ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 746

บทที่ 746 ขึ้นครองบัลลังก์

อารองสวี่กับสวี่หลิงเยวี่ยสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง จึงหันไปมองนอกห้องโถง

ในความมืด สวี่ชีอันสวมเสื้อคลุมสีคราม ในมือถือเหล้าขวดหนึ่ง เดินมาตรงแสงที่ส่องสว่างจากโคมไฟใต้ชายคา

ก้าวต่อมา เขาข้ามธรณีประตูและเข้าไปในห้องโถง

“หนิงเยี่ยน!”

ความปีติยินดีผุดให้เห็นบนใบหน้าของอารองสวี่ เขาพลันลุกขึ้นและเดินไปหาหลานชาย

อาสะใภ้กับหลิงเยวี่ยผุดยิ้ม ทว่าอาสะใภ้ก็แค่นเสียงในทันทีและวางท่าเย็นชา ขณะที่หลิงเยวี่ยดีอกดีใจเหมือนเด็กสาวตัวเล็กๆ ก่อนลุกขึ้นและเดินไปหาพี่ใหญ่ตามพ่อ

“อารอง ข้ากลับมาแล้ว”

สวี่ชีอันยิ้ม

ผู้ที่เดินทางไปไกลบ้านกลับมา เพียงแค่ ‘ข้ากลับมาแล้ว’ ประโยคเดียวก็เพียงพอแล้ว

“กลับมาก็ดีแล้ว” อารองสวี่ตบบ่าหลานชาย รับขวดเหล้าในมือเขา และหันไปพูดกับลวี่เอ๋อสาวใช้ส่วนตัวของอาสะใภ้ว่า

“เตรียมชามและตะเกียบให้ต้าหลางด้วย”

สวี่หลิงเยวี่ยได้โอกาสจึงเอ่ยเรียกอย่างนุ่มนวล

“พี่ใหญ่…”

น้ำเสียงค่อนข้างกระฉับกระเฉง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตอนนี้เด็กสาวกำลังมีความสุข

สวี่ชีอันพิศดูน้องสาวคนโตแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น

“ไม่ได้เจอกันระยะหนึ่ง เจ้าสวยขึ้นมากนะ”

นางที่สืบทอดความงามของอาสะใภ้มาอย่างสมบูรณ์แบบ มีหน้าตาโดดเด่น งดงามไร้ที่ติ องคาพยพงามประณีต

รอยยิ้มบนใบหน้าสวี่หลิงเยวี่ยอ่อนหวานขึ้น นางบ่นเสียงเบา

“วันนี้พี่ใหญ่จะกลับบ้าน เหตุใดไม่ส่งคนมาแจ้งล่วงหน้า ข้าจะได้ทำกับแกล้มที่พี่ใหญ่ชอบไว้ให้”

ทั้งสามคนนั่งลงที่โต๊ะทันที หลังจากลวี่เอ๋อนำชามกับตะเกียบมาให้ สวี่ชีอันกับอารองก็ดื่มเหล้าคุยเล่นกัน และเอ่ยถึงเอ้อร์หลางที่อยู่ห่างไกลในยงโจว

“หนิงเยี่ยน ในเมื่อเจ้ากลับมายังเมืองหลวง เจ้าคงรู้เรื่องข่าวการล่มสลายของชิงโจวแล้ว”

อารองสวี่ดื่มเหล้าอึกหนึ่งและกล่าวว่า

“เช่นนั้นก็คงไปเยี่ยมเอ้อร์หลางที่ยงโจวมาแล้วสินะ อาสะใภ้ของเจ้าเป็นกังวลเรื่องเอ้อร์หลางมาก ข้าบอกกับนางว่า หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเอ้อร์หลางจริงๆ เจ้าคงกลับมาแจ้งพวกเรานานแล้ว”

สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งค้างไปครู่หนึ่ง

“การล่มสลายของชิงโจวผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว หรือว่าอารองไม่ได้เขียนจดหมายไปถามสถานการณ์ของเอ้อร์หลาง”

สีหน้าของอารองสวี่แข็งค้างไปครู่หนึ่งเช่นกัน

อาหลานมองหน้ากันเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา

แม้จะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก แต่ความรู้สึกคุ้นเคยนี้มันอะไรกัน รู้สึกเหมือนเคยเกิดเรื่องที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อน…สวี่ชีอันครุ่นคิดครู่หนึ่งและเอ่ยว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามแห่งสำนักอวิ๋นลู่ล้วนอยู่ที่ยงโจว พวกเขาจะคอยดูแลเอ้อร์หลางอย่างดี”

อารองสวี่ทำได้เพียงปลอบใจตัวเองเช่นนั้นเหมือนกัน

“เจ้าพูดถูก”

เวลานี้เอง สวี่หลิงเยวี่ยสบโอกาสขัดจังหวะ จึงเอ่ยว่า

“พี่ใหญ่ เหตุใดบนตัวพี่ใหญ่ถึงมีกลิ่นเครื่องแป้งหรือ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อารองสวี่ก็ใช้สายตา ‘ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม’ มองมาทางหลานชายทันที

“เอ๊ะ กลิ่นแรงเช่นนั้นเชียวหรือ” สวี่ชีอันดมกลิ่นด้วยความประหลาดใจและพูดอย่างใจเย็น

“เมื่อครู่ข้าไปดื่มกับเพื่อนร่วมงานสองสามคนจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แล้วมีหญิงสาวมาร่วมโต๊ะด้วย แต่ใจข้าคิดเพียงอยากกลับมาหาอารองกับอาสะใภ้ แล้วก็น้องสาว จึงนั่งดื่มครู่หนึ่งแล้วกลับมา”

สวี่หลิงเยวี่ยร้อง ‘อ้อ’ แล้วคลี่ยิ้ม พึงพอใจกับคำตอบนี้อย่างมาก

เหตุผลหลักคือตอนกลางคืนไม่มีส้มเขียวขายแล้ว แถมหลิงอินก็ไม่อยู่บ้าน จึงไม่มีทางได้เห็นนางกินส้มเขียวพลางทำหน้าบูดบึ้ง…สวี่ชีอันพึมพำในใจ

เพราะสวี่หลิงเยวี่ยขัดจังหวะ ทุกคนจึงลืมเรื่องของเอ้อร์หลางไปอีกครั้ง

สวี่ผิงจื้อครุ่นคิดพักหนึ่งและกล่าวว่า

“ข้าได้ยินว่าองค์หญิงใหญ่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์”

สวี่ชีอันอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ รวมถึงเหตุผลที่ต้องปลดหย่งซิ่ง

“สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนัก”

อารองสวี่ถอนหายใจ

“หลังจากที่องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองบัลลังก์ เจ้ามีแผนการอย่างไร”

สวี่ชีอันครุ่นคิดและพินิจพิจารณา

“ข้าจะไปพบสวี่ผิงเฟิงที่ชิงโจวก่อน ท้าประลองกับเขาอย่างเป็นทางการ ศึกชี้เป็นชี้ตาย”

นี่คือสถานะอย่างเป็นทางการของเขาในฐานะผู้เดินหมาก ในนามของต้าฟ่งและตัวเขาเอง เขาจะท้าประลองกับอวิ๋นโจวและสวี่ผิงเฟิง

สวี่ผิงจื้อมีสีหน้าซับซ้อน ทั้งเศร้าโศก ทำอะไรไม่ถูก สะเทือนใจและเจ็บปวด เขาบ่นพึมพำ

“เลือดเนื้อเชื้อไขฆ่ากันเอง พ่อลูกฆ่ากันเอง เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…”

สวี่ชีอันส่ายศีรษะ

“อารอง เขาไม่ใช่พ่อของข้า ท่านต่างหากที่เป็นพ่อของข้า ระหว่างข้ากับเขา จำเป็นต้องแบ่งแยกความเป็นความตาย เขาไม่มีทางปล่อยข้าไว้ และข้าก็จะไม่ปล่อยเขาไว้เช่นกัน ข้าจะตามล่าเขาไปจนสุดขอบโลก ไม่ตายไม่เลิกรา”

เขารินเหล้าให้สวี่ผิงจื้อและพูดต่อ

“สวี่ผิงเฟิงไม่มีทางถอย เขารู้ว่าข้าจะไม่ปล่อยเขาไป แน่นอนว่าข้าเองก็เช่นกัน”

อาสะใภ้กล่าวว่า

“วันข้างหน้าข้าจะขอให้ตระกูลขีดฆ่าชื่อเขาและขับไล่เขาออกจากตระกูลสวี่”

อาสะใภ้สนับสนุนหลานชายอย่างไม่ลังเล แม้ว่าหลานชายคนนี้จะทั้งน่ารำคาญและพูดมาก แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูกที่นางเลี้ยงดูมา

สวี่ผิงเฟิงเป็นพี่ชายของสามี ไม่ใช่พี่ชายของนาง

“ขอบคุณอาสะใภ้”

สวี่ชีอันพูดออกมาตรงๆ อย่างหาได้ยาก ก่อนกล่าวต่อ

“อารอง ข้ายังมีน้องชายอีกหนึ่งคนกับน้องสาวอีกหนึ่งคนอยู่ที่อวิ๋นโจว ทั้งสองติดตามคณะทูตแห่งอวิ๋นโจวมายังเมืองหลวงครานี้ เพียงเพื่อทำให้ข้าอับอาย ตอนนี้ถูกข้าจับขังไว้ที่สำนักโหราจารย์”

เขาเล่าเรื่องของสวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหว รวมถึงการพบกันตอนอยู่ที่ยงโจวให้อารองฟัง

“ฟังดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ถึงอย่างไรก็เป็นสายเลือดของตระกูลสวี่” อารองสวี่พูดเสียงหนักแน่น

“หากเจ้ามีเวลาก็พาพวกเขากลับมาพบข้า อย่าทารุณพวกเขาล่ะ”

สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยขึ้นทันควัน

“ท่านพ่อ เหตุใดพี่ใหญ่ต้องทารุณพวกเขาด้วยล่ะ ถึงแม้พวกเขาจะมองพี่ใหญ่เป็นศัตรู ร่วมมือกับกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวเพื่อฆ่าพี่ใหญ่ และต่อต้านพี่ใหญ่ในทุกที่ แต่เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือด แม้ว่าพี่ใหญ่จะเจ็บช้ำเพียงใด ก็ไม่มีทางทำร้ายพวกเขาหรอก”

สวี่ผิงจื้อกำลังจะพยักหน้า แต่ถูกเสียงตบโต๊ะด้วยความโกรธของอาสะใภ้ทำให้ตกใจ

“หึ ก็ร้ายกาจทั้งคู่นั่นแหละ จะพากลับมาเพื่ออะไร”

อาสะใภ้เอ่ยอย่างโมโห “อย่าพากลับมาบ้านเชียว”

“อยู่ดีๆ เจ้าโกรธอะไรขึ้นมาน่ะ…” อารองสวี่พยายามคุยด้วยเหตุผลกับภรรยา

สวี่ชีอันมองน้องสาวคนโตและรีบพูดว่า

“เอาล่ะๆ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันเพราะพวกเขา อารอง ดื่มๆ”

สวี่หลิงเยวี่ยกล่าวอย่างอ่อนหวานว่า

“พี่ใหญ่ก็ดื่มด้วย”

และรินเหล้าให้เขาอย่างรู้ความ

‘พี่ใหญ่เห็นหรือไม่ น้องสาวที่มาจากอวิ๋นโจวคนนั้นแค่อยากทำร้ายพี่ใหญ่ ไม่เหมือนข้าที่รักพี่ใหญ่สุดหัวใจ’

ยามเหม่า ท้องฟ้าเริ่มสว่าง

เสียงตีกลองในพระราชวังดังขึ้น ประพันธ์เป็นท่วงทำนองอันงดงาม

พิธีขึ้นครองบัลลังก์จะวุ่นวายเป็นพิเศษ อันดับแรก เจ้ากรมพิธีการจะนำขุนนางบวงสรวงฟ้าดินแทนจักรพรรดิองค์ใหม่

หลังจากบวงสรวงฟ้าดินเสร็จ จักรพรรดิองค์ใหม่จะสวมชุดไว้ทุกข์เพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพบุรุษ

เมื่อเสร็จสิ้นทั้งสองขั้นตอนแล้ว พิธีขึ้นครองบัลลังก์ถึงจะเริ่มต้นขึ้น

เจ้ากรมพิธีการจะนำเจ้าหน้าที่กรมพิธีการไปยังหอสักการะฟ้า แท่นบูชาเกษตรและศาลบรรพบุรุษ เพื่อแจ้งให้ทวยเทพและวิญญาณวีรชนของจักรพรรดิแต่ละองค์ในอดีตทราบว่า จักรพรรดิองค์ใหม่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์

หลังจากกลับมา ดนตรีพิธีกรรมจะบรรเลงกึกก้อง เสียงระฆังอันตระหง่านดังก้องไปยังนอกตำหนักกระดิ่งทอง

ณ ตำหนักบูรพา

ด้วยการปรนนิบัติของเหล่านางข้าหลวง ฮว๋ายชิ่งสวมชุดโอรสสวรรค์

ลักษณะเครื่องแต่งกายประเภทนี้ซับซ้อนมาก ประกอบด้วยมงกุฎ ฉลองพระองค์ เสื้อสีดำ ผ้านุ่งสีแดง มงกุฎประดับทองคำ แขวนสายประคำหยกสิบสองเส้น

เสื้อผ้าท่อนบนปักลายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ขุนเขา มังกรและหงส์ฟ้า เสื้อผ้าท่อนล่างปักลายสาหร่าย อัคคี ธัญญาหาร จอกคู่ ขวานและเครื่องหมายผู้ทรงธรรม ทั้งหมดสิบสองลาย จึงเรียกว่าชุดสิบสองสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ

หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว นางข้าหลวงสองคนก็เคลื่อนกระจกสำริดที่สูงเท่าคนจริงมาวางด้านหน้าฮว๋ายชิ่ง

ในกระจกสำริด องค์หญิงใหญ่ทาแป้งบาง เขียวคิ้วหนา แสดงให้เห็นความห้าวหาญและเฉียบแหลม

เดิมทีนางเป็นหญิงสาวผู้เย็นชาและสูงส่ง เวลานี้สวมชุดสิบสองสัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ ศีรษะสวมมงกุฎสายประคำหยกสิบสองเส้น กลิ่นอายความหรูหราและสง่างามพวยพุ่งขึ้นมา

แม้แต่นางข้าหลวงใหญ่ที่ปกติแย้มยิ้มหวานหยาดเยิ้มก็ไม่กล้าหายใจในเวลานี้ นางค้อมศีรษะและหลุบตาลง ว่านอนสอนง่ายราวกับนกกระทา

หญิงสาวที่น่าเกรงขามเช่นนี้หาได้ยากในโลก

เจ้าหน้าที่กรมพิธีการคนหนึ่งก้าวเข้าไปในประตูตำหนักบูรพาและเอ่ยอย่างนอบน้อมหลังม่าน

ฮว๋ายชิ่งร้อง ‘อืม’ นางออกจากตำหนักบูรพาภายใต้การคุ้มกันของนางข้าหลวงกับขันที และมุ่งหน้าไปยังตำหนักกระดิ่งทองท่ามกลางเสียงระฆังอันตระหง่าน

หลังข้ามสะพานจินสุ่ย เดินผ่านจัตุรัส ฮว๋ายชิ่งเดินขึ้นบันไดพระราชวัง สายตาจับจ้องไปที่ตำหนักกระดิ่งทองตรงหน้า นางมองเห็นบัลลังก์สูงภายในท้องพระโรงอันเปล่งประกายรางๆ

สิ่งที่แวบเข้ามาในหัวของนางคือ หยวนจิ่งผู้มีนิสัยหวาดระแวงและไม่อาจทนต่อการกุมอำนาจของทายาทผู้มากความสามารถได้ เว่ยเยวียนผู้สำเร็จวิชาแก่กล้าที่มีจอนผมหงอกขาว ท่านโหราจารย์นักบุญอุปถัมภ์แห่งต้าฟ่งผู้วางแผนได้อย่างยอดเยี่ยมแม่นยำ หย่งซิ่งผู้อ่อนแอ ไร้ความสามารถและขาดความกล้าหาญ

เมื่อนางสะบัดแขนเสื้อกว้าง และนั่งลงบนบัลลังก์ ก็ไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตานางอีกต่อไป

มันจบแล้ว!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง