บทที่ 737 เงื่อนไขของอวิ๋นโจว
สีหน้าของซ่งถิงเฟิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลงพลางกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ที่นี่คือเมืองหลวง ไม่ใช่อวิ๋นโจว ใต้เท้าอยากจะฟ้องร้องก็ดำเนินการได้เลย หากเจ้ากล้าทำเช่นนั้นจริงๆ ข้าก็ยังนับถือเจ้าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่ถ้าไม่กล้า เจ้าก็เป็นแค่คนขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น”
เขาบีบกระบี่ในมือแน่นด้วยท่าทางหัวแข็งดื้อรั้น
จีหย่วนไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
‘เจ้าเป็นคนไร้สมองรึ’…สวี่หยวนซวงมองซ่งถิงเฟิงด้วยความประหลาดใจ จากสถานการณ์ในตอนนี้ จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งและเหล่าขุนนางแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะเจรจาเพื่อยุติสงคราม
ขุนนางชั้นสูงทั่วทั้งต้าฟ่งต่างก็อกสั่นขวัญหายกับเรื่อง ‘ความตาย’ ของท่านโหราจารย์ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ผู้ที่ไม่กลัวคณะทูตอวิ๋นโจวและยังแข็งแกร่งเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่คนไร้สมองก็ต้องเป็นคนที่มีแรงสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
แต่ต่อให้มีขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรงคอยหนุนหลังอยู่ การยั่วโมโหพี่ชายเก้าเช่นนี้ เกรงว่าคงยากที่จะรักษาชีวิตไว้เช่นกัน
“บังอาจนัก!” จีหย่วนไม่ได้เป็นผู้ที่เปิดปากพูด แต่เหล่าขุนนางอวิ๋นโจวที่อยู่ด้านหลังเขาถูกยั่วโมโหและชี้หน้าตำหนิซ่งถิงเฟิงอย่างดุเดือด
“กล้าพูดกับองค์ชายเก้าเช่นนี้ เจ้ามีหัวให้กุดกี่หัวกันรึ?”
“ดูหมิ่นราชทูตต่อหน้าทุกคนในที่สาธารณะ เจ้าไม่เพียงแต่มีความผิด แต่ยังทำให้เจ้าเข้าคุกได้ด้วย”
“จอมยุทธ์หยาบคาย ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”
จีหย่วนกางพัดพับออก พลางมองไปที่ซ่งถิงเฟิงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โอ้ ดูเหมือนจะมีคนหนุนหลังเจ้าอยู่ พูดมาสิ ข้าก็อยากจะรู้นัก ใครกันที่ชี้นิ้วสั่งให้เจ้าแฝงตัวอยู่ที่ศาลาพักม้า วางแผนที่จะทำลายการเจรจาสงบศึกและแอบวางแผนชั่วเช่นนี้”
คิดจะโยนความผิดก็โยนกันได้ง่ายๆ หากแรงสนับสนุนของซ่งถิงเฟิงอยู่ในระดับธรรมดา หรือไม่มีแรงสนับสนุนเช่นนั้นอยู่เลย เพียงแค่การกล่าวหาของคณะทูตอวิ๋นโจวก็สามารถทำให้เขาถูกลงโทษจำคุกได้แล้ว
ในบรรดาที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนที่เฝ้ายามอยู่ที่ศาลาพักม้า มีเพียงบุคคลนี้ที่กล้าใช้สายตาปรปักษ์มองข้าอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด ตอนที่เข้ามาอยู่เมื่อวานนี้ จีหย่วนก็สังเกตเห็นเขาแล้ว
ถึงแม้จีหย่วนจะไม่ถึงขนาดแสดงอำนาจบาตรใหญ่กับฆ้องเงินคนหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจทนกับความบังอาจอวดดีที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาตนเองไม่ได้
“พี่ชายเก้า ไปเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว”
ชายชราในชุดคลุมสีแดงเลือดนกท่านหนึ่งที่อยู่ด้านหลังจีหย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คำพูดเพียงไม่กี่คำมิอาจขัดขวางอะไรได้หรอก อีกอย่าง นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะมีสาเหตุไม่ใช่รึ หากท้องพระโรงต้าฟ่งถามขึ้นมา พวกเราก็แค่กล่าวไปตามความจริงเท่านั้น”
นี่ไม่เพียงแต่สร้างความลำบากให้ฆ้องเงินคนหนึ่ง การจงใจมาสายยังสามารถสร้างความกดดันในใจให้กับขุนนางในท้องพระโรงทุกคนอีกด้วย
เมื่อเจอคำพูดที่ปิดกั้นเช่นนี้ สวี่หยวนซวงก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก
ซ่งถิงเฟิงหัวเราะเยาะและยังคงบีบด้ามกระบี่ไว้แน่นด้วยท่าทางดูหมิ่นทุกคน
ไม่พูดจาเสียดสีรุนแรงแต่ก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
‘พรึ่บ!’
จีหย่วนพับพัดลงพลางชำเลืองมองซ่งถิงเฟิง และไม่คิดจะเสียเวลากับบุคคลผู้น้อยไปมากกว่านี้แล้ว
เขามีเบี้ยในมือที่ทำให้จักรพรรดิแห่งต้าฟ่งยอมจำนน เพียงแค่ฆ้องเงินต่ำต้อยคนหนึ่ง คิดจะจัดการเมื่อใดก็ย่อมได้
ซ่งถิงเฟิงมองตามหลังทุกคนเดินออกไปจากศาลาพักม้าก่อนจะหันไปด้านข้างและถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยความเกลียดชัง
“หัวหน้า เมื่อครู่ท่านน่าเกรงขามจริงๆ”
ฆ้องทองแดงที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างๆ ต่างก็เขยิบเข้ามารวมกลุ่มกันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
“แต่หัวหน้า ท่านทำเช่นนี้จะไม่เกิดเรื่องรึ?”
ฆ้องทองแดงท่านหนึ่งแสดงความกังวลใจ
เจ้าพนักงานต่างก็รู้อยู่แก่ใจ พวกเขารู้ทัศนคติของฝ่าบาทและขุนนางชั้นสูงทุกท่านเป็นอย่างดี ชิงโจวเสียฐานทัพ คลังหลวงว่างเปล่า แม้แต่ท่านโหราจารย์ผู้เป็นเทพเจ้าก็ยังพ่ายแพ้ในสงครามที่ชิงโจว
ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมต่างก็รู้ว่าหากยังรบต่อไปเช่นนี้ ราชสำนักต้องจบเห่อย่างแน่นอน
การไม่รบถึงจะเป็นการดีที่สุด ด้วยเหตุนี้ การเจรจาสงบศึกจึงกลายเป็นประกายแห่งความหวังในสายตาของฝ่าบาทและขุนนางทุกคน
หัวหน้าซ่งทำให้คณะทูตอวิ๋นโจวขุ่นเคืองใจในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ไร้ปัญญาที่สุด
ซ่งถิงเฟิงยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าบอกพวกเจ้าว่าอย่างไร? ข้าพาสวี่หนิงเยี่ยนออกมาด้วยมือข้าเอง ตอนนี้เขาประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์ หากพบข้าก็ยังต้องเรียกข้าว่าพี่ซ่ง แล้วข้ายังต้องกลัวเรื่องเล็กแค่นี้รึ ก็แค่พวกคณะทูตอวิ๋นโจวไร้สาระ ทันทีที่เข้าเมืองก็โอ้อวดอำนาจ อวดดีอะไรกันนัก หากเป็นเมื่อก่อนที่ข้ายังอยู่ที่อวิ๋นโจว น้องชายทั้งสองอย่างสวี่หนิงเยี่ยนและจูกว่างเสี้ยวจะจ่อดาบไปที่เขาโดยตรงก็ยังได้”
แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าหัวหน้าซ่งชอบคุยโวโอ้อวด แน่นอนว่าคำพูดของเขาย่อมมีส่วนที่เกินจริง
ตัวอย่างเช่นหัวหน้าซ่งมักจะพูดบ่อยๆ ว่า ‘เจ้าสวี่หนิงเยี่ยนนั่นมีความชอบอยู่อย่างหนึ่ง วันใดที่ไม่ไปหอคณิกาก็จะอึดอัดไปทั้งร่าง โดยเฉพาะชอบไปตอนเข้าเวร ข้าและจูกว่างเสี้ยวมีคุณธรรมถึงเพียงนั้น บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป ต้องไปลาดตระเวนตรวจตรา แต่กลับถูกเขาลากไปที่หอคณิกา หากเจ้าถามข้าว่าทำไมไม่ไปตอนไม่ได้เข้าเวร แน่นอนว่าเพราะตอนเย็นเขาต้องไปแอ้มฝูเซียงที่สำนักสังคีตฟรีๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาไปหอคณิกา’
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าฆ้องเงินสวี่หลับนอนกับนางโลมที่หอคณิกาโดยไม่จ่ายเงิน
ดังนั้น เหล่าฆ้องทองแดงจึงเชื่อคำพูดของซ่งถิงเฟิงเพียงแค่สามส่วนเท่านั้น
…
อีกด้านหนึ่งของตำหนักกระดิ่งทอง
การประชุมที่หน้าตำหนักสิ้นสุดลงแล้ว จักรพรรดิหย่งซิ่งระงับความกระสับกระส่ายเอาไว้ ชำเลืองมองขันทีจ้าวเสวียนเจิ้นที่คุมการเมืองด้วยสีหน้าสงบ
ฝ่ายที่ถูกมองเข้าใจได้ทันที จึงตะโกนว่า “เชิญคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเฝ้า!”
หลังจากรอเป็นเวลาครึ่งถ้วยชา ที่ด้านนอกตำหนักก็ยังคงเงียบสงัด ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ
“เชิญคณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเฝ้า!”
ยังคงไร้การเคลื่อนไหว
จ้าวเสวียนเจิ้นชำเลืองมองจักรพรรดิที่กำลังมีสีหน้าเคร่งขรึม หน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อผุดออกมาเล็กน้อย เขาจึงหมุนตัวไปทางพระที่นั่งและก้มโค้งลงด้วยความเคารพ ก่อนจะเดินออกไปทางห้องด้านซ้ายเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์
ไม่นานเขาก็วิ่งเหยาะกลับมายังด้านหน้าพระที่นั่งและกล่าวกระซิบว่า “ฝ่าบาท คณะฑูตอวิ๋นโจวยังไม่เข้าวังมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของจักรพรรดิหย่งซิ่งจมมืดและมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
จ้าวเสวียนเจิ้นไม่อธิบายใดๆ เขาเพียงแค่กล่าวเบาๆ ว่า “ส่งคนไปเชิญแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งซิ่งถอนสายตากลับและกล่าวเสียงเบา “ข้าจะรออีกสิบห้านาที”
“พ่ะย่ะค่ะ!” จ้าวเสวียนเจิ้นตอบกลับเสียงทุ้ม
แม้ว่าขุนนางในตำหนักจะไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา แต่ก็สามารถเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการถ่วงเวลาด้วยการ ‘มาสาย’ ของคณะทูตอวิ๋นโจว
ขุนนางทุกคนต่างก็เป็นผู้ที่เผชิญกับคลื่นใหญ่ลมแรง พวกเขาจึงทำได้เพียงสงบนิ่งแต่ก็แอบประเมินความเสี่ยงอยู่ในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง