ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 750

บทที่ 750 ประชุมสมาชิกพรรคฟ้าดิน (1)

ไม่ใช่แค่จัวเฮ่าหราน แต่ผู้อยู่ในระดับสูงของกองทัพที่อยู่ที่นี่ต่างก็ตกตะลึงแล้วพากันก่นด่าออกมาตามๆ กัน

“เจ้าจักรพรรดิน้อยยังดื้อรั้นอยู่อีกหรือ? เพราะอยากมีอายุสั้นหรือว่าก้นบนบัลลังก์มังกรรอไม่ไหว จนแทบอยากจะให้พวกเรารีบไปเตะเขาลงมาอย่างนั้นหรือ?”

“มารดามันเถอะ ราชสำนักต้าฟ่งจะเอากำลังที่ไหนมาสู้กัน คลังหลวงก็ว่างเปล่า แต่ละหนแห่งก็วุ่นวายโกลาหลกันหมด แม้แต่ท่านโหราจารย์ก็ยังไม่อยู่แล้ว”

“ฮึ ในเมื่อไม่กลัวตายก็สู้มันไปเลย พอพวกเราตีเมืองหลวงได้สำเร็จ เจ้าจักรพรรดิน้อยนั่นก็ต้องมาคุกเข่าร้องไห้ขอชีวิตแล้ว”

ตั้งแต่ที่ท่านโหราจารย์ถูกผนึกและชิงโจวถูกยึดครอง ขวัญกำลังของทัพอวิ๋นโจวก็สูงขึ้นเทียมฟ้าและพองโตยิ่งขึ้น พลางคิดว่าการตีเมืองหลวงได้และเข้าครอบครองภาคกลางขึ้นอยู่กับเรื่องเวลาเท่านั้นแล้ว

ยามพูดถึงราชสำนักต้าฟ่ง ในวาจาล้วนมีแต่คำพูดดูถูกเป็นส่วนใหญ่พร้อมกับทัศนคติเหยียดหยามมองข้าม

ดังนั้นในสายตาของแม่ทัพนายกองทั้งหลาย นี่ถือเป็นการให้ทานและความเมตตาสงสารโดยแท้ แต่ราชสำนักต้าฟ่งกลับกล้าปฏิเสธเนี่ยนะ?

พวกเขาคิดว่าเมื่อกองทัพอวิ๋นโจวรุกเข้าไปยังเมืองหลวง และเมื่อยอดฝีมือเหนือสามัญผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างราชครูกับเจียหลัวซู่มาเยือนเมืองหลวง ต้าฟ่งของพวกเขายังจะมีกำลังมาต่อต้านอย่างนั้นหรือ?

สีหน้าของชีก่วงป๋อเคร่งขรึม เขารอให้พวกแม่ทัพนายกองระบายอารมณ์เสร็จแล้วเคาะโต๊ะเอ่ยว่า

“รายงานจากสายลับของตำหนักความลับสวรรค์กล่าวว่าสวี่ชีอันบีบให้หย่งซิ่งสละราชบัลลังก์แล้วผลักดันให้องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งขึ้นครองราชย์”

เหล่าแม่ทัพของทัพอวิ๋นโจวที่ก่อนหน้านี้ยังมีอารมณ์ขันและหัวเราะเยาะมาตลอด บัดนี้เมื่อฟังคำพูดของชีก่วงป๋อจบ ต่างก็เงียบงันไร้เสียง พวกเขามองหน้ากัน ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความแปลกใจและตกตะลึง

ข่าวนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนไม่ทันตั้งตัว แต่อารมณ์ของมันออกจะเอนเอียงไปทาง ‘ไร้สาระ’ และ ‘แปลกประหลาด’ มากกว่า ผลักดันให้สตรีขึ้นครองบัลลังก์อย่างนั้นรึ?

“คิก…” ใครบางคนอดกลั้นไม่ไหวจนหัวเราะออกมา

“ทำไม เจ้าแซ่สวี่ผู้นั้นไม่มีหนทางแล้วหรือ ดันคิดอุบายโง่ๆ เช่นนี้ออกมาได้”

“ใช่ๆ ให้สตรีครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดินี เขาคิดว่าความวุ่นวายในภาคกลางยังไม่มากพออีกหรือ? ต่อให้ขุนนางทั้งหลายจะหวาดกลัวพลังต่อสู้ต่อของเขาจนไม่กล้าก่อกบฏในทันที แต่เพียงแค่เขาออกจากเมืองหลวง จักรพรรดินีผู้นั้นก็คงได้รับสุรายาพิษหรือไม่ก็ตายแบบไม่รู้สาเหตุอยู่ในวังแล้วกระมัง” จัวเฮ่าหรานกล่าวอย่างดูแคลน

ในฐานะคนสับเนื้อผู้กระหายเลือด สตรีก็เหมือนกับของเล่นในสายตาเขา คู่ควรที่จะนั่งบัลลังก์มังกรหรือ?

หยางชวนหนานส่ายหน้าหัวเราะ

“เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจิตใจของผู้คนในเมืองหลวงจะสั่นคลอน จนทำให้ยากจะรวมกำลังต่อต้านมาพวกเรามากขึ้นแล้วล่ะ พอราชครูหลอมรวมโชคชะตาชิงโจวแล้วเคลื่อนพลไปทางเหนือ อีกไม่นานก็จะสามารถตีเมืองหลวงจนแตกพ่ายได้แล้ว”

แม่ทัพนายพลคนอื่นๆ หัวเราะกันยกใหญ่ มีทั้งเย้ยหยัน ดูถูก หยอกล้อ ส่วนเรื่องที่เจรจาสงบศึกล้มเหลวนั้นกลับไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่นิด

จีเสวียนและเก่อเหวินซวนสบตากัน แม้ว่าจะมีความงุนงงสับสน แต่ก็ไม่ได้รีบเข้าประสมโรงไปกับพวกแม่ทัพนายพล ทว่ามองไปยังชีก่วงป๋อแทน

“ถูกต้อง ผลักดันให้องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองราชย์เป็นหมากตาหนึ่งจริงๆ”

ชีก่วงป๋อมองดูผู้คนรอบๆ แล้วค่อยๆ เอ่ย

“ถ้าหากข้าบอกพวกเจ้าว่าเขาไม่เพียงแต่ผลักดันให้สตรีขึ้นครองราชย์เท่านั้น แต่ยังทำให้ราชสำนักมั่นคงขึ้นในเวลาสั้นๆ และในวันที่องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองราชย์ ก็ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยดอกไม้ผลิบาน ชาวเมืองจึงมองว่านี่เป็นของขวัญมงคลที่หล่นมาจากฟ้า และมองว่าการที่องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองราชย์นั้นเป็นการโชคชะตาเพื่อขับอุปสรรคให้แก่ต้าฟ่ง พวกเจ้าคิดว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”

เสียงหัวเราะภายในโถงเงียบลงทันใด

บนใบหน้าของแม่ทัพนายพลไร้ซึ่งรอยยิ้ม ต่างก็มองตาหน้ากันเงียบๆ เพราะอยากเห็นปฏิกิริยาของเพื่อนร่วมงาน

เก่อเหวินซวนเอ่ยบอก

“เขาบังคับให้หย่งซิ่งสละราชสมบัติเพื่อผลักดันหุ่นเชิดตัวหนึ่งขึ้นเป็นจักรพรรดินี เช่นนี้ยิ่งไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอะไร แต่ในเมื่อเป็นหุ่นเชิด เช่นนั้นก็เลือกเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวสักคนมาเลยจะไม่ดีกว่าหรือ? เหตุใดจะต้องเสี่ยงวางหมากเพื่อผลักดันให้สตรีขึ้นครองราชย์ด้วย?”

ใครบางคนแค่นเสียง ‘ฮึ’ ออกมา

“จักรพรรดินีนั่นคงจะมีใบหน้างดงามดุจบุปผากระมัง ไม่แน่ว่าคงจะเป็นคู่ขาของสวี่ชีอันแล้วด้วย เจ้าคนแซ่สวี่เจ้าชู้ประตูดินจะตาย เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้กันดี”

“มีเพียงคนที่มองศัตรูว่าโง่เขลาเท่านั้น ถึงจะเป็นคนโง่เขลาตัวจริง”

จีเสวียนเอ่ยพึมพำ

“จากข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์ต้าฟ่งที่ได้มา องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งคือสตรีมากความสามารถที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง และเคยศึกษาที่สำนักอวิ๋นลู่ ในรัชสมัยที่หยวนจิ่งยังครองราชย์ นางก็เคยรับตำแหน่งบรรณาธิการฮั่นหลิน มิใช่สตรีธรรมดา”

เรื่องภูมิหลังเหล่านี้ จีเสวียนให้ความสนใจกับสมาชิกแต่ละคนในราชวงศ์ต้าฟ่งมากเป็นพิเศษ แม่ทัพที่นั่งอยู่อาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องภูมิหลังขององค์หญิงองค์หนึ่ง แต่จีเสวียนรู้ละเอียดยิบ

“แค่เหตุผลเท่านี้หรือ?”

จัวเฮ่าหรานเข้าใจความหมายของจีเสวียน เมื่อองค์หญิงใหญ่ผู้มากความสามารถและเป็นอัจฉริยะขึ้นนั่งบัลลังก์ ก็อาจจะเก่งกาจยิ่งกว่าหย่งซิ่ง แต่เนื่องจากอคติต่อสตรี เขาจึงยังมีความคิดดูแคลนอยู่

ชีก่วงป๋อเคาะโต๊ะอีกครั้งแล้วเอ่ย

“ตอนที่สายลับตำหนักความลับสวรรค์ส่งข่าวมา คณะทูตที่ส่งไปยังเมืองหลวงยังอยู่ที่นั่น สวี่ชีอันไว้ชีวิตไม่ได้สังหาร คาดว่าคงจะใช้มาแลกเปลี่ยนกับพวกเรา”

ทุกคนพากันมองไปยังจีเสวียน

หากเป็นลูกนอกสมรสธรรมดาๆ ย่อมมีน้ำหนักจำกัดและไม่ปล่อยให้ราชสำนักต้าฟ่งมีโอกาสทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้างหรอก

แต่ลูกนอกสมรสผู้นี้คือน้องชายมารดาเดียวกันกับจีเสวียน (ไม่ใช่แฝด) และในฐานะที่จีเสวียนเป็นจอมยุทธ์ขั้นสามสายหลักของอวิ๋นโจวจึงมีสถานะเหนือธรรมดา น้องชายของเขาย่อมไม่อาจเทียบได้กับลูกนอกสมรสทั่วไป

จีเสวียนเอ่ยเสียงขรึม

“ทุกสิ่งตามแต่ท่านแม่ทัพใหญ่ตัดสินใจ”

เขาเป็นฝ่ายถอยให้ก้าวแรก

ชีก่วงป๋อเอ่ย

“สามวันหลังจากนี้เราจะรวบรวมกองกำลังบุกเข้าไปยังอาณาเขตยงโจว แล้วปิดล้อมเมืองโดยไม่โจมตีเพื่อสร้างความกดดันให้กับราชสำนักต้าฟ่ง จากนั้นส่งคณะทูตไปติดต่อกับหยางกงอีกครั้งเพื่อบีบให้เขาปล่อยคน”

“เช่นนี้ พวกเราก็สามารถแลกตัวคุณชายจีหย่วนกลับมาด้วยสิ่งแลกเปลี่ยนจำนวนน้อยได้แล้ว”

การรวบรวมกองกำลัง ไม่เพียงแต่กดดัน ทว่ายังแสดงถึงท่าทีทรงอำนาจน่าเกรงขาม เพื่อตัดโอกาสไม่ให้ราชสำนักต้าฟ่งทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง

เหล่าแม่ทัพในโถงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ต่างก็คันไม้คันมืออย่างตื่นเต้น

“แทบจะรอไม่ไหวแล้ว”

“เหล่าแม่ทัพทั้งหลายต้องตั้งหน้าตั้งตาโจมตียงโจวทั้งวันทั้งคืน”

“ทำให้พวกเขาไม่กล้าที่จะไม่ส่งตัวคุณชายจีหย่วนออกมา”

เมืองชิงโจว ภายในคฤหาสน์ที่อยู่ห่างจากจวนผู้ว่าการมณฑลไม่ถึงสามลี้

สวี่ผิงเฟิงนั่งขัดสมาธิ พลังเหนือสามัญที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหลายสายเข้ามารวมตัวกันในคฤหาสน์แล้วกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในร่างของโหรชุดขาว

พลังเหล่านี้ถูกหลอมรวมอยู่ในตันเถียนและก่อตัวเป็นมวลอากาศที่ขุ่นมัว

สวี่ผิงเฟิงถือมวลอากาศไว้ด้วยมือสองข้าง แล้วหล่อหลอม ‘สิ่งเจือปน’ ในมวลอากาศนั้นทีละนิดๆ เพื่อทำให้มันชัดเจนไร้ที่ติ

ความสามารถหลักของนักหลอมปราณคือการหลอมรวมโชคชะตาของเมืองหนึ่งและชำระล้าง จากนั้นก็ผสานเข้าสู่ร่างกาย โดยโชคชะตาที่ถูกหลอมรวมมาก็จะสั่นคลอนพลังแห่งสรรพสิ่ง

เมื่อโชคชะตาหนาแน่นจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางคุณภาพ คือสามารถเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า ล่วงรู้อนาคต และกลายเป็นผู้วางหมากสูงสุดของโลกได้

เสียงกระพือปีกดังมาจากในลานเรือน นกพิราบส่งสาส์นตัวหนึ่งร่อนลงมาในลานเรือนอย่างมั่นคง

สวี่ผิงเฟิงลืมตาขึ้นแล้วนำมวลอากาศขุ่นมัวนั้นเข้าสู่ตันเถียน จากนั้นเอื้อมมือไป ‘จับ’ พิราบส่งสาส์นในลานเรือนมาไว้ในมือ มันนำจดหมายของชีก่วงป๋อมาให้

สวี่ผิงเฟิงอ่านเนื้อหาในกระดาษจบแล้วนิ่งคิดไปครู่หนึ่งแล้วแตะปลายนิ้วลงบนกระดาษ

ตัวอักษรที่ดำเลือนหาย กลายเป็นคำหนึ่งคำ

‘ได้!’

เขาสอดกระดาษเข้าไปในกระบอกไม้ไผ่ที่ขาของนกพิราบแล้วโยนมันไปเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นก้าวไปทางซ้าย และมายังห้องทำสมาธิที่อยู่ถัดไป

อุณหภูมิในห้องนั้นร้อนราวกับอยู่กลางฤดูร้อน พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่นั่งขัดสมาธิอยู่ ส่วนลำคอไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป ศีรษะเริ่มเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว

“การเจรจาสงบศึกล้มเหลว”

สวี่ผิงเฟิงเอ่ยยิ้มๆ

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ลืมตา ใบหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ใดๆ จากนั้นค่อยๆ เอ่ยช้าๆ ว่า

“ท่านโหราจารย์หลงเหลือหนทางเอาไว้จริงๆ ด้วย แต่ว่ามันเป็นไพ่ลับแบบใดกัน ถึงกับทำให้เขามั่นใจที่จะสู้รบกับพวกเราเช่นนี้?”

สวี่ผิงเฟิงเอามือไพล่หลังแล้วเอ่ยยิ้มเล็กน้อย

“เจ้ายังไม่เข้าใจเขามากพอ การที่กล้าสู้เป็นสู้ตายกับพวกเราไม่จำเป็นต้องมีความมั่นใจหรอก หากเดินไปถึงทางตัน ก็แค่ตกตายไปพร้อมกันก็พอ แม้ว่าอาจารย์โหราจารย์จะทิ้งไพ่ลับเอาไว้ก็ไม่อาจทำให้เขาเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งได้ทันที เพียงแค่เป็นวิธีการเสริมพลังต่อสู้บางอย่างเท่านั้น และลั่วอวี้เหิงก็กำลังจะผ่านด่านเคราะห์เพื่อเลื่อนเป็นขั้นหนึ่ง ถือเป็นการเพิ่มพลังต่อสู้บางส่วนขึ้นมา และทำให้ในใจของเขามีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง”

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พยักหน้าเล็กน้อย

สวี่ผิงเฟิงเอ่ยต่อ

“หลังจากนี้สามวันเราจะยกทัพไปยงโจว เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะรู้เรื่องมากกว่าเดิมแล้ว”

“ไป๋ตี้ยังไม่กลับมาที่ดินแดนจิ่วโจวอีกหรือ?” พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เอ่ยถาม

“ยังต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง” สวี่ผิงเฟิงตอบ

ลูกหลานเทพมารผู้นั้นทำอะไรอยู่นอกมหาสมุทรและวางแผนอะไรเอาไว้ ไม่มีใครล่วงรู้ได้

แน่นอนว่า หากสวี่ผิงเฟิงตั้งใจสืบเสาะก็จะสามารถสืบพบร่องรอยเบาะแสได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น

หากทำเช่นนั้นมีแต่จะทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตร ได้ไม่คุ้มเสีย

สำนักโหราจารย์

ณ แท่นแปดทิศ สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่ที่โต๊ะแล้วมองไปยังชาวเมืองทั้งหลายในเมืองหลวงพลางตระหนักรู้ถึงพลังแห่งเวไนยสัตว์

แสงใสด้านหลังของเขาส่องประกาย ซุนเสวียนจีในชุดสีขาวมาและผู้พิทักษ์หยวนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเขา

“อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้วหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง