ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 732

สรุปบท บทที่ 732 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 732 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (1) – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 732 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (1) ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 732 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (1)

‘เจ้าเด็กนี่! ข้าเป็นถึงขุนนางขั้นสามผู้องอาจ’…ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูสาปแช่งในใจ ก่อนสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยเสียงดังว่า

“ข้าหลิวต๋าผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลู ขอต้อนรับคณะทูตอวิ๋นโจว”

เขาป่าวร้องต่อเนื่องหลายครั้ง หากไร้การขานรับจากเรืออวี้เฟิง

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูรออยู่ท่ามกลางลมหนาวอีกหนึ่งเค่อ ก่อนจากไปอย่างจนใจภายใต้สายตาอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านที่สัญจรไปมา

นายท่านบนเรือนั้นรอได้ แต่เขากลับรอไม่ไหว การที่ไม่สามารถเชิญคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองหลวงได้เป็นความบกพร่องในหน้าที่ของเขา บรรดาขุนนางและฝ่าบาทจะต้องตำหนิเขาเป็นแน่

“ใต้เท้า เชิญขึ้นรถ”

ผู้ใต้บังคับบัญชาเลิกผ้าม่านรถม้าให้เขา

“จะขึ้นรถอะไรเล่า เตรียมม้าให้ข้า!”

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูพาลตวาดใส่ จากเมืองหลวงไปถึงเมืองชั้นใน แล้วไปยังเขตพระราชฐานอีก นั่งรถม้ากว่าจะถึงมันยามใดเล่า

‘กุบกับ กุบกับ กุบกับ’…ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูควบม้าเร่งรุดไปยังกรมพิธีการ

ศาลหงหลูอยู่ในสังกัดของกรมพิธีการ ในเมื่อเจ้าเด็กจากอวิ๋นโจวคิดว่าตำแหน่งขุนนางของเขาไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงหาตำแหน่งที่สูงกว่าเท่านั้น

ภายในห้องโถง กรมพิธีการ

เจ้ากรมพิธีการขมวดคิ้วมุ่น

“เจ้าเด็กนี่!

“นี่เป็นการแผลงศักดาต่อราชสำนักอย่างหนึ่งนะ”

ทว่าด่าก็ส่วนด่า เจ้ากรมพิธีการเอ่ยเสียงเข้มว่า

“ให้…ช่างเถอะ ข้าจะไปกับเจ้าสักครั้ง”

เดิมทีเขาต้องการให้รองเจ้ากรมพิธีการออกหน้า แต่เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งขุนนางแล้ว รองเจ้ากรมตำแหน่งสูงกว่าหลิวต๋า ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูผู้นี้เพียงครึ่งขั้น ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะออกหน้าด้วยตัวเอง

ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนเดินไปด้านนอกพร้อมกับเจ้ากรมพิธีการพลางเอ่ยว่า

“รบกวนใต้เท้าเจ้ากรมแล้ว”

เจ้ากรมพิธีการอายุมากแล้ว ขี่ม้าไม่ไหว ทั้งสองจึงเปลี่ยนเป็นรถม้าแล้ววิ่งควบไปตลอดทางจนถึงประตูเมือง

ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าจึงแล่นออกจากประตูเมือง เมื่อเจ้ากรมพิธีการเลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเรือไม้มหึมาลำนั้นอยู่ข้างทาง

รถม้าจอดข้างเรือไม้ เจ้ากรมพิธีการเอ่ยเสียงดังว่า

“ข้า เจ้ากรมพิธีการ มาต้อนรับคณะทูตอวิ๋นโจว”

ชั่วครู่ องครักษ์ผู้หนึ่งก็โผล่หน้าออกมาจากด้านข้างเรือด้วยท่าทางหยิ่งยโส

“คุณชายของข้ากล่าวว่า ฐานะของท่านยังไม่เพียงพอ”

เจ้ากรมพิธีการพลันสีหน้าเข้ม ก่อนข่มโทสะแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า

“กลับไปถามคุณชายของเจ้า ว่าต้องการอย่างไรกันแน่เขาจึงจะยอมเข้าเมือง”

องครักษ์ไม่ขยับ เขาส่งเสียงฮึ แล้วเชิดคางขึ้น

“คุณชายเก้ากล่าวว่า ต้องการให้ชินอ๋องมาต้อนรับพร้อมกับสมุหราชเลขาธิการ ดนตรีพิธีมิให้ขาด หากทำไม่ได้ก็ให้แจ้งล่วงหน้าสักหน่อย เขาอยากกลับจวนยิ่งนัก จะได้ไปบอกทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนายของอวิ๋นโจวว่า ต้าฟ่งไม่ยินดีเจรจา”

“นี่ไม่เหมาะสมตามธรรมเนียม ให้คุณชายเก้าของพวกเจ้าออกมาเจรจากัน” เจ้ากรมพิธีการกล่าวเสียงดัง

องครักษ์หดศีรษะกลับไปโดยมิได้ใส่ใจ

เส้นเลือดดำบนหน้าผากของเจ้ากรมพิธีการเต้นตุบ ก่อนสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์อีกครั้ง

เขาพลันมองไปยังผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงหลูข้างกายแล้วเอ่ยว่า

“ส่งคนไปขอคำแนะนำจากฝ่าบาท”

ในห้องซึ่งตกแต่งอย่างเรียบง่ายบนเรืออวี้เฟิง จีหย่วนนั่งอยู่ที่โต๊ะ สองมือเรียวยาวกำลังปอกส้ม พัดกระดูกสีเงินด้ามเล็กวางอยู่ข้างมือ

“พี่เก้า นี่เป็นการแผลงศักดาต่อราชสำนักต้าฟ่งหรือ”

สวี่หยวนไหวยืนอยู่ข้างหน้าต่างจึงได้ยินการสนทนาเมื่อครู่อย่างชัดเจน

“ปราดเปรื่อง!” จีหย่วนเอ่ยชม จากนั้นจึงพลันส่ายหัว

“แต่ยังฉลาดไม่พอ”

สวี่หยวนไหวขมวดคิ้ว

จีหย่วนเอียงคอมองไปยังสวี่หยวนซวงซึ่งนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้ แล้วยิ้มพลางว่า

“หยวนซวง เจ้ามีความเห็นอย่างไร”

สวี่หยวนซวงเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่ได้เงยหน้าว่า

“ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการทดสอบขีดจำกัดนี่”

“ดูสิ ดูสิ…” จีหย่วนเอ่ยพลางยิ้มตาหยี

“ยังคงเป็นน้องหญิงหยวนซวงที่ปราดเปรื่อง หยวนไหวเอ๋ย นับตั้งแต่พวกเรามาถึงนอกเมืองหลวง การเจรจาก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องนั่งโต๊ะเจรจาหรอก เข้าใจหรือไม่”

เมื่อเห็นว่าสวี่หยวนไหวราวกับไม่ยอมรับ จีหย่วนจึงกินส้มพลางเอ่ยว่า

“เจ้าต้องรู้ว่าขีดจำกัดของจักรพรรดิน้อยอยู่ตรงไหน พรุ่งนี้เมื่อเข้าสู่ตำหนักกระดิ่งทองแล้วจึงจะประเมินเขาได้”

สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วพลางว่า

“จักรพรรดิหย่งซิ่งอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้”

‘พรึ่บ’ จีหย่วนหยิบพัดกระดูกสีเงินมาคลี่ออก แล้ววางราบแนบอกพลางยิ้มและเอ่ยว่า

“นี่ก็เป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่ง เพื่อทดสอบมาตรฐานของจักรพรรดิน้อย”

อายุของเขามิได้มากกว่าจักรพรรดิหย่งซิ่ง ทว่าน้ำเสียงกลับเจือความดูหมิ่น

รอจนเกือบครึ่งชั่วยาม จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนด้านนอกว่า

“เหยียนชินอ๋องและสมุหราชเลขาธิการเฉียนมาต้อนรับคณะทูตอวิ๋นโจว”

‘พรึ่บ’ จีหย่วนคลี่พัดกระดูกสีเงินด้ามน้อยออก ก่อนวางราบกับอกและส่ายหัวพร้อมอดหัวเราะไม่ได้

“มีจักรพรรดิเช่นนี้ ต้าฟ่งจะยังมีสิ่งใดน่ากังวลอีกเล่า”

‘ขบวนต้อนรับ’ อย่างหรูหราเข้าเมืองมา ชาวบ้านโดยรอบต่างชี้นิ้ววิจารณ์ตลอดเส้นทาง

“นั่นมันธงของอวิ๋นโจวนี่ เช่นนี้ก็แปลว่ารักษาชิงโจวไว้ไม่ได้จริงๆ สินะ ที่พูดกันเมื่อสองสามวันก่อนว่าราชสำนักต้องการเจรจาสงบศึกเป็นเรื่องจริงหรือ”

ผู้รู้หนังสือในหมู่ชาวบ้านจะแยกธงสัญลักษณ์ของอวิ๋นโจวในขบวนคณะทูตออก พื้นหลังสีเหลือง ปักเมฆสีขาว อักษร ‘อวิ๋น’ ขนาดใหญ่ปักด้วยด้ายสีแดง

ข่าวลือใส่สีตีไข่ต่างๆ ในเมืองหลวงถูกควบคุมอย่างดีที่สุด ในวันธรรมดาชาวบ้านจึงกล้าพูดคุยกันเฉพาะในที่รโหฐาน ไม่กล้าถกกันเรื่องการล่มสลายของชิงโจว การเสียชีวิตของท่านโหราจารย์ในสงคราม หรือเรื่องที่ราชสำนักตัดสินใจเจรจาสงบศึกในที่สาธารณะเช่นโรงน้ำชาหรือหอนางโลม

เมื่อเห็นขบวนคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองมาในเวลานี้ อารมณ์ที่กดข่มอยู่ในใจก็พลันสะท้อนกลับ จึงยืนพูดคุยกันเสียงดังอยู่ข้างถนน

“แค่กลุ่มกบฏเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง จะต้องแจ้นมาถึงเมืองหลวงเพื่ออวดศักดาเชียวหรือ”

“กระทั่งฆ้องเงินสวี่ก็ปกป้องชิงโจวไว้ไม่ได้รึ”

ในรถม้า เมื่อจีหย่วนได้ยินคำพูดนี้จึงเลิกผ้าม่านเปิด

“ลือกันในหมู่ราษฎรไปทั่วว่าสวี่ชีอันต้านทัพกบฏแปดพันเพียงลำพังที่อวิ๋นโจว และกวาดสังหารกองทัพใหญ่สองแสนนายของสำนักพ่อมดจนแตกพ่ายที่ด่านอวี้หยาง เมื่อมีความหวังมากก็ย่อมผิดหวังมาก”

จีหย่วนจุปากแล้วเอ่ยต่อ “ตอนแรกที่พวกเราพี่น้องได้ยินเรื่องราวในที่ราบลุ่มภาคกลางของสวี่ชีอันอย่างต่อเนื่อง ในใจก็รู้สึกไม่ยอมรับ คิดว่าเขาเพียงช่วงชิงชะตาที่เดิมเป็นของสายเลือดพวกเราเท่านั้น

“แต่บัดนี้เหตุการณ์พลิกผันจริงๆ แล้ว พวกเจ้าว่า หลังเรื่องการเจรจาสงบศึกแพร่ออกไป ชาวบ้านจะพูดถึงราชสำนักอย่างไร แล้วจะพูดถึงฆ้องเงินสวี่ผู้เป็นที่รักของพวกเขาว่าอย่างไรเล่า”

สวี่หยวนซวงนิ่งขรึมไปครู่หนึ่ง จึงจ้องมาที่เขา

“มิน่าท่านถึงต้องทำให้เอิกเกริกเช่นนี้”

‘พรึ่บ’ จีหย่วนคลี่พัดแล้วโบกเล็กน้อยพลางยิ้มโดยไม่เอ่ยคำใด

….

วังหลวง

ณ ห้องทรงพระอักษร หลังจากจักรพรรดิหย่งซิ่งฟังรายงานจากขันทีจบและได้รู้ว่าคณะทูตอวิ๋นโจวได้เข้าที่พักแล้วจึงรู้สึกราวยกภูเขาออกจากอก

ฉู่หยวนเจิ่นมีความคิดเฉียบแหลม จึงคาดเดาแรงจูงใจของคณะทูตอวิ๋นโจวได้ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

หมายเลขสอง ‘จักรพรรดิหย่งซิ่ง จักรพรรดิสุนัขนี่ กระทั่งหยวนจิ่งยังสู้ไม่ได้ ผู้นำขบวนเป็นใคร’

หลี่เมี่ยวเจินโกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

ไม่เพียงโกรธคณะทูตอวิ๋นโจวเท่านั้น ยังโกรธจักรพรรดิหย่งซิ่งที่ขี้ขลาดตาขาวอีกด้วย

หมายเลขหนึ่ง ‘บุตรชายคนที่เก้าของเจ้าเมืองเฉียนหลงนามว่าจีหย่วน ตอนนี้อาศัยอยู่ศาลาพักม้าในเมือง มีทหารป้องกันหนาแน่นทั้งภายนอกภายใน และยังมีฆ้องทองคำสองคนด้วย’

หมายเลขสอง ‘นี่เพราะกลัวสวี่ชีอันจะไปสังหารใครหรือ เขาน่าจะกลับเมืองหลวงแล้วสินะ’

หมายเลขหนึ่ง ‘เขาอยู่กับข้าที่นี่’

‘ให้ตายสิ’…หลี่เมี่ยวเจินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เขตพระราชฐาน จวนฮว๋ายชิ่ง

ณ ห้องโถงด้านในอันโอ่โถงงามวิจิตร องค์หญิงใหญ่ซึ่งสวมชุดกระโปรงในวังสีดอกเหมยวางเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในมือลง พร้อมกระตุกมุมปาก

นางมองบุรุษตรงหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า

“สถานการณ์ยามนี้ต่างจากตอนเรียกร้องเงินบริจาค แม้ท่านจะเอามีดจี้คอหย่งซิ่ง เขาก็คงไม่ศิโรราบ

“เหล่าองค์ชายก็เช่นกัน ทั้งตอนนี้ขุนนางในเมืองหลวงมากกว่าเจ็ดส่วนก็เห็นด้วยกับการเจรจาสงบศึก แนวโน้มจึงเป็นเช่นนี้”

สวี่ชีอันที่เพิ่งออกมาจากวังหลวงพยักหน้าช้าๆ

“จ้าวโส่วบอกว่า หากต้องการพลิกฟื้นสถานการณ์ยากลำบากในปัจจุบัน ปัญหาเรื่องเงินและเสบียงของต้าฟ่งต้องได้รับการแก้ไข

“อันที่จริง สิ่งที่เขาอยากพูดจริงๆ ก็คือ หากข้าอยากต่อสู้กับสวี่ผิงเฟิงและทัพกบฏอวิ๋นโจวจนถึงที่สุด ราชสำนักจะต้องให้การสนับสนุนอย่างไร้เงื่อนไข มิอาจเหนี่ยวรั้ง”

บัดนี้ หย่งซิ่งกำลังฉุดรั้งเขาอยู่

ฮว่ายชิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แล้วเอ่ยว่า

“เขาอ่อนแอไปหน่อยจริงๆ”

สวี่ชีอันโบกมือ

“ไม่พูดถึงเขาแล้ว เรียกหาข้ามีเรื่องใดรึ”

ทันทีที่เขาออกจากวังหลวง ก็ถูกหัวหน้าองครักษ์ของฮว๋ายชิ่งซึ่งยืนเฝ้าอยู่นอกประตูวังเชิญตัวมา

ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า

“ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดว่า หากต้องการฟื้นฟูความเสื่อมโทรมของต้าฟ่งในยามนี้ มีเพียงสามวิธี ข้อแรก จำนวนผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ต้องเสมอกัน ข้อสอง คือการแก้ปัญหาเรื่องเงินและเสบียงอาหาร ข้อสาม คือต้องชุบชีวิตเว่ยกง”

สวี่ชีอันฟังเงียบๆ พร้อมกับพยักหน้า

ฮว๋ายชิ่งสูดหายใจลึก

“เรื่องชุบชีวิตเว่ยกง เจ้าได้ทำไปแล้ว เทศกาลไหว้วสันต์ก็จะเห็นผลลัพธ์ด้วยตัวเอง

“ปัญหาเรื่องเงินและเสบียงนั้นแก้ยาก แต่เจ้าก็พูดเองว่าสิ่งที่เจ้าต้องการยิ่งกว่าคือจักรพรรดิที่เต็มใจสู้ตายกับเจ้าโดยไม่ถอยหนี และราชสำนักที่ยินยอมเดิมพันชะตากรรมของอาณาจักร”

สวี่ชีอันเอ่ยช้าๆ ว่า

“ดังนั้นเล่า”

ฮว๋ายชิ่งจับจ้องเขาด้วยดวงตากระจ่างใสราวน้ำในสารทฤดู แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

“บีบให้หย่งซิ่งสละบัลลังก์!”

สวี่ชีอันคาดการณ์ในใจไว้อยู่แล้วจึงมิได้แปลกใจ เขาส่ายหัว

“เช่นนี้รังแต่จะเป็นการทำให้ราชสำนักล่มสลายเร็วขึ้น ข้ารู้ว่าท่านต้องการสนับสนุนให้เหยียนชินอ๋องได้ตำแหน่ง ทว่าคุณสมบัติและฐานะของเขาไม่ได้ อำนาจยิ่งไม่เพียงพอ

“ในช่วงเวลาเจริญรุ่งเรืองและสงบสุขอาจจะยังพอได้ แต่ยามที่จิตใจผู้คนระส่ำระสายเช่นนี้ หากข้ายังกระทำตามอำเภอใจเช่นนี้อยู่ จะเป็นการผลักให้คนไปเข้ากับทางอวิ๋นโจวและบีบให้พวกเขาแปรพักตร์”

หากเขาฝันอยากใช้กำลังสยบทุกอย่างในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ แน่นอนว่าย่อมทำได้ ทว่าคนอื่นก็จะหันไปพึ่งพาอวิ๋นโจวด้วย

มิอาจลืมได้เลยว่า สายเลือดของอวิ๋นโจวก็คือราชวงศ์ต้าฟ่งเช่นกัน

………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง