บทที่ 749 ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
นักบวชเต๋าจินเหลียนจัดให้มีศิษย์คอยสังเกตและสอบถามสถานการณ์ที่แท่นบูชาหลักนิกายปฐพีจากภายนอกอยู่เสมอ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่อยากให้เหล่าศิษย์ต้องมาเสี่ยงเพราะประมาทเผอเรอ ตราบใดที่พวกเขาให้ความสนใจกับสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในอาณาเขตรายรอบ พวกเขาย่อมเข้าใจการเคลื่อนไหวของเหล่ามารเต๋าในแท่นบูชาหลักของนิกายปฐพีได้คร่าวๆ
ก่อนอื่นเหล่ามารเต๋านิกายปฐพีก็ต้องกินเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องซื้ออาหารและเสบียงจากผู้คนในพื้นที่โดยรอบอย่างแน่นอน
ประการที่สอง เมื่อนักบวชลัทธิเต๋านิกายปฐพีเสื่อมทรามลงจนกลายเป็นปีศาจ ก็จำต้องใช้ระยะเวลาช่วงหนึ่งระบายความปรารถนาภายใน ซึ่งรวมถึงความปรารถนาทางกายและความกระหายเลือดอื่นๆ ออกมา
ในด้านความกระหายเลือด มารเต๋าแห่งนิกายปฐพีย่อมไม่สังหารผู้คนในอาณาเขตรายรอบ ดุจเดียวกับที่กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรังของมัน
แต่ในแง่จิตวิทยา มารเต๋านิกายปฐพีมักลงมาจากภูเขาเพื่อปล้นสะดมและข่มเหงผู้หญิง
พวกมันไม่ไปสถานที่เช่นซ่องโสเภณี เพราะโสเภณีที่ยอมจำนนสถานเดียวย่อมไม่อาจสนองความอาฆาตพยาบาทของพวกมันได้ พวกมันชมชอบดูหมิ่นเหยียดหยามครอบครัวดีๆ
“ข้าแอบซุ่มอยู่ใกล้แท่นบูชาหลักมาสองสามวันแล้ว แต่ไม่พบมารเต๋าตนใดออกมาเพื่อ ‘ล่า’ เลย ดังนั้นข้าจึงแปลกใจเล็กน้อย”
ชิวฉานอีขมวดคิ้วและพูดว่า
“หลังจากสอบถามผู้คนโดยรอบ ก็ได้ข่าวว่ามารเต๋านิกายปฐพีไม่ได้ออกมาสร้างปัญหานานแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็ขมวดคิ้วหนักหน่วง
“ครั้งสุดท้ายที่มารเต๋าออกมาคือเมื่อไร?” เขาถามพลางครุ่นคิด
ดวงตาชาญฉลาดของชิวฉานอีเหลือกมองขึ้น ครุ่นคิดและพูดว่า “เกือบหนึ่งเดือนแล้ว”
นักบวชเต๋าจินเหลียนครุ่นคิดเรื่องนี้
“หากฐานตบะอ่อนแอ ต้องใช้เวลาประมาณสิบวันเพื่อระบายความอาฆาตพยาบาท ขั้นสี่สามารถทนถูกความคิดชั่วร้ายกัดกร่อนได้เพียงครึ่งเดือน ถ้าหนึ่งเดือนต้องเหลือทนแน่นอน”
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เข้าใจความจริง…เวลาที่ท่านโหราจารย์ถูกผนึกคือเมื่อครึ่งเดือนก่อน
เขาพูดด้วยสีหน้าปกติ
“ข้ารู้แล้วว่าพวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ดังนั้นจงอย่าได้กังวล”
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนพยักหน้าเล็กน้อย ชำเลืองมองแมวส้มแล้วพูดว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รบกวนการบำเพ็ญเพียรของศิษย์พี่จินเหลียนแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็จากไปพร้อมกับชิวฉานอีจากนิกายปฐพี
เมื่อสาวงามออกจากกระท่อม นักบวชเต๋าไป๋เหลียนก็หันไปมองใบหน้างดงามด้านข้างของศิษย์ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉานอี พลังบุญในตัวเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
ใบหน้างดงามของชิวฉานอีเบ่งบานด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
“ท่านลุงไป๋เหลียน ข้าออกจากร่างได้แล้ว”
ลัทธิเต๋าขั้นหก ระดับเทพเจ้าหยิน!
ต้องบอกว่าช่วงเวลาที่ยากลำบากย่อมเป็นโอกาสดีในการบำเพ็ญเพียรของนิกายปฐพี เพราะมีโอกาสมากมายในการสั่งสมบุญ แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดเช่นกัน เพราะในยามทุกข์ยากไม่ว่าใครก็ล้วนทำชั่วได้ทั้งสิ้น
ท่านอาจช่วยคนผู้หนึ่งในวันนี้ วันพรุ่งนี้คนผู้นั้นอาจเผา ฆ่า ปล้นและสร้างขวากหนามให้บังเกิด
เวรกรรมบางส่วนย่อมถูกส่งต่อไปยังนักบวชลัทธิเต๋านิกายปฐพี ในเวลานี้ต้องใช้พลังบุญกุศลจำนวนหนึ่งเพื่อกำจัดมัน
แน่นอนว่าย่อมมีเวรกรรมที่ไม่อาจกำจัดได้ เช่น นักบวชเต๋าตกหลุมรักแมวส้ม เสกอาคมใส่พระราชา ก่อความวุ่นวายในราชสำนัก
“ว่าแต่ ทำไมถึงมีแมวอยู่ในบ้านของท่านลุงจินเหลียนล่ะ? ท่านถูกแมวสิงอย่างนั้นหรือ?”
ชิวฉานอีไม่กล้าถามในตอนนั้น
นักบวชเต๋าไป๋เหลียนถอนหายใจ
“ตั้งแต่กลับจากเมืองหลวง นิสัยใจคอศิษย์พี่จินเหลียนก็เปลี่ยนเป็นชื่นชอบอยากครอบครองแมวส้ม ต้องเป็นแมวส้มเท่านั้น ถึงจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่ทุกคนล้วนมีนิสัยใจคอ กระทั่งผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาเจ้ายังมี วีรบุรุษก็ย่อมมีเช่นกัน”
เขาครุ่นคิดเรื่องนี้และยกตัวอย่างให้ฟัง
“ไม่ต้องพูดอื่นไกล ยกตัวอย่างคนที่เจ้าคุ้นเคย หลี่เมี่ยวเจิน เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ มีงานอดิเรกเป็นวีรสตรีผู้ผดุงความชอบธรรม ในทางกลับกันเทพบุตรหลี่หลิงซู่ชื่นชอบการหยอกล้อเรือนร่างก่อกวนอารมณ์สตรี จนต้องถูกสั่งจำศีลเป็นเวลาครึ่งปี”
“ยังมีสวี่ชีอันที่เจ้าให้ความเคารพอย่างสูง ก่อนที่เขาจะผงาดฟ้า เขาไปหอคณิกาทุกวันทั้งยังไปที่สำนักสังคีตทุกคืน โดยไม่เสียตังค์สักแดง”
บุคลิกและงานอดิเรกของสมาชิกพรรคฟ้าดินล้วนถูกศิษย์พี่จินเหลียนพูดถึงระหว่างการสนทนา
ถ้านางถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แสดงว่านางตามหาศิษย์พี่จินเหลียนไม่เจอ จนในที่สุดก็เห็นแมวส้มตัวหนึ่งอยู่ท่ามกลางฝูงแมวในสวนดอกไม้อย่างมีความสุข ขณะกำลังสอนหมัดแปดทิศให้น้องเล็ก
นั่นยังเป็นตอนที่อยู่ในเจี้ยนโจว
หลังจากฟังนักบวชเต๋าไป๋เหลียนพูด นางพลันรู้สึกว่านิสัยชอบครอบครองแมวของท่านลุงจินเหลียนไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ชิวฉานอีพูดใส่อารมณ์
“ไอ้เด็กเจ้าชู้ฆ้องเงินสวี่ ช่างน่าชื่นชมจริงๆ!
เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นในใจนักบวชเต๋าไป๋เหลียนทันที
ในตอนนี้ ชิวฉานอีรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว สาวน้อยร่างกายบอบบาง เอวเล็ก ขาเรียวและบั้นท้ายปูดบวมราวกับกิ่งหลิวแตกยอดอ่อนผู้นั้น
…
ในกระท่อม
ตอนกลางคืน เทพบุตรเก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอย่างเงียบเชียบ ยัดไว้ใต้หมอนจากนั้นก็ขยับเรียวขาที่กดทับท้องไปทางซ้าย นี่เป็นขาของหลานหลานผู้ชมชอบชุดดำ
จากนั้นเขาก็วางหัวแมงป่องบนไหล่ขวาลงบนหมอนนุ่ม แล้วยกผ้าห่มขึ้น พลิกตัวหลานหลานและอวี๋หานซิ่วและลุกออกจากเตียงได้สำเร็จ
เทพบุตรถลกกระโปรงลงพื้น ผ้าคาดหน้าท้องและกางเกงกระจายเกลื่อนเต็มพื้น เขาค้นหาเสื้อผ้าตัวเองและสวมมันอย่างรวดเร็ว
“แน่นอน หลังจากฝึกศิลปะการต่อสู้ไปพร้อมกัน ร่างกายข้าก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมาก”
เขาตบไตที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้วของตัวเองพลางทอดถอนใจ
หลังจากที่ถูกน้องสาวสองคนทั้งตงฟางหว่านหรงกับตงฟางหว่านชิงบีบจนแห้ง หลี่หลิงซู่ก็เรียนรู้ความเจ็บปวดและเริ่มบำเพ็ญวิทยายุทธ์ จนตัวเขากลายเป็นยอดฝีมือขั้นสี่ ความเร็วในการบำเพ็ญของเขานั้นจัดว่ารวดเร็วมาก
ขั้นแรกห้ามแตะต้องสตรีเป็นเวลาครึ่งเดือน ออกกำลังกายทุกวัน จากนั้นเสริมยาอายุวัฒนะเพื่อหลอมปราณและเข้าสู่สภาวะหลอมปราณขั้นแปดภายในหนึ่งเดือน
ระดับต่อไปคือระดับหลอมวิญญาณ สำหรับลัทธิเต๋าผู้เชี่ยวชาญการบำเพ็ญจิตเดิม ระดับหลอมวิญญาณย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ขณะนี้เทพบุตรยังติดอยู่ที่ระดับหลอมปราณ
จากการหลอมปราณขั้นต้นจนกระทั่งหลอมปราณเสร็จสมบูรณ์ แม้จะมีฐานตบะอย่างเขา ก็ยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี
หลังจากนั้นคือกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหก จากระดับนี้ ความยากจะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทว่าความแข็งแกร่งขั้นห้านั้นย่อมขึ้นอยู่กับพรสวรรค์โดยแท้
แน่นอน การที่วิทยายุทธ์ของเทพบุตรไปถึงฐานตบะลัทธิเต๋าขั้นสี่ได้ ไม่ใช่เพราะความกล้าหาญและความขยันหมั่นเพียรในการฝึกวิทยายุทธ์ แต่เป็นเพราะความสามารถของจอมยุทธ์ผู้นั้นเอง
ดังนั้นเขาจึงไม่อยากโจมตีจอมยุทธ์ขั้นสี่ มันออกจะยากเกินไป
หลังจากออกจากบ้าน เขาก็มุ่งหน้าไปยังลานเล็กๆ ที่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ที่นั่นหยางเชียนฮ่วนกับฉู่ไฉ่เวยอาศัยอยู่
ศิษย์พี่ศิษย์น้อง คนหนึ่งอยู่ห้องทางทิศตะวันออก อีกคนอยู่ห้องทางทิศตะวันตก
ทันทีที่หลี่หลิงซู่เข้าไปในสนาม ประตูห้องทางทิศตะวันออกก็เปิดออกทันทีแล้วเสียงของหยางเชียนฮ่วนก็ดังมาจากข้างใน
“พี่หลี่มาเยี่ยมดึกดื่น มีเรื่องอะไรรึ?”
น้ำเสียงของเขามีแววระแวดระวัง
ศิษย์พี่ศิษย์น้องย่อมเป็นพี่น้องกัน ไม่อาจปล่อยให้ใครมารังแกได้
หลี่หลิงซู่ไม่รู้เรื่องราวภายในของหยางเชียนฮ่วน จึงเดินผ่านลานบ้านเข้าไปในห้องทิศตะวันออก
เทียนสว่างขึ้น ปัดเป่าความมืดในพริบตา
หยางเชียนฮ่วนนั่งขัดสมาธิบนเตียงหันหลังให้ประตู
“พี่หยางกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่”
หลี่หลิงซู่เห็นเขาแต่งกายรัดกุมและดูเหมือนไม่ได้หลับอยู่
“พยายามโจมตีขั้นสาม”
“ว่าอย่างไรนะ?” หลี่หลิงซู่ตาเป็นประกาย
“เหนือมนุษย์เป็นวิถีให้มนุษย์ขึ้นสู่สวรรค์ หากเจ้าก้าวข้ามมันไป เจ้าจะไม่อยู่ในระดับของมนุษย์อีกต่อไป ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีขั้นสี่มากมายดุจขนวัว แต่เหนือมนุษย์นั้นมีเพียงไม่กี่คน แม้แต่อัจฉริยะอย่างข้าก็ยังไม่อาจเลื่อนอันดับเป็นขั้นสามได้ในเวลาอันสั้น”
มีอารมณ์ล้นปรี่อยู่ในคำพูดของหยางเชียนฮ่วน
น้ำเสียงนั้นเหมือนจะพูดว่า ถึงเป็นข้า ข้าก็ทำได้แค่เป็นผู้ไร้พ่ายในโลกใบนี้
‘หลังจากที่ท่านโหราจารย์ถูกผนึก หยางเชียนฮ่วนก็บำเพ็ญเพียรหนักขึ้น’…หลี่หลิงซู่คุ้นเคยกับวิธีการพูดของเขามานานแล้ว จึงเอ่ยว่า
“ดึกดื่นค่ำมืดข้ามาเยือนที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่หยาง เรื่องนี้ย่อมขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง