่นโรงน้ำชาหรือหอนางโลม
เมื่อเห็นขบวนคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองมาในเวลานี้ อารมณ์ที่กดข่มอยู่ในใจก็พลันสะท้อนกลับ จึงยืนพูดคุยกันเสียงดังอยู่ข้างถนน
“แค่กลุ่มกบฏเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง จะต้องแจ้นมาถึงเมืองหลวงเพื่ออวดศักดาเชียวหรือ”
“กระทั่งฆ้องเงินสวี่ก็ปกป้องชิงโจวไว้ไม่ได้รึ”
ในรถม้า เมื่อจีหย่วนได้ยินคำพูดนี้จึงเลิกผ้าม่านเปิด
“ลือกันในหมู่ราษฎรไปทั่วว่าสวี่ชีอันต้านทัพกบฏแปดพันเพียงลำพังที่อวิ๋นโจว และกวาดสังหารกองทัพใหญ่สองแสนนายของสำนักพ่อมดจนแตกพ่ายที่ด่านอวี้หยาง เมื่อมีความหวังมากก็ย่อมผิดหวังมาก”
จีหย่วนจุปากแล้วเอ่ยต่อ “ตอนแรกที่พวกเราพี่น้องได้ยินเรื่องราวในที่ราบลุ่มภาคกลางของสวี่ชีอันอย่างต่อเนื่อง ในใจก็รู้สึกไม่ยอมรับ คิดว่าเขาเพียงช่วงชิงชะตาที่เดิมเป็นของสายเลือดพวกเราเท่านั้น
“แต่บัดนี้เหตุการณ์พลิกผันจริงๆ แล้ว พวกเจ้าว่า หลังเรื่องการเจรจาสงบศึกแพร่ออกไป ชาวบ้านจะพูดถึงราชสำนักอย่างไร แล้วจะพูดถึงฆ้องเงินสวี่ผู้เป็นที่รักของพวกเขาว่าอย่างไรเล่า”
สวี่หยวนซวงนิ่งขรึมไปครู่หนึ่ง จึงจ้องมาที่เขา
“มิน่าท่านถึงต้องทำให้เอิกเกริกเช่นนี้”
‘พรึ่บ’ จีหย่วนคลี่พัดแล้วโบกเล็กน้อยพลางยิ้มโดยไม่เอ่ยคำใด
….
วังหลวง
ณ ห้องทรงพระอักษร หลังจากจักรพรรดิหย่งซิ่งฟังรายงานจากขันทีจบและได้รู้ว่าคณะทูตอวิ๋นโจวได้เข้าที่พักแล้วจึงรู้สึกราวยกภูเขาออกจากอก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง