บทที่ 738 ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง (1)
ห้าแสนตำลึงนั้นเทียบไม่ได้เลยกับการเก็บภาษีหนึ่งปีของราชสำนัก แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับจังหวะด้วย
เพื่อรักษาการดำเนินงานของราชสำนักและสนับสนุนค่าใช้จ่ายทางทหาร จำเป็นต้องใช้ตำลึงเงินมหาศาล ราชสำนักนั้น ‘ยากจนข้นแค้นและจิตใจท้อแท้’ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต้องรอฟื้นคืนการเพาะปลูกหลังฤดูใบไม้ผลิถึงสามารถต่อลมหายใจได้อีกหนึ่งเฮือก
ความมุ่งมาดปรารถนาเดิมของการเจรจาสงบศึกคือ ‘อยู่รอดต่อไป’ อวิ๋นโจวอยากใช้การเจรจาสงบศึกบีบต้าฟ่งเข้าสู่ทางตาย ราชสำนักต้องไม่ตอบตกลงอย่างแน่นอน
จักรพรรดิหย่งซิ่งกล่าวเรียบๆ
“ข้ามีความตั้งใจจะเจรจาสงบศึกกับอวิ๋นโจว ดูท่าเป็นอวิ๋นโจวที่ไม่ยอมเจรจาสงบศึกกับราชสำนัก”
จีหย่วนขมวดคิ้วมุ่น
“ฝ่าบาททำให้ข้าลำบากใจแล้ว กองทัพอวิ๋นโจวของข้ามีพลังเข้มแข็งเกรียงไกร หากมิใช่เป็นเพราะเสด็จพ่อคำนึงถึงอาณาประชาราษฎร์ในใต้หล้า เกรงว่าตอนนี้กองทัพคงบุกประชิดพรมแดนนานแล้ว อวิ๋นโจวเราเจรจาสงบศึกด้วยความจริงใจ เหตุใดในสายตาของราชสำนักถึงดูเหมือนกับกำลังให้ทานขอทาน”
เขาพูดถึงความได้เปรียบของอวิ๋นโจวในสนามรบอีกครั้ง บอกเป็นนัยถึงความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันของทั้งสองฝ่าย
ได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิหย่งซิ่งและบรรดาขุนนางก็ขมวดคิ้ว
ขณะนี้จู่ๆ จีหย่วนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาและถอนหายใจกล่าว
“ช่างเถอะ ข้าเสนอความเห็นโดยพลการ ถอยหนึ่งก้าว ลดเครื่องบรรณาการในปีนี้ให้ครึ่งหนึ่ง แต่ต้องชดเชยในปีหน้า ฝ่าบาทและใต้เท้าทุกท่านคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
จักรพรรดิหย่งซิ่งแอบถอนหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทางด้านรายละเอียดปลีกย่อยนั้น มอบให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหงลูหารือกับท่านทูตจีเถิด”
รายละเอียดปลีกย่อยที่กล่าวถึงนั้นก็คือการต่อรองราคาต่อ และโต้เถียงกันอย่างสะเปะสะปะ
การอภิปรายงานราชการหน้าท้องประโรง ถกปัญหากันคร่าวๆ เท่านั้น ไม่พูดถึงข้อปลีกย่อย
สวี่หยวนซวงฟังอยู่เงียบๆ พอจะจับอุบายของจีหย่วนได้ เมื่อคืนจีหย่วนกับเก่อเหวินเซวียนใช้หอยสังข์กระแสจิตถกปัญหา วิเคราะห์จิตใจจักรพรรดิต้าฟ่งกับบรรดาขุนนาง และความสามารถในการแบกรับโดยคร่าวๆ มาก่อนแล้ว
ข้อสรุปที่ได้คือ ขีดจำกัดอยู่ที่ระหว่างสองแสนถึงสองแสนห้าหมื่นตำลึงเงิน (ผ้าไหมคิดแยก)
ระหว่างทางสวี่หยวนซวงยังคิดอยู่ว่า บางทีเงื่อนไขแรกอาจเป็น ‘สงครามที่ดุเดือดรุนแรง’ แต่ด้วยคารมของพี่เก้าคิดว่าคงไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ตอนนี้ถึงมองออกว่าตนเองยังประเมินจีหย่วนต่ำเกินไป
‘เหตุใดเขาถึงประมาณการได้แม่นยำเช่นนี้…’ สวี่หยวนซวงใจเต้น เดาว่าคงเกี่ยวข้องกับการวางมาดใหญ่โตเพื่อหยั่งเชิงที่นอกเมืองหลวงเมื่อวาน
หลังจากจัดการเงื่อนไขแรกเป็นที่เรียบร้อยในขั้นแรกแล้ว จีหย่วนก็กล่าวต่อ
“เงื่อนไขข้อที่สอง เสด็จพ่อหวังว่าฝ่าบาทจะทรงติดประกาศอย่างกว้างขวางว่ายอมรับเชื้อสายอวิ๋นโจวเราเป็นระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลาง”
บรรดาขุนนางกลับสงบกับเรื่องนี้มาก ไม่มีใครก้าวออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหน้าบึ้งตึงเสียงดังลั่น
“รังแกเกินไปแล้ว!”
เฉียนชินอ๋อง พระอนุชาของจักรพรรดิหยวนจิ่งก้าวออกไปและจ้องมองจีหย่วนด้วยโทสะ เขาตะคอกออกมา
“กบฏอย่างพวกเจ้าควรคู่ควรกับระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลางหรือ ก็แค่โจรผู้ร้ายที่ยึดครองภูเขาเพื่อประกาศตัวเป็นราชาเท่านั้น”
ในบัดดลนั้นก็มีจวิ้นอ๋องและชินอ๋องสองสามพระองค์ก้าวออกมาผสมโรงด้วย
ซึ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองแตกต่างจากบรรดาขุนนางอย่างสิ้นเชิง ลักษณะท่าทางของเชื้อพระวงศ์ดูดุเดือดมาก เชื้อสายที่ราบกลางนับว่าเป็นระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลาง แล้วพวกเราล่ะ พวกเราเป็นกบฏหรือ
หากจะสืบสาวราวเรื่องถึงแก่นแท้ให้ได้ มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เพราะอย่างนี้ เชื้อพระวงศ์ต้าฟ่งถึงไม่ตอบตกลงและยอมให้อย่างเด็ดขาด
จีหย่วนมีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา เขากวาดสายตามองชินอ๋องและจวิ้นอ๋องสองสามพระองค์ก่อนกล่าวเรียบๆ
“ปีนั้นจักรพรรดิอู่จงได้บัลลังก์มาได้อย่างไร ทุกท่านยังไม่รู้อยู่แก่ใจหรอกหรือ พวกเราก็แค่ต้องการตำแหน่งฐานะของตนเองคืน ซึ่งเป็นเรื่องตามหลักธรรมดาของมนุษย์”
ชินอ๋องที่ก้าวออกมาเมื่อครู่กล่าวตำหนิ
“ห้าร้อยปีก่อน ทรราชไร้ศีลธรรม สนิทชิดเชื้อกับคนต่ำทราม ออกห่างจากขุนนางที่มีคุณธรรม ทำลายล้างบุคคลที่ซื่อสัตย์และซื่อตรง เพื่อปกป้องรากฐานของบรรพบุรุษ จักรพรรดิอู่จงจึงยืดอกสู้อย่างองอาจ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามเจตนาของประชาชน”
จีหย่วนพูดเสียงดังแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
“อดีตจักรพรรดิหยวนจิ่งโง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถ ลุ่มหลงอยู่กับความงดงามของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ บำเพ็ญเต๋ายี่สิบปีโดยไม่สนใจบริหารบ้านเมือง ส่งผลให้บ้านเมืองไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ เชื้อสายอวิ๋นโจวของข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นรากฐานของบรรพบุรุษถูกทำลายด้วยมือของทรราช ประชาชนลุกฮือขึ้นก่อการก็เป็นเรื่องหลักธรรมชาติแห่งสวรรค์ เป็นการปฏิบัติตามเจตนาของประชาชน”
ชินอ๋องและจวิ้นอ๋องสองสามพระองค์เดือดเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา
“พูดจาบ้าระห่ำ! ฝ่าบาท เจ้าเด็กนี่ควรถูกประหาร!”
หากให้บรรดาขุนนางมาเลือก นี่เป็นเงื่อนไขที่สามารถตอบตกลงได้โดยไม่ลังเล เพราะไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นแก่นสาร
แน่นอน ก็ใช่ว่าจะไม่มีค่าตอบแทน
พอราชสำนักตอบตกลงเรื่องนี้ ฝ่ายกบฏอวิ๋นโจวก็จะกลายเป็น ‘ผู้ชอบธรรม’ ส่วนประชาชนจะกลับไปสวามิภักดิ์หรือไม่นั้นยังเป็นแค่เรื่องรอง กลัวก็แต่คหบดีเจ้าของที่ดินในชนบทเหล่านั้น และข้าราชการท้องถิ่นจะมีเหตุผลอย่างเต็มปากเต็มคำในการแปรพักตร์ไปบากหน้าพึ่งอาศัยอวิ๋นโจว
ในเมื่อเป็นระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลาง เช่นนั้นก็ไม่นับว่าทรยศ ต่อให้อยากเป็นทหารที่ซื่อสัตย์และยอมพลีชีพเพื่อชาติ ยอมตายแต่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ยังยาก
แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล็กๆ เท่านั้น เพราะสถานการณ์ของต้าฟ่งในขณะนี้ ต่อให้รบก็ไม่ชนะ ในเมื่อเอาชนะไม่ได้ เรื่องที่บรรดาข้าราชการจะแปรพักตร์บากหน้าไปพึ่งอาศัยก็เป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น
บรรดาขุนนางไม่ได้รู้สึกขัดอารมณ์กับเรื่องนี้มากนัก
แต่ในสายตาของเชื้อพระวงศ์ การยอมรับอวิ๋นโจวเป็นระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ในที่ราบกลาง เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากกว่าการเสียเงินห้าแสนตำลึงเงิน เพราะนี่คือการทรยศบรรพบุรุษ
จักรพรรดิหย่งซิ่งขมวดคิ้วและกล่าวช้าๆ
“เรื่องนี้ค่อยหารือกันทีหลัง!”
เขาไม่คิดจะทำการตัดสินใจตอนนี้ ถึงอย่างไรการหารือหน้าท้องพระโรงคือการกำหนดแนวคิดพื้นฐานหลัก การเจรจากันระหว่างสองเมืองเกี่ยวพันถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่ซับซ้อน ไม่สามารถบรรลุผลในระยะเวลาอันสั้นได้
ไหนเลยจะคาดคิดว่าจีหย่วนจะมีแนวโน้มมาแรงมาก เขาส่ายหน้ากล่าว
“ก่อนมา เสด็จพ่อกำชับเป็นพิเศษว่า หากฝ่าบาทไม่ตอบรับในเรื่องนี้ ก็ไม่ต้องเจรจาสงบศึกต่อแล้ว”
นี่เท่ากับว่าปิดการสนทนา
‘หย่งซิ่ง ถ้าเจ้าไม่ตอบตกลง ก็หยุดชะงักการเจรจาสงบศึกกลางคัน อวิ๋นโจวจะไม่ยอมอ่อนข้อในเรื่องนี้เด็ดขาด’
“คิดเพ้อฝันไปแล้ว!”
อวี้อ๋องก็ก้าวออกมากล่าวเสียงทุ้ม
“ข้าเองก็บอกเจ้าได้ว่า เรื่องนี้ราชสำนักจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน”
จีหย่วนยืนเอามือไพล่หลัง และทอดถอนใจกล่าว
“ข้ายอมอ่อนข้อเรื่องเครื่องบรรณาการถึงขนาดนี้ ซึ่งไว้หน้าราชสำนักมากแล้ว ไม่คิดว่าจะได้รับผลตอบแทนเช่นนี้”
สีหน้าเขาอึมครึมขึ้นมาเละกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“พวกเจ้าไม่กลัวกองกำลังทหารม้าหนึ่งแสนนานของพวกข้าหรือ!”
ใช้เหตุผลครอบงำก่อนแล้วค่อยใช้อำนาจ จากนั้นก็ยืดเอวและขับดุนให้เห็นว่าบรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องนั้นเถียงข้างๆ คูๆ ไม่รู้จักว่านี่เป็นการให้เกียรติ
จวิ้นอ๋องคนหนึ่งตะคอกออกมา
“เช่นนั้นก็สังหารเจ้าเซ่นไหว้ธงชาติ!”
จีหย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ
“หากข้ากลัวตายคงไม่เข้ามาเมืองหลวงหรอก”
ที่จริงจุดประสงค์แท้จริงของการเจรจาสงบศึกในครั้งนี้ คือการบีบต้าฟ่งให้แบ่งดินแดนให้โดยที่ดาบไม่ต้องเปื้อนเลือด แย่งชิงเขตอิทธิพลคือเป้าหมายสำคัญของอวิ๋นโจว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง