ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 740

บทที่ 740 ก่อกบฏ (2)

การประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น

ยามเหม่า (05.00 – 06.59 น.) สีของท้องฟ้าดำขลับ เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารพร้อมด้วยขุนนางระดับต่างๆ ผ่านเข้าประตูด้านทิศตะวันออกกับทิศตะวันตก และข้ามสะพานจินสุ่ยอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ขุนนางในเมืองหลวงรอข้าราชการทั้งหลายก้าวเข้าตำหนักกระดิ่งทองอยู่ตามบันไดหน้าบัลลังก์ ขั้นบันไดและจัตุรัส

การประชุมราชสำนักช่วงเช้าของวันนี้จัดขึ้นเพื่อคณะทูตอวิ๋นโจวโดยเฉพาะ ตัวละครหลักคือจีหย่วนและกลุ่มผู้ติดตาม

‘คณะเจรจา’ ซึ่งสวมชุดข้าราชการอวิ๋นโจวยี่สิบกว่าคน เดินยกเท้าสูงก้าวเข้าตำหนักกระดิ่งทองอย่างผึ่งผายด้วยความทรงอำนาจและความทะนงของผู้มีชัย

จักรพรรดิหย่งซิ่งนั่งอยู่บนที่สูง หลังจากสนทนาอย่างไม่เจ็บไม่คันไม่กี่ประโยคก็ให้คนแลกเปลี่ยนหนังสือสัญญา

“เป็นบุญคุณที่ฝ่าบาทและใต้เท้าทั้งหลายให้การต้อนรับอย่างดี ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้ทางข้าสบายใจอย่างยิ่ง”

จีหย่วนน้อมคำนับจักรพรรดิหย่งซิ่งและขุนนางทั้งหลายด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

สีหน้าของบรรดาขุนนางภายในตำหนักกระดิ่งทองไม่น่าดูนัก ทำได้เพียงแสร้งมองไม่เห็นการเย้าหยอกบนใบหน้าของเขาและความหยิ่งยโสที่แสดงให้เห็นอย่างกำเริบเสิบสาน

“จริงสิ พักนี้ความแค้นเคืองประชาชนในเมืองหลวงเดือดพล่าน ด่าประจานราชสำนักและฝ่าบาทอย่างโจ่งแจ้ง ข้าน้อยขอแนะนำว่าควรฆ่าเสียเลยเพื่อตักเตือนไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง” จีหย่วนเอ่ยยิ้ม

สวี่หยวนซวงซึ่งอยู่ข้างๆ นึกขึ้นได้ว่า ไม่กี่วันมานี้พี่เก้ามักจะสืบข่าวคราวชาวบ้าน ฟังข่าวคราวผู้คนในเมืองหลวงและบัณฑิตราชวิทยาลัยด่าคณะทูตอวิ๋นโจวและสายเลือดเมืองเฉียนหลงทุกวัน ในขณะนั้นมือของเขากำลังโบกพัด ดูเหมือนว่าไม่สนใจแม้แต่น้อย

ที่แท้ก็แอบจำไว้ในใจแล้ว

ขณะนี้จักรพรรดิหย่งซิ่งเพียงต้องการส่งคณะทูตอวิ๋นโจวไปให้เร็วที่สุด จึงเอ่ยว่า

“ท่านทูตจีไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล ข้าจะจัดการด้วยตนเอง นอกจากนี้ ได้จัดเตรียมตำลึงเงินและแพรไหมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ท่านทูตจีนำไปได้”

ในส่วนของการแบ่งดินแดน ยังมีงานให้ทำอีกมากต่อจากนี้ อย่างเช่นการแจ้งฝ่ายราชการท้องถิ่น การถอนกำลังตระกูลเสนาบดีเล็กรวมไปถึงกองทัพท้องถิ่นและเรื่องอื่นๆ

เป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จในทันที

“เช่นนั้นก็ขอบคุณฝ่าบาท…”

หลังจากสิ้นเสียงจีหย่วน เสียง ‘โครม’ ดังขึ้นในทันใด เสียงปืนใหญ่ดังมาจากไกลๆ ตามมาด้วยเสียงกลองระรัวดังขึ้นมาพร้อมกัน ซึ่งมาจากทางประตูวัง

มวลชลในพระราชวังกลัวจนหน้าถอดสี หนึ่งในนั้นมีคณะทูตที่อวิ๋นโจวที่จีหย่วนเป็นตัวแทน

ดันเกิดเรื่องในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

ความตื่นตระหนกในดวงตาของจักรพรรดิหย่งซิ่งหายวับไป ฝืนทำเป็นไม่สะทกสะท้าน แล้วมองไปยังจ้าวเสวียนเจิ้นพร้อมเอ่ยว่า

“ไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”

จ้าวเสวียนเจิ้นรับคำสั่งแล้วออกไป เขาก้าวออกจากตำหนักกระดิ่งทอง และมองไปยังจัตุรัสนอกพระราชวัง ขุนนางด้านล่างล้วนตกอยูในความชุลมุน สีหน้าตื่นกลัว ราชองครักษ์ในพระราชวังบางส่วนกรูกันไปยังประตูวัง บางส่วนวิ่งไปที่ตำหนักกระดิ่งทองเพื่อคุ้มกันฝ่าบาทและบรรดาขุนนาง

ภายในตำหนักกระดิ่งทอง จีหย่วนหน้านิ่วคิ้วขมวด จับพัดกระดูกเงินไว้แน่นโดยไม่พูดไม่จา

ส่วนสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหว คนแรกขมวดคิ้ว อีกคนมองไปข้างนอกอย่างถี่ยิบ

เจ้าหน้าที่พลเรือน ทหารและสมาชิกราชวงศ์ในสำนักจ้องมองซึ่งกันและกันโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

จนกระทั่งจ้าวเสวียนเจิ้นวิ่งกลับมาอย่างแทบบ้า เขาวิ่งยกชายเสื้อคลุมเหมือนสุนัขข้างถนน และเอ่ยกรีดร้องว่า

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วๆ …”

“ฝ่าบาท กองทัพกบฏบุกมาแล้ว”

ผู้คนในวังสีหน้าเปลี่ยน พร้อมมองไปยังจีหย่วนด้วยจิตสำนึก ตั้งแต่อวิ๋นโจวเริ่มก่อเรื่อง คำว่า ‘กองทัพกบฏ’ ก็มีความเกี่ยวพันกับอวิ๋นโจว และได้ยินมาสองเดือนกว่า การตอบสนองโดยสัญชาตญาณเมื่อได้ยินคำว่ากองทัพกบฏจึงหมายถึง กองทัพกบฏอวิ๋นโจวเข้าโจมตีเมืองหลวง

จีหย่วนและคนอื่นๆ ชะงักไปเล็กน้อย

ก่อนได้ยินเสียงจ้าวเสวียนเจิ้นหายใจหอบหืดในชั่วประเดี๋ยวนั้น และเอ่ยต่อว่า

“กวาดล้างคนเลวข้างองค์จักรพรรดิ”

เสียงอื้ออึงกระพือขึ้นในวังอีกครั้ง จักรพรรดิหย่งซิ่งมองไปยังที่ที่สมาชิกราชวงศ์อยู่ในทันควันพร้อมด้วยความอ้ำอึ้ง เนื่องจากเขาเห็นเหยียนชินอ๋อง

หากกล่าวตามเหตุผล เหยียนชินอ๋องไม่ควรอยู่ที่นี่ในตอนนี้ถึงจะถูก หรือว่าไม่ใช่เขา

บรรดาชินอ๋องและจวิ้นอ๋องกำลังมองเหยียนชินอ๋องด้วยสายตาประหลาดเช่นเดียวกัน ในบรรดาขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบ มีผู้บำเพ็ญตนจำนวนหนึ่งเข้าประชิดเหยียนชินอ๋องอย่างไร้สุ้มเสียง

หากจะให้กล่าวว่าในราชสำนักมีใครที่กล้าและสามารถก่อกบฏได้ คงเหลือเพียงชินอ๋องที่ไทเฮาผู้นี้ให้กำเนิดแล้ว

ทุกคนล้วนเข้าใจหลักการจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรก่อน

เหยียนชินอ๋องตะลึง

“อะไรคือการบุกเข้ามา มีการโจมตีประตูวังหรือ”

ในบรรดาขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบ กั๋วกงคนหนึ่งก้าวออกจากแถว และเอ่ยขณะจ้องจ้าวเสวียนเจิ้นอย่างเหี้ยมโหดว่า

“บอกมาให้หมด”

ขณะที่จ้าวเสวียนเจิ้นซึ่งมีใบหน้าซีดขาวกำลังจะเอ่ย พลันได้ยินเสียงเข่นฆ่าร้องห่ม เสียงคมอาวุธปะทะกันและเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังมา

ตอนนี้คงไม่ต้องบอกแล้ว

กองทัพกบฏมีผู้ซุกซ่อนอยู่ภายในและมีขนาดไม่เล็กทีเดียว…ผู้คนในวังวินิจฉัยในทันที

ผู้ที่ปกป้องประตูวังคือทหารรักษาวัง ส่วนผู้ที่ปกป้องเขตพระราชฐานคือสิบสององครักษ์ ไม่มีกองทัพใดๆ สามารถโจมตีเขตพระราชฐานและประตูวังอย่างต่อเนื่องในเวลาอันสั้นเช่นนี้ นอกจากว่ากองทัพกบฏจะเป็นสิบสององครักษ์และทหารรักษาวังเสียเอง

ผู้ใดกันที่สามารถปลุกระดมกองทัพกบฏและสิบสององครักษ์แห่งเมืองหลวง

ระหว่างที่ความคิดของผู้คนกำลังผุดระยับ เสียงเข่นข้าร้องห่มยิ่งใกล้เข้ามา จนกระทั่งมีทหารรักษาพระองค์ในวังส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาและล้มคะมำเข้ามาในตำหนักกระดิ่งทอง

นอกประตูวัง เงาคนวับแวบ ผู้ที่คนนำฝ่าเข้ามาคือฆ้องทองคำสองคนซึ่งสวมชุดคนเคาะยามบอกเวลาที่ขาดรุ่งริ่ง และหยางเยี่ยนที่สวมเกราะเบาพร้อมถือหอกยาว ถัดไปอีกข้างหลังมีฆ้องเงิน ฆ้องทองแดง หน่วยองครักษ์ราชวัลลภรวมไปถึงกองดาบและคนอื่นๆ

สมาชิกสับสนปนเปไปหมด แต่พวกเขาล้วนรัดแพรสีแดงไว้ที่แขน

พวกเขาชูดาบที่อาบเลือดขึ้น และมัดบรรดาข้าราชการ ราชนิกุลและขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบไว้เป็นกลุ่มๆ

“หยางเยี่ยน”

จวิ้นอ๋องผู้หนึ่งจำเขาได้ และกล่าวด้วยความตื่นตระหนกและโมโหว่า

“เจ้าโจรกบฏ เจ้ากล้าวางแผนทรยศ ไม่กลัวโทษประหารเก้าชั่วโคตรหรือ”

จักรพรรดิหย่งซิ่งระงับความรู้สึกทั้งหมดไว้ เขายันโต๊ะลุกขึ้นโดยคงความเยือกเย็นของจักรพรรดิเอาไว้ แล้วมองเหยียนชินอ๋องครู่หนึ่ง ก่อนหันไปทางหยางเยี่ยนและฆ้องทองคำ เขาเอ่ยอย่างฝืนสงบสติอารมณ์ว่า

“นายของพวกเจ้าคือใคร”

และในขณะเดียวกันนี้ ขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบสองคนข้างๆ ได้ปิดปากเหยียนชินอ๋องไว้

เมื่อเห็นหยางเยี่ยนและฆ้องทองคำปรากฏตัว ผู้ที่มีสายตาเฉียบคมก็รู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใคร

ในตอนแรกพรรคพวกของเว่ยเยวียนเหล่านี้สนับสนุนพระราชโอรสที่สี่

หลังจากสวี่ชีอันสังหารจักรพรรดิเจินเต๋อ หากเว่ยเยวียนไม่ตายไปเสียก่อน ผู้ที่ขึ้นครองราชย์คงไม่ใช่องค์รัชทายาทอย่างแน่นอน แต่เป็นพระราชโอรสที่สี่ในตอนแรก

จีหย่วนไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจในช่วงกุญแจสำคัญอย่างอยู่เป็น และถือพัดพับมองอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ

“คุณชายเก้า ราชสำนักต้าฟ่งเกิดความวุ่นวายภายใน”

ขุนนางชุดแดงคนหนึ่งเอ่ยด้วยความกึ่งดีใจกึ่งกังวล

สิ่งนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของพวกเขา หากการเจรจาสงบศึกสามารถทำให้ราชสำนักเกิดความวุ่นวายภายใน เช่นนั้นไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จล้วนไม่สำคัญแล้ว และดียิ่งกว่าผลการเจรจาสำเร็จเสียอีก

หากส่วนกลางตกอยู่ในความโกลาหล ราชสำนักต้าฟ่งจะพังทลายและแหลกสลายด้วยความเร็วที่ทำให้ผู้คนเป็นต้องแปลกใจ

ซึ่งแน่นอนว่า ความปลอดภัยของชีวิตคณะทูตก็จะไม่ได้รับหลักประกันเท่าที่ควร ทุกคนจึงดีใจกึ่งกังวล

“สังเกตสถานการณ์เงียบๆ” ขุนนางชุดแดงอีกคนเอ่ยเบาๆ

“ไม่ว่าใครแพ้หรือชนะ หากไม่อยากให้ประเทศชาติล่มสลาย คงต้องเกรงอกเกรงใจพวกเราเป็นแน่”

หากอิงตามสถานการณ์ของต้าฟ่งในปัจจุบัน การฉีกหน้าอวิ๋นโจวเป็นหนทางแห่งความพินาศ ผู้ที่ก่อกบฏคงมองไม่เห็นความจริงที่ว่านี้

“นี่ นี่มันไม่เกี่ยวกับข้า…”

เหยียนชินอ๋องเป็นผู้บำเพ็ญตนระดับหลอมปราณ การถูกขุนนางระดับสูงที่มีความดีความชอบซึ่งมีตบะสูงล้ำสองคนคุมตัวไว้ จึงไร้ความสามารถในการขัดขืนแม้เพียงเล็กน้อย

ขณะนี้ เสียงเข่นฆ่าโรมรันนอกวังหยุดลงราวกับรู้ผลแพ้ชนะแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง