ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 732

บทที่ 732 หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้ (2)

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า

“น้องสี่ไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีอำนาจ แต่ข้ามี”

สวี่ชีอันตะลึงงัน

เขาสังเกตหญิงงามตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ฮว๋ายชิ่งมองเขาอย่างองอาจไม่ขลาดกลัว

“เดิมพรรคเว่ยก็ล้วนเป็นคนของข้า นอกจากนี้ ข้าเองก็เอาชนะใจขุนนางราชสำนักได้แล้วไม่น้อย หากต้องการรวบรวมพวกเขาขึ้นมา ย่อมเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งแห่งราชสำนัก

“ส่วนพรรคหวาง ข้าต้องการความช่วยเหลือจากฆ้องเงินสวี่”

สวี่ชีอันจับจ้องนางอยู่นาน ก่อนถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า

“องค์หญิง ข้าสังเกตสตรีธรรมดาเช่นท่านออกนานแล้ว แต่ข้าก็ยังคิดไม่ถึงว่าท่านจะบ่มเพาะพลังอำนาจระดับนี้ไว้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ยังมีอีกหรือไม่”

ในเมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ฮว๋ายชิ่งจึงไม่ปิดบังอีก

“ในกองทหารรักษาวังห้าหน่วย และสิบสององครักษ์แห่งเมืองหลวงล้วนมีคนของข้า”

มิน่านางถึงส่งยอดฝีมือออกไปรวบรวมผู้ลี้ภัยได้ อิทธิพลในมือนั้นน่ากลัวกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก…สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า

“ท่านยังมีไพ่ตายอะไรอีก”

ฮว๋ายชิ่งยกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง

“ใต้เท้าสวี่เสาะหารวบรวมห้ามรรควิธีที่สำคัญของปราณมังกร ในมือทัพกบฏอวิ๋นโจวก็มีอยู่มรรควิธีหนึ่ง ส่วนสามมรรควิธีปราณมังกรที่เหลืออยู่ที่ข้า”

“อะไรนะ” สวี่ชีอันขยี้หู สงสัยว่าตนฟังผิดไป

“ท่านทำได้อย่างไร”

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า

“บุตรในเงามืดของเว่ยกงอยู่ในมือข้าทั้งหมด วันนั้นก่อนที่เขาจะออกเดินทางได้มอบองค์กรเจ้าพนักงานเคาะยามของบุตรในเงามืดให้ข้าด้วยตัวเอง”

มิน่า มิน่าหลิวหงซึ่งเป็นเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายถึงบอกไม่รู้และไม่ได้รับช่วงจากบุตรในเงามืดที่เว่ยกงทิ้งไว้ ข้อมูลเกี่ยวกับบุตรในเงามืดในคลังเอกสารของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็สูญหายไปนานแล้วเช่นกัน…ที่แท้เว่ยกงก็มอบมันให้กับฮว๋ายชิ่งแล้ว…สวี่ชีอันซึ่งคลี่คลายคดีที่แก้ไม่ตกมานานหลับตาแล้วทอดถอนใจ.

ไม่ใช่ลูกตัวเองจริงๆ สินะ

ไม่สิ เป็นลูกที่เก็บมาแท้ๆ ยังสู้บุตรสาวของรักแรกไม่ได้เลย

ฮว๋ายชิ่งไม่รู้ว่าในใจของเขาจะมีบทพูดมากมายเพียงนี้ จึงเอ่ยต่อว่า

“การรับปราณมังกร ย่อมนำไปสู่ชะตาแห่งความผาสุกอันล้ำลึก

“ด้วยร่างที่อาศัยปราณมังกรของข้า ไม่ว่าจะเป็นการเอาชนะขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักหรือยอดฝีมือในกองทัพ ล้วนสำเร็จได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม”

สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มซับซ้อน

“องค์หญิงวางแผนทั้งหมดมาตั้งแต่แรกแล้วกระมัง หลังจากหยวนจิ่งตาย ท่านก็เห็นความหวัง จึงลอบวางแผนทีละขั้นตอน รอโอกาสที่จะบีบให้หย่งซิ่งสละบัลลังก์”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย

“ตั้งแต่ที่ท่านอธิบายสถานะภายในพรรคฟ้าดินและชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของพรรคกบฏอวิ๋นโจว นับตั้งแต่สิ้นจักรพรรดิองค์ก่อนและปราณมังกรแตกสลาย ข้าก็รู้แล้วว่าบัลลังก์ของหย่งซิ่งนั่งได้อีกไม่นาน

“สถานการณ์ยุ่งเหยิงครั้งใหญ่เช่นนี้ รวมถึงปัญหาทั้งภายนอกภายใน คิดจะนั่งบัลลังก์อย่างมั่นคงและคิดค้นสิ่งใหม่ๆ จะต้องมีความเด็ดขาดอย่างมาก

“ทว่าหย่งซิ่งเดินทางสายกลางเกินไป ในยุคที่สงบสุขรุ่งเรือง เขาอาจเป็นจักรพรรดิที่ดีคนหนึ่ง แต่ในยามที่โลกโกลาหล ย่อมชักนำความวิบัติมาสู่บ้านเมืองและราษฎร”

ท่านต่างหากที่เป็น ‘การพัฒนาอันเลวร้าย’ อย่างแท้จริง เมื่อเทียบกับท่าน ข้าก็ไม่ได้อยากอันธพาลเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันพึมพำในใจ เขามิอาจไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับคำพูดของฮว๋ายชิ่ง

“แล้วท่านรับประกันได้อย่างไรว่าเหยียนชินอ๋องจะทำได้ดีกว่าหย่งซิ่ง”

“ข้าย่อมมีวิธี”

“ตกลง…ว่าแผนการโดยละเอียดของท่านมา”

กระทั่งพลบค่ำ สวี่ชีอันจึงออกจากจวนฮว๋ายชิ่ง

หลังกลับถึงสำนักโหราจารย์และไปเยี่ยมซุนเสวียนจีซึ่งกำลังพักฟื้นอาการบาดเจ็บแล้ว สวี่ชีอันก็มายังห้องรับแขกชั้นสี่ จากนั้นจึงผลักประตูเข้าไปในห้องที่อบอุ่นราววสันตฤดู มู่หนานจือกำลังแต่งหน้าอยู่หน้ากระจก

ไป๋จีขดตัวหลับสนิทอยู่บนเตียง

เส้นผมของนางเปียกชื้น ร่างกายมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ราวกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

“ข้าซื้อขนมดอกท้อมาให้เจ้า จำได้ว่าเจ้าชอบกิน”

สวี่ชีอันวางถุงขนมอบที่ห่อด้วยกระดาษไขไว้ข้างโต๊ะเครื่องแป้ง

มู่หนานจือไม่สนใจ นางเบ้ปากถามว่า

“ไปไหนมาล่ะ”

นางสูดดมเงียบๆ และได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสตรีซึ่งยากจะจับสังเกตบนตัวเขา

คิดว่าขนมอบห่อเดียวจะจัดการนางได้รึ

สวี่ชีอันนั่งลงข้างเตียงแล้วถอดรองเท้าพลางเอ่ยว่า

“วันนี้คณะทูตอวิ๋นโจวที่มาเจรจาสงบศึกเข้าเมืองมาแล้ว ข้าไปวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าจักรพรรดิหย่งซิ่ง เขาไม่ฟังคำแนะนำ ต่อจากนั้นจึงไปจวนฮว๋ายชิ่งเพื่อหารือเรื่องต่างๆ กับองค์หญิงใหญ่”

เขานวดคลึงหัวคิ้วแล้วถอนหายใจพลางว่า

“ทันทีที่การเจราสงบศึกสำเร็จ ต้าฟ่งก็อาจไปสู่จุดที่เกินเยียวยาแล้วจริงๆ”

‘และเจ้าซึ่งแบกชะตากรรมของอาณาจักรไว้ ก็จะถึงทางตัน’…มู่หนานจือมองขนมอบถุงนั้นอีกครั้ง

นางกัดริมฝีปาก

บุรุษผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในช่วงคับขัน ยังไม่ลืมเอาขนมที่โปรดปรานมาให้เจ้าได้ น้ำใจมูลค่ามหาศาลนี้กลับให้ความรู้สึกลึกซึ้งมากกว่าคำสัตย์สาบานรักนิรันดร์อันหวานหู หรือรอยยิ้มเอาใจจากพวกกระเป๋าหนักมากนัก

สวี่ชีอันถอดรองเท้าแล้วนอนลงบนเตียง แขนทั้งคู่หนุนอยู่หลังศีรษะ

หากแผนการราบรื่น สองในสี่ประเด็นสำคัญที่จ้าวโส่วนำเสนอก็จะสำเร็จอย่างน่าพอใจ นั่นคือการคืนชีพเว่ยเยวียนและสร้างเสถียรภาพให้แนวหลัง

และกลายเป็นนักเดินหมากซึ่งเป็นหนึ่งคำแนะนำที่ไร้อัตราความสำเร็จในตัวเอง

“ตราบใดที่องค์ชายสี่ยังมีอำนาจ เขาจะสามารถรับประกันและสนับสนุนข้าให้ต่อสู้กับอวิ๋นโจวได้จนถึงที่สุด เช่นนั้นแล้ว แม้เรื่องเงินและเสบียงอาหารจะยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่การเค้นกำลังระดับชาติของต้าฟ่งก็ยังพอทำให้แข็งใจยืนหยัดต่อไปได้

“ปัญหาเดียวในตอนนี้คือ ตบะของข้าอ่อนแอเกินไป แม้จะแข่งกับขั้นสองได้ แต่หากเผชิญหน้ากับขั้นหนึ่งจะต้องตายเป็นแน่ และสิ่งที่ขวางหน้าข้าอยู่ก็คือตะปูตอกวิญญาณ”

ตะปูตอกวิญญาณมิอาจถอนได้ด้วยการใช้กำลังอย่างไร้สมอง เว้นแต่จะเข้าใจสัจจคาถาและวิธีลับในการคลายผนึกดั่งเช่นอาซูหลัว

เช่นนั้นแม้ในสถานการณ์ที่โดนตะปูอีกหนึ่งดอกก็ยังถอนออกด้วยตัวเองได้

สวี่ผิงเฟิงเอ๋ยสวี่ผิงเฟิง เจ้าทุ่มเต็มที่เลยจริงๆ…ระหว่างที่คิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยเข้ามาใกล้ จึงลืมตาขึ้นแล้วหันไปมอง

มู่หนานจือนั่งอยู่ขอบเตียง ทำให้เขาเห็นแผ่นหลังอันงดงามจนไร้ที่สิ้นสุด รวมถึงครึ่งสะโพกกลมกลึงซึ่งรั้งกางเกงผ้าไหมขึ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง