บทที่ 733 วิถีแห่งความรู้แจ้งขั้นสาม
ภายในโรงเผาถ่านเนื้อทอง ณ ศาลาพักม้า สวี่หยวนซวงหยิบหอยสังข์กระแสจิต พร้อมใช้เคล็ดวิชาโหราศาสตร์เปิดใช้อาวุธเวทมนตร์
หอยสังข์กระแสจิตชิ้นนี้ถือเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่ล้ำค่ามาก ในฐานะที่ท่านพ่อเป็นโหรขั้นสอง จึงมีอาวุธวิเศษมากมายดั่งขนวัว อาวุธเวทมนตร์ที่สามารถส่งกระแสจิตชนิดนี้มีเพียงคู่เดียวเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้มันมีค่า ไม่ใช่ความยากลำบากในการหลอมกลั่น ไม่ใช่ค่ายกลที่ฝังมีระดับสูงเกินไปเช่นกัน
แต่เป็นวัตถุดิบขั้นพื้นฐานที่สุด
หอยสังข์กระแสจิตเป็นสิ่งมีชีวิต ตามตำนานเล่าว่ามันมีสายเลือดเทพมาร แต่เจือจางมาก
พวกมันสามารถส่งกระแสจิตที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจได้ยิน สื่อสารไปยังชาติพันธุ์เดียวกันที่อยู่ห่างไปหลายพันลี้
อย่างไรก็ตาม หอยสังข์กระแสจิตใกล้สูญพันธุ์แล้ว ท่านพ่อจึงเอาหอยสังข์กระแสจิตคู่นี้ออกมาจากสำนักโหราจารย์ในเวลานั้น
กระทั่งยี่สิบปีมานี้ เขาก็ไม่เจอหอยสังข์กระแสจิตที่มีชีวิตอีกเลย
“ศิษย์พี่เก่อ…”
นางร้องเรียกผ่านปากสังข์
ชั่วอึดใจหนึ่ง หอยสังข์กระแสจิตมีเสียงเก่อเหวินเซวียนดังขึ้น
“ถึงเมืองหลวงแล้วรึ? เอาหอยสังข์กระแสจิตให้จีหย่วน”
เมื่อหอยสังข์กระแสจิตถูกหลอมให้กลายเป็นอาวุธวิเศษ มันจะถูกรวมเข้ากับค่ายกลกระแสจิตแบบพิเศษ สามารถส่งเสียงได้เฉพาะกับหอยสังข์ที่เป็นค่ายกลชนิดเดียวกัน
พูดง่ายๆ ก็คือใช้งานแบบเข้ารหัสโดยการส่งเสียง ซึ่งเสียงสามารถส่งผ่านได้เฉพาะสังข์ที่หลอมในเตาเดียวกันเท่านั้น
สวี่หยวนซวงโยนสังข์กระแสจิตให้จีหย่วนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ฝ่ายหลังรีบรับมือพันกันพัลวันพร้อมบ่นอุบ
“ทั่วทั้งเมืองอวิ๋นโจวมีสังข์กระแสจิตอยู่สองอัน ถ้ามันแตกจะทำอย่างไรเล่า…”
ขณะพูด ก็ยกสังข์ขึ้นแนบหู ก่อนฉีกยิ้มพลางเอ่ย
“ขบวนแห่มาถึงเมืองหลวงแล้ว แต่ยังไม่เจอสวี่ชีอัน”
“ตามนิสัยเขาแล้ว ถ้าชัยชนะอยู่ในกำมือด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เช่นนั้นวันนี้เขาคงทำให้เจ้ายำเกรงแล้ว”
จีหย่วนหัวเราะ
“วันนี้ข้าหยั่งถามข่าวมาได้เรื่องหนึ่ง สวี่ชีอันกับจักรพรรดิน้อยทะเลาะกัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องการเจรจาสันติภาพ”
เก่อเหวินเซวียนประหลาดใจ
“เจ้าถามจากที่ใด?”
เรื่องที่เกิดขึ้นภายในวัง เขาผู้มาเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ไม่ใช่คนในพื้นที่ ไม่นึกเลยว่า จะหาข่าวได้รวดเร็วเช่นนี้
เป็นไปได้หรือไม่ว่าราชสำนักต้าฟ่งกำลังเกิดการผันผวน ถึงคราวจุดล่มสลายแล้วหรือ?
จีหย่วนเอ่ย
“ก่อนพลบค่ำ เฉินกุ้ยเฟยส่งคนมาพบข้าเป็นการส่วนตัว บอกว่าตนคือศัตรูของท่านราชครู หวังว่าเขาจะมองถึงความผูกพันครั้งก่อน เพื่อเจรจาอย่างสันติ”
เก่อเหวินเซวียนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง พลางถอนหายใจแล้วเอ่ย
“หมากของราชครูกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง…ต้องทำให้เฉินกุ้ยเฟย แล้วค่อยคิดหาวิธีหาข้อมูลเพิ่มเติมจากนาง
“นอกจากนี้ การเจรจาเพื่อสันติถือเป็นหนึ่งในวัตถุประสงค์และอีกจุดประสงค์หนึ่งคือหาทางแยกสวี่ชีอันและจักรพรรดิ ทำให้พวกเขาปั่นปวนกว่าเดิม” “ในกระบวนการนี้ เจ้าอย่าลืมหาโอกาสทดสอบสวี่ชีอัน ดูว่าเขามีเบี้ยหมากอยู่หรือไม่
“แม้ว่าท่านโหราจารย์จะถูกผนึกแล้ว แต่เขายังเหลือคนรับช่วงต่อที่ไม่ว่าใครก็เดาไม่ถูก”
จีหย่วนส่งเสียงเฮ้อ
“ข้าอดทนรอไม่ไหวแล้วที่จะเผชิญหน้ากับสกุลสวี่ จะได้ชำระแค้นแทนพี่เจ็ดของข้าเสียที”
เก่อเหวินเซวียนเอ่ยราบเรียบ
“ชั่งตวงสมดุลหน่อย เรื่องใหญ่ย่อมสำคัญที่สุด”
มือซ้ายของจีหย่วนกรีดพัดกระดูกสีเงินอันเล็กเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ
“ข้ารู้ ไม่ช้าหรือเร็วสวี่ชีอันก็ต้องกลายเป็นปลาบนเขียง”
…
ประตูเมืองแดนประจิมห่างออกไปสิบห้าลี้
อาซูหลัว…สวี่ชีอันมองตรงทางด้านหน้า ร่างสูงใหญ่ในชุดผ้ากาสายะสีแดงเหลืองแยกส่วนกัน ในหัวผุดความคิดนับพัน รัศมีแห่งสวรรค์ส่องทอประกาย
ยิ่งต้องการเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่าง ในขณะเดียวกันก็มีสิ่งที่ไม่เข้าใจอีกหลายอย่าง
“เจ้าคือหมายเลขแปดหรือ!”
เขารักษาระยะห่างกันและกันพอประมาณ จ้องมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ
อาซูหลัวเล่นกับกระจกหยก เอ่ยเสียงสงบนิ่ง
“หากไม่ใช่ เจ้าคิดว่าวันนั้นจะกำจัดแขนขาเสินซูได้อย่างง่ายดายหรือ?”
เขาหัวเราะ
“ตอนนั้นข้าพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อจะเด็ดหัวเจ้าให้ตกลงสู่พื้นในห้าสิบกระบวนท่า จากนั้นค่อยผนึกแล้วทรมานเจ้าจนตาย”
เขาอ่อนให้จริงด้วย…สวี่ชีอันพ่นลมออกมาไร้เสียง
หลังจากลั่วอวี้เหิงเตือน เขาจับสังเกตได้ว่าอาซูหลัวอาจอ่อนข้อให้จริง ตอนมาจึงหารือกับนางจิ้งจอกเก้าหาง สรุปได้ว่า ไม่เป็นกุศโลบายเชิญท่านลงหม้อจากสำนักพุทธ ก็อาซูหลัวมีแผนอื่นเตรียมไว้ ยกตัวอย่างเช่น ต้องการใช้ประโยชน์จากการฉวยโอกาส เพื่อเลื่อนระดับ
ดูแล้วตอนนี้ เขาก็มีแผนอื่น แต่ไม่ใช่เพื่อเลื่อนระดับ แต่เพื่ออ่อนข้อให้สหายในกลุ่ม
นักบวชเต๋าจินเหลียนพัฒนาผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ได้อย่างไร มันยอดเยี่ยมมาก ดีกว่าข้าที่เป็นถึงฆ้องเงินสวี่พัฒนาท่านโหราจารย์เสียอีก…ข้าคิดว่าเขาเป็นพวกนักบวชเต๋าจิตไม่ปกติที่ตกหลุมรักแมวเท่านั้น…
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้าลึก ในใจท่วมท้นด้วยความสงสัยนับหมื่น เอ่ยถาม
“เหตุใดเจ้าต้องทำถึงขนาดนี้”
อาซูหลัวที่กำลังหยอกเย้ากับกระจกหยก เสมองไปทางทิศตะวันตก ใบหน้าไร้การแสดงออก แต่น้ำเสียงพลันกลับตาลปัตร
“สำนักพุทธฆ่าพ่อข้า ฆ่าคนในเผ่าพันธุ์ข้า จับข้าล้างสมองให้เป็นพุทธสาวกที่เลื่อมใสที่สุด”
“ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”
เวรเอ๊ย…สวี่ชีอันเอ่ยทวนคำ
“เมื่อข้ามผ่านธรณีประตูสำนักพุทธ สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า เจ้าซ่อนมันจากพวกเขาได้อย่างไร?”
อาซูหลัวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าข้าบอกเจ้าว่า คราวนั้นผู้นำอาณาจักรหมื่นปีศาจจงใจฆ่าข้าล่ะ”
“นางรู้ความเป็นมาเผ่าอสุรา ถึงแม้จะเป็นชาวอสูรเราจะเป็นพุทธสาวกที่เลื่อมใสศรัทธาที่สุดในเวลานั้น แต่เพียงแค่จำกัดอิทธิพลจาก ‘สรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า’ ได้ เผ่าอสูรก็จะค้นพบตนเองเจอ
“และความตาย ก็เป็นหนึ่งในหนทางนั้น”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
“คราวนั้น พระโพธิสัตว์กว่างเสียนใช้ ‘ร่างธรรมมหาสังสารวัฏ’ ส่งยอดฝีมือประจำสำนักพุทธที่ล้มตายในสงครามกลับมาเกิดใหม่ทีละคน แน่นอนว่าเขาคงไม่ปฏิเสธเจ้าที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งขั้นสองสูงสุดที่ตายต่อหน้าต่อตา
“เป็นแบบนี้แล้ว เจ้าจึงเป็นผู้ถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ก่อนจะหวนคืนสู่จุดเดิม”
อาซูหลัวพยักหน้าช้าๆ
“นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกชะตากรรมของบุคคลได้อย่างลึกซึ้ง เขาบอกว่าข้าเป็นผู้มีบุญญาธิการ จึงมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ให้ข้า
“แต่ข้าคิดว่า เขาคงเดาว่าข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ”
สวี่ชีอันได้ยินดังนั้น จึงพยักหน้าพลางส่ายหน้าฉับพลัน
“ไม่ใช่การคาดเดาหรอก แต่เป็นการตรวจสอบต่างหาก หลังจากที่เขามอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้เจ้าแล้ว เกรงว่าเขาจะใช้เจ้าตรวจสอบบรรพบุรุษของเจ้าทั้งสิบแปดรุ่นมากกว่า”
ขณะที่พูดประโยคนี้ เขานึกย้อนขึ้นมาได้ว่าหลังจากที่นักบวชเต๋าจินเหลียนมอบชิ้นส่วนปฐพีให้แก่ตน เขาก็เคยซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงเพื่อสำรวจและสังเกตตน
ระหว่างนักบวชเต๋าจินเหลียนอยู่ในเมืองหลวง ก็ได้รายละเอียดจากฆ้องทองแดงน้อยของเขาเกือบร้อยละห้าสิบ
ส่วนที่เหลืออีกร้อยละห้าสิบ ถูกโหราจารย์พากลับไปด้วยแล้ว
สวี่ชีอันจำได้ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนเคยบอกไว้ว่า ‘เจ้าคือหมากตัวสำคัญของท่านโหราจารย์’
หากไม่มีท่านโหราจารย์ขวางทาง นอกเหนือจากเรื่องที่ข้ามกาลเวลามาแล้ว สีกางเกงในของ ‘สวี่ชีอัน’ คงถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนล้วงเอาจนหมดเปลือก
แน่นอนว่า ของวิเศษอย่างหนังสือปฐพีเล่มนี้ จะไม่ถูกส่งต่อให้คนอื่นง่ายๆ นักบวชเต๋าแมวส้มจึงสำรวจ ตรวจสอบผู้ถือครอง ถือว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
อาซูหลัวกล่าวต่อ
“ต่อมาข้าก็ปลีกตัวบำเพ็ญวิเวกมาโดยตลอด จนกระทั่งเห็นตนเอง เข้าใจเรื่องราววันวาน จึงกลับไปอยู่สำนักพุทธใหม่”
สวี่ชีอันจับสิ่งผิดปกติได้อย่างหนึ่ง จึงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าปิดบังพระโพธิสัตว์หลายองค์ได้อย่างไร? ตอนอยู่ซินเจียงตอนใต้ เจ้าจงใจปล่อยให้ส่วนที่เหลือของเสินซูถูกข้าเอาไป เป็นไปไม่ได้ที่บรรดาพระโพธิสัตว์จะไม่รู้ไม่เห็น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง