บทที่ 741 เป็นจักรพรรดิ
‘ถ้าเจ้าไม่สละราชสมบัติ จะมีจุดจบเหมือนกับจักรพรรดิพระองค์ก่อน…’ ในสมองของจักรพรรดิหย่งซิ่งดัง ‘หึ่งๆ’ ภาพเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดที่จักรพรรดิหยวนจิ่งตายแบบชิ้นส่วนศพไม่ครบปรากฏขึ้นในสมอง
ภายในตำหนักกระดิ่งทอง เงียบไปครู่หนึ่ง เงียบจนไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกา
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่สวี่ชีอัน ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่มีใครตะคอกเสียงดัง ไม่มีใครคัดค้าน
ต้าฟ่งในเวลานี้ หากยังมีใครที่กล้าสังหารกษัตริย์ และพูดได้ทำได้ สวี่ชีอันที่อยู่ต่อหน้านับเป็นคนหนึ่งในนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง อวี้อ๋องสีพระพักตร์ไม่พอพระทัย ทรงพระดำเนินออกมา รับสั่งเตือนว่า
“สวี่ชีอัน ต้าฟ่งสถานการณ์ไม่สงบ เกิดความไม่สงบทั้งภายในและภายนอก ทนต่อความวุ่นวายไม่ไหวอีกแล้ว คิดถึงที่ผ่านมาที่ทางราชสำนักได้อุปถัมภ์และอภัยโทษเจ้าด้วยเถิด”
อวี้อ๋องทรงรู้ตัวเองว่าแม้จะไม่มีบุญคุณในการอุ้มชูสวี่ชีอันมาก่อน แต่ก็นับว่าเคยช่วยเหลือเขาหลายครั้ง ดังนั้นจึงได้ทรงออกมาตักเตือน
“ใช่แล้ว!”
ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลต้าหลี่กลืนน้ำลาย รวบรวมความกล้า พูดเสียงดังว่า
“สวี่ชีอัน เจ้าเป็นคนสนิทที่เว่ยเยวียนไว้วางใจ เว่ยเยวียนตั้งใจประคับประคองบ้านเมือง และสร้างสันติสุขให้กับราษฎรในที่ราบลุ่มภาคกลาง เจ้าทำให้เขาผิดหวังได้หรือ ผลักราชสำนักลงสู่ห้วงน้ำลึกอย่างไม่สามารถช่วยเหลือได้ด้วยมือของตัวเองอย่างนั้นหรือ”
มีการเริ่มต้นของคนทั้งสอง บรรดาขุนนางที่สนับสนุนจักรพรรดิหย่งซิ่งก็พากันตักเตือน
ในสายตาของพวกเขา สวี่ชีอันเป็นทหารที่ไม่มีความกลัวเกรงใดๆ อย่างแท้จริง แต่เขาก็ไม่ใช่คนพาลที่โหดเหี้ยมอย่างแน่นอน ตรงกันข้าม สิ่งที่เขาได้ทำในอดีต ไม่ว่าใครก็สามารถสรรเสริญความกล้าหาญได้
ดังนั้น พวกเขาเชื่อว่า ขอเพียงมีเหตุมีผล ยึดหลักสัจธรรม ก็จะสามารถสร้างแรงกดดันให้สวี่ชีอันได้
สำหรับสุภาพบุรุษสามารถใช้วิธีที่สมเหตุสมผลหลอกลวงเขาได้!
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงเหมือนสัตว์ที่ถูกต้อนจนจนมุม ทรงกระโดดขึ้นจากพระราชอาสน์อย่างรวดเร็ว ทรงชี้ไปที่สวี่ชีอัน ทรงคำรามด้วยสีพระพักตร์เหมือนคนวิกลจริตว่า
“เจ้าจะบังคับให้ข้าสละราชสมบัติ?
“สวี่ชีอัน ข้าเชื่อใจ ไว้วางใจเจ้าเช่นนี้ แล้วยังอนุญาตให้หลินอันอภิเษกสมรสกับเจ้า เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้? เจ้าไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะร่ำลือออกไป ชื่อเสียงฆ้องเงินสวี่ของเจ้าจะสูญสิ้นไปในวันใดวันหนึ่งหรือ ต่อไปในประวัติศาสตร์ย่อมจารึกถึงเจ้าในทางไม่ดี ไม่กลัวจะฉาวโฉ่เป็นหมื่นๆ หรือ”
ขนาดกระต่ายที่โกรธเคืองยังกัดคนได้ นับประสาอะไรกับจักรพรรดิ
“ถ้ากระหม่อมต้องการที่จะแต่งงานกับหลินอัน ก็ย่อมแต่งได้ เหตุใดต้องให้พระองค์อนุญาตให้แต่งงานด้วย”
สวี่ชีอันคว้าหอกยาวในมือหยางเยี่ยน แล้วสะบัดข้อมือครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเสียง “ปัง” หอกยาวพุ่งทะยานออกไป ติดชายฉลองพระองค์ของจักรพรรดิหย่งซิ่ง แทงทะลุพระราชอาสน์ที่อยู่ด้านหลัง
จักรพรรดิหย่งซิ่งทรงล้มลงประทับกับพื้น รูม่านตาหรี่ลง ร่างกายสั่นเล็กน้อย
ชั่วเวลาฉับพลันเมื่อครู่ พระองค์สัมผัสได้ถึงความเหี้ยมโหด หอกนี้ ราวกับแทงทะลุพระอุระของพระองค์
‘เขาต้องการสังหารข้าจริงๆ…’ ความกลัวที่ใหญ่หลวงระเบิดในพระราชหฤทัยของจักรพรรดิหย่งซิ่ง
“อย่า!”
ภายในตำหนัก เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นรอบๆ
อวี้อ๋องและคนอื่นๆ ต่างพากันตกใจ ชินอ๋องพระองค์หนึ่งเคียดแค้นสุดขีด ด่าทอออกมาจนหมดสิ้น
“สวี่ชีอัน จักรพรรดิของต้าฟ่งจะเพิกถอนหรือแต่งตั้ง ถึงคราวเจ้าตัดสินใจตั้งแต่เมื่อไร”
“ในสายตาของเจ้ามีราชสำนักอยู่หรือไม่ มีพระราชวงศ์อยู่หรือไม่”
สีพระพักตร์ของชินอ๋องและจวิ้นอ๋องทุกพระองค์เขียวคล้ำ รู้สึกอัปยศอดสูและโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง
อัปยศอดสูอย่างยิ่ง!
ต้าฟ่งสถาปนาบ้านเมืองมาหกร้อยปี ไม่เคยมีใครที่จะใจกล้าขนาดนี้ แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ไม่มีท่าทางก้าวร้าวใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ มองพระราชวงศ์เหมือนมด
อยากจะสังหารจักรพรรดิพระองค์ก่อนก็สังหาร ถึงแม้ว่าจักรพรรดิพระองค์ก่อนสมควรตายก็จริง แต่อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นว่าพระราชวงศ์อ่อนแอ และแสดงให้เห็นว่าสวี่ชีอันไม่เห็นพระราชวงศ์อยู่ในสายตา
กระทั่งมองเป็นหุ่นกระบอกที่บงการได้ตามแต่ใจ
ศักดิ์ศรีอยู่ที่ไหน
สวี่ชีอันเดินช้าๆ ไปที่พระราชอาสน์ มองไปที่อวี้อ๋องและสมาชิกในพระราชวงศ์คนอื่นๆ แล้วพูดว่า
“หยวนจิ่งโง่เขลาไร้คุณธรรม ทรยศบรรพชน ทรยศราษฎร ดังนั้น ข้าจึงสังหารพระองค์ หลังจากหยวนจิ่งสวรรคตไปแล้ว ก็เกิดภัยหนาวโหมกระหน่ำ ทหารกบฏของอวิ๋นโจว ถือโอกาสที่กำลังได้เปรียบก่อการกบฏ หย่งซิ่งอ่อนแอและกลัวจะเกิดเรื่อง เพื่อรักษาสถานะของตนเองไว้ จึงแบ่งดินแดนและขอสงบศึก แม้แต่บรรพชนก็ยังทอดทิ้งได้ พวกเจ้าคิดว่าจักรพรรดิที่ไร้ความสามารถเช่นนี้ จะสามารถประคับประคองราชสำนักที่ล่อแหลมอันตรายได้จริงๆ หรือ”
“จักรพรรดิเกาจู่ผ่านความยากลำบากมาหลายครั้ง จึงสร้างรากฐานผืนนี้ได้ พวกเจ้าแข็งใจมองดูมันถูกทำลายด้วยน้ำมือของหย่งซิ่ง?
“ทำไมเหล่าขุนนางในตำหนักจึงยอมอยู่ข้างข้า เพราะเหตุใดพรรคหวางและพรรคเว่ยที่เหมือนน้ำกับไฟ กลับยอมที่จะกำจัดความขัดแย้งระหว่างกันในเวลานี้? ทำไมพวกทหารข้างนอก จึงเต็มใจที่จะผูกหัวไว้กับผ้าคาดเอว ก็จะต้องบังคับให้หย่งซิ่งสละราชสมบัติให้ได้ ใครถูกใครผิด พวกเจ้าถามใจตัวเองดู ว่าใครกันแน่ที่ทอดทิ้งบรรพชน?”
อวี้อ๋องมีสีพระพักตร์สะเทือนใจเล็กน้อย ชินอ๋อง จวิ้นอ๋องที่อยู่ใกล้ๆ อยู่ข้างๆ พระวรกาย ต่างอ้าพระโอษฐ์ ราวกับคิดจะโต้แย้ง แต่กลับหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้
สวี่ชีอันยังคงมองเหล่าขุนนางไปรอบๆ กวาดตามองขุนนางที่สนับสนุนจักรพรรดิหย่งซิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ในสงครามชิงโจว ทหารและม้านับหมื่นตายในสนามรบ ต่อสู้กับทหารชั้นยอดของอวิ๋นโจวอย่างยากลำบาก แต่เหล่าขุนนางกลับใช้หนังสือราชการเพียงแผ่นเดียว เผาความพยายามของพวกเขาจนสิ้นซาก พวกท่านกินเงินเดือนราชสำนัก ทำเรื่องที่ผู้คนทำกัน?”
“คลังหลวงว่างเปล่า การจัดการค่าใช้จ่ายของกองทหารและการขับเคลื่อนราชสำนัก เดิมทีก็ลำบากยากเข็ญ เพื่อสันติสุขในเวลานี้ หย่งซิ่งตัดทางรอดด้วยตัวเอง เหล่าขุนนางไม่เพียงไม่ตักเตือน แต่กลับหวังว่าจะประสบความสำเร็จ จึงผลักดันให้เจรจาสงบศึกให้สำเร็จ ตำรานักปราชญ์เต็มท้อง กลับเสียเวลาอ่านโดยเปล่าประโยชน์”
“แบ่งอวี่โจวซึ่งอุดมไปด้วยแร่เหล็ก จางโจวซึ่งผลิตหญ้าแห้งสำหรับเลี้ยงม้า ส่งเสบียงอาหารและแร่เหล็กให้ทหารกบฏอวิ๋นโจว เกรงว่าต้าฟ่งจะสิ้นชาติเร็วไม่พอ หย่งซิ่งหลอกตัวเอง พวกเจ้าก็เหมือนกับเขา พวกใช้การไม่ได้!”
เสียงตวาดดังสะท้อนอยู่ภายในห้องโถง
ฆ้องทองแดงและฆ้องเงินที่ก่อกบฏตามสวี่ชีอัน และทหารทุกคนกำดาบในมือไว้แน่น จิตใจเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
ไม่กี่วันมานี้ เรื่องการเจรจาสงบศึกระหว่างราชสำนักและอวิ๋นโจว มีคำโจษจันแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง แต่สำหรับผู้ที่มีจิตใจรักความเป็นธรรมและเสียสละทุกคน ในใจล้วนไม่พอใจ
ตั้งแต่โบราณมาผู้ที่ไม่สามารถอยู่อย่างสงบก็จะพากันส่งเสียงออกมา
ในเวลานี้ ขุนนางบุ๋นก็เหมือนกับพระราชวงศ์ ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความละอายจากความแค้นใจ
แต่ขุนนางบุ๋นเชี่ยวชาญในการถกเถียง มีบางคนไม่ยินยอม จึงพูดเสียงต่ำว่่า
“แต่แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ตายแล้ว พวกเราจะมีวิธีการอะไร วันเวลานี้ นอกจากการเจรจาสงบศึกก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ยังมีใครสามารถต้านทานยอดฝีมือเหนือมนุษย์ของอวิ๋นโจวได้อีก”
สายตาทุกคู่มองไปที่สวี่ชีอัน ดูว่าเขาจะตอบอย่างไร
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีศักดิ์ศรี แต่เป็นเพราะต้าฟ่งกำลังตกอยู่ในภาวะอันตรายใหญ่หลวง การเลือกของพวกเขา เป็นเพราะสถานการณ์บังคับ จะไม่มีวันยอมรับคำพูดของสวี่ชีอันอย่างเด็ดขาด
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะลงมือเอง!”
น้ำเสียงของสวี่ชีอันสูงขึ้นทันที
“ให้ทหารแนวหน้าที่ฆ่าศัตรูลงมือ ให้ผู้ชายที่ยินดีที่จะพลีชีพเพื่อต้าฟ่งลงมือ ต้าฟ่งจะสิ้นชาติหรือรุ่งเรือง ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้ว ไม่ใช่การตัดสินใจของปัญญาชนที่ดูสุภาพแต่อ่อนแอเช่นพวกเจ้าที่เอาแต่ปะทะฝีปากกันอยู่ในราชสำนัก”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ “ทุกคน ข้ายินดีที่จะสู้ตายในสนามรบ เพื่อที่ราบลุ่มภาคกลาง เพื่อต้าฟ่ง!”
ภายในตำหนัก ทหารที่ถืออาวุธ ขานรับเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
“ข้ายินดีที่ติดตามฆ้องเงินสวี่ไปสู้ตายในสนามรบ!”
สวี่ชีอันหันไปมองขุนนางบุ๋น รอบๆ ตัว ยิ้มเยาะและพูดยั่วเย้าว่า
“ถ้าตัวข้าฆ้องเงินสู้จนตัวตายแล้ว ทหารของต้าฟ่งพ่ายแพ้ยับเยิน พวกเจ้าค่อยยอมจำนน ก็ยังไม่สายเกินไป”
ไม่มีใครพูดอีก
ในเวลานี้ สวี่ชีอันยื่นมือออกมาน้ำเสียงสงบ
“ตามมา!”
ด้านนอกตำหนัก แสงสีทองสาดส่องเข้ามา ส่งตัวเองเข้าไปในมือของสวี่ชีอัน
‘ดาบสยบดินแดน!’
มันยังคงเลือกสวี่ชีอันเช่นเดิม…ในเวลานี้ พระราชวงศ์ ขุนนางชั้นสูงและเหล่าขุนนางในตำหนักต่างจ้องมองกระบี่ของจักรพรรดิเกาจู่ อาวุธวิเศษที่ควบคุมชะตาบ้านเมืองหกร้อยปีด้วยความตื่นตะลึง
ในแววตาของพวกเขามีทั้งความตื่นตะลึง มีทั้งความจนใจ มีทั้งคิดทบทวน และมีทั้งความปลาบปลื้ม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง