ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 753

บทที่ 753 ศาสตร์การอัญเชิญครั้งใหญ่

จีเสวียนมีชื่อเสียงในสนามรบชิงโจวจากการทำลายล้างอำเภอกัวและตงหลิงอย่างรุนแรงสองเมืองติดต่อกัน ทำให้กองทัพทหารอารักขาต้าฟ่งแตกพ่าย

กองทัพอวิ๋นโจวทำศึกหลายด่าน การสู้รบในอำเภอซงซานและอำเภอหว่านผิงไม่ราบรื่นนัก มีเพียงกองทหารซึ่งนำโดยจีเสวียนเท่านั้นที่ชนะราบคาบ และยับยั้งกองกำลังของโหรขั้นสามซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวในกองทหารอารักขาของชิงโจวในเวลานั้น

เรื่องนี้ส่งผลกระทบมหาศาลต่อกองทัพต้าฟ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ใครบ้างจะไม่หวาดกลัวผู้แข็งแกร่งอายุน้อยที่ผงาดขึ้นใหม่ผู้นี้ ถึงกับมีคนเปรียบเทียบจีเสวียนกับสวี่ชีอัน เนื่องจากทั้งสองต่างก็เป็นจอมยุทธ์เหนือมนุษย์รุ่นใหม่

ดังนั้น หลังจากจำได้ว่าทหารม้าที่เข้าใกล้เมืองมาเพียงลำพังคือจีเสวียน ทหารอารักขาที่ด้านบนกำแพงเมืองจึงพลันรู้สึกทั้งตึงเครียด กระวนกระวาย ลนลาน หวาดหวั่น ระคนกันไปหมด

‘เขาคิดจะทำอะไรน่ะ’

‘บุกตีเมืองคนเดียวรึ’

‘ผู้ใด ผู้ใดจะหยุดเขาได้บ้าง’

ความคิดแต่ละอย่างแวบเข้ามาในหัวของทหารอารักขาชิงโจว นำมาซึ่งความตึงเครียดและหวาดหวั่น รวมถึงความสิ้นหวังรางๆ ด้วย

“จุดชนวน!”

แม่ทัพนายหนึ่งที่ยอดกำแพงเมืองตะโกน

ทว่าพลปืนใหญ่หน้าซีดเผือด ประสาทตึงเครียดราวกับไม่ได้ยิน

ใช่ว่าเขามีเจตนาขัดคำสั่ง แต่เขาประหม่าเกินไปจึงจดจ่อสมาธิทั้งหมดจนละเลยความเคลื่อนไหวรอบตัว

แม่ทัพผู้นั้นเตะพลปืนใหญ่ออกไป ขณะกำลังจะเข้าประจำการด้วยตัวเองกลับเห็นจีเสวียนหยุดลงและไม่บุกเข้ามาต่อ

จีเสวียนดึงบังเหียนก่อนมองยอดกำแพงเมืองแล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า

“หยางกงอยู่ที่ใด ให้เขาออกมาพบข้า”

น้ำเสียงราบเรียบ หากเสียงกลับเข้าหูทหารอารักขาทุกนายได้อย่างชัดเจน

โจวมี่ อดีตผู้บัญชาการชิงโจวกดด้ามดาบลง เขายืนบนกำแพงปีกกาแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า

“มีอะไรก็ว่ามา!”

จีเสวียนดึงมีดเล่มเล็กออกจากเอวแล้วถือเล่นในมือ ราวกับไม่เห็นโจวมี่ในสายตา

“เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะคุยกับข้า”

อย่างไรเสียโจวมี่ก็เป็นอดีตผู้บัญชาการชิงโจวซึ่งเป็นหนึ่งในสามตำแหน่งที่มีอำนาจสูงสุด ไฉนเลยจะเคยถูกคนหยามหมิ่นเช่นนี้

เคราะห์ดีที่เป็นขุนนางมาหลายปี นิสัยใจร้อนของจอมยุทธ์ได้รับการขัดเกลาลงไปไม่น้อย หลังสูดหายใจลึกจึงหันไปเอ่ยกับรองแม่ทัพว่า

“ไปเชิญสมุหเทศาภิบาลหยาง”

ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้โจมตีเมืองทันทีก็นับเป็นเรื่องดี จึงยอมรับฟังสิ่งที่เขาพูด

รองแม่ทัพเหลือบมองจีเสวียนซึ่งอยู่ในระยะไกลด้วยความหวาดหวั่นเหลือคณา ก่อนรับคำสั่งและจากไป

ครู่หนึ่ง หยางกงในชุดขุนนางสีแดงก็ขึ้นมายังยอดกำแพง

“สมุหเทศาภิบาลหยาง…” โจวมี่เข้าไปต้อนรับพลางเอ่ยส่งกระแสจิตว่า

“ทัพกบฏอวิ๋นโจวรวมตัวใหญ่ ทหารใกล้มาถึงเมืองแล้ว สถานการณ์วันนี้เกรงจะน่าเป็นห่วง”

เมื่อสูญเสียท่านโหราจารย์ในการตรึงกำลังผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของอวิ๋นโจว แล้วสวินโจวจะต้านทานการกัดกินของกองทัพกบฏได้อย่างไร

เหตุผลที่โจวมี่เลือกส่งกระแสจิตเพราะไม่อยากสั่นคลอนขวัญกำลังใจกองทัพ แม้ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารอารักขาจะมีไม่มากอยู่แล้วก็ตาม

หยางกงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเดินถึงข้างกำแพงปีกกาจึงเอ่ยเสียงเข้มว่า

“ข้าคือหยางกง”

จีเสวียนถึงได้หยุดเล่นมีดสั้น ก่อนกวาดตามองบรรดาทหารอารักขาบนยอดกำแพงเมืองแล้วเอ่ยเสียงดังว่า

“สองกองทัพทำศึกมิอาจสังหารทูต

“คณะทูตอวิ๋นโจวเข้าเมืองหลวงมาเจรจาสงบศึก และได้ประสบกับการรัฐประหารโดยสวี่ชีอันและองค์หญิงใหญ่ สองหญิงชายเดรัจฉานนี้สมรู้ร่วมคิดในการล้มล้างอำนาจจักรพรรดิและส่งคณะทูตอวิ๋นโจวของเราเข้าคุก พวกเจ้าในฐานะทหารต้าฟ่ง ไม่รู้เรื่องอีกด้านของจักรพรรดิก็แล้วไปเถอะ แต่อานุภาพราชวงศ์อวิ๋นโจวของข้ากลับมิอาจล่วงเกินได้โดยง่าย”

เขาชะงักครู่หนึ่ง สายตาสืบเสาะไปบนยอดกำแพงเมืองชั่วขณะแล้วเอ่ยว่า

“สวี่ซินเหนียนญาติผู้น้องของสวี่ชีอันอยู่ที่สวินโจว หากส่งคนผู้นี้ออกมาโดยเร็ว ข้าจะละเว้นพวกเจ้า หาไม่แล้ว วันนี้จะถล่มสวินโจวให้ราบคาบ ให้พวกเจ้ากลายเป็นเถ้าถ่าน”

พูดจบ มีดสั้นในมือจีเสวียนก็ระเบิดเป็นลำแสงสูงเสียดฟ้า เขาตวัดมีดสั้นให้ลำแสงโค้งพุ่งออกมาเฉือนพื้นดินเป็นหุบเหวลึก ก่อนฟันกำแพงเมืองเสียงดัง ‘โครม’

‘แคร่ก แคร่ก’…กำแพงเมืองอันแข็งแกร่งแตกร้าวราวกับใยแมงมุม ขณะเดียวกับที่ทหารอารักขาบนยอดกำแพงเมืองรู้สึกถึงความสั่นไหวใต้ฝ่าเท้า

เหิมเกริมอะไรเช่นนี้!

แม่ทัพในกองทหารอารักขาทั้งโกรธทั้งกลัว แต่กลับไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้

ความเหิมเกริมของอีกฝ่ายมิใช่เรื่องเท็จ ความแข็งแกร่งทรงพลังก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน

ผู้ที่สามารถรับมือกับจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ได้ก็มีแต่จอมยุทธ์เหนือมนุษย์เท่านั้น

แม้เหล่าแม่ทัพจะโกรธได้ แต่ทหารธรรมดาต่างมิกล้าแม้แต่จะมีอารมณ์โกรธ ในใจของแต่ละคนสั่นสะท้าน ความเย็นยะเยือกไหลวาบผ่านกระดูกสันหลัง

ด้วยอานุภาพของมีดนี้ หากฟันลงบนยอดกำแพงเมืองหรือบนตัวพวกเขาแล้ว แม้มีสิบชีวิตก็ไม่พอ ไม่ว่าจะใช้คนจำนวนเท่าไรก็ไม่เพียงพอที่จะสังหารคนหนุ่มผู้น่ากลัวเช่นนี้

“บัดนี้เจ้าเด็กนี่พูดจาบ้าดีเดือดถึงเพียงนี้เชียว”

เหมียวโหย่วฟางกระชับด้ามดาบและเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ตอนนั้นที่เมืองยงโจว ฆ้องเงินสวี่คนเดียวจัดการพวกเขาเสียขวัญหนีดีฝ่อ ยามนี้เมื่อภูเขาไร้พยัคฆ์ วานรจึงถูกเรียกเป็นเจ้าป่า”

เหมียวโหย่วฟางและจีเสวียนนั้นมีความแค้นต่อกัน

เมื่อครั้งที่ปราณมังกรยังอยู่ในร่างกาย เขาถูกกลุ่มของจีเสวียนไล่สังหารตั้งแต่ชิงโจวจนถึงยงโจว จากนั้นก็ถูกจับได้ที่หอนางโลม

หากไม่เพราะต่อมาได้พบกับฆ้องเงินสวี่ เขาเหมียวโหย่วฟางไฉนเลยจะมีวันนี้

สวี่ซินเหนียนโน้มเอวลดศีรษะลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเพื่อไม่ให้จีเสวียนเห็นตนเอง

“เจ้าก็รู้นี่ว่าเป็นเรื่องของตอนนั้น ตอนนี้จีเสวียนผู้นี้ก็เป็นจอมยุทธ์เหนือมนุษย์แล้วเช่นกัน”

โม่ซางเอ่ยเสียงฮึดฮัดว่า

“บิดาข้าคว่ำเขาได้ด้วยมือข้างเดียว”

พื้นที่ด้านหลัง ในค่ายทหารกองทัพอวิ๋นโจว เก่อเหวินเซวียนถือกล้องส่องทางไกลตาเดียวเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของทหารอารักขาบนยอดกำแพงเมือง ก่อนยิ้มอย่างอดไม่ได้

“คุณชายจีเสวียนช่างเป็นผู้สร้างชื่อในสงครามเดียวจริงๆ

“หนึ่งคนหนึ่งม้า ทำให้ทหารอารักขาต้าฟ่งตกใจจนเงียบราวจักจั่นในฤดูหนาว คิดแล้วการพิชิตที่ราบลุ่มภาคกลางถือเป็นการทิ้งชื่อในตำราประวัติศาสตร์ทีเดียว”

แม่ทัพระดับสูงแต่ละกองพันต่างมีกล้องส่องทางไกลตาเดียวในมือคนละตัว และกำลังเฝ้ามองกำแพงเมืองสวินโจวอย่างใกล้ชิด

หลังจากฟาดมีดออกไปครั้งหนึ่งแล้ว จีเสวียนจึงกวาดตาผ่านยอดกำแพงเมืองอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบสนองจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วเอ่ยว่า

“ทำไม หลังจากสตรีขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้ว พวกเจ้าก็กลายเป็นแม่หญิงไปเลยรึ”

“หยุดเพ้อได้แล้ว! ฆ้องเงินสวี่เป็นผู้มีคุณธรรม มีคุณูปการต่อสังคมและราษฎร แม้พวกข้าจะต้องสู้จนตัวตายก็ไม่ยอมให้เจ้าได้สมปรารถนา”

แม่ทัพนายหนึ่งบนยอดกำแพงตะโกนเสียงดัง

จีเสวียนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็สะบัดข้อมือพุ่งมีดสั้นออกไป

แม่ทัพผู้นั้นมีตบะไม่อ่อนด้อย จึงสัมผัสได้ถึงอันตรายที่จะเข้ามาและกระโจนไปด้านข้าง

‘โครม!’

ยอดกำแพงเมืองบริเวณนั้นระเบิดเป็นช่องโหว่ เศษหินกระจัดกระจายไปทั่ว

แม่ทัพผู้นั้นหลบหลีกจากมีดอันน่ากลัวนี้ได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บจากผลที่ตามมาจนล้มกองกับพื้น

“ไม่รู้จักให้เกียรติกันเลย ลุกขึ้นยืนอีกสิ” จีหย่วนไม่หยุดปาก

ทหารอารักขาต้าฟ่งมิอาจเอ่ยวาจาจากความโกรธ ได้แต่กำอาวุธพลางกัดฟันแน่นด้วยความอัดอั้น

เมื่อเห็นว่าจนแล้วจนรอดทหารอารักขาก็ไม่ยินยอมให้ความร่วมมือ จีเสวียนจึงชักดาบคาดเอวออกมาอย่างไร้อารมณ์ ใบหน้าหล่อเหลาฉาบด้วยรอยยิ้มหยัน

“ดูท่าคงไม่ยอมรับเจตนาดีของข้า เช่นนั้นวันนี้ จีเสวียนผู้นี้จะถล่มเมืองและมอบเป็นของแสดงความยินดีในการขึ้นครองบัลลังก์แด่จักรพรรดินีของพวกเจ้า”

หากไม่คิดว่าอาจจะเผลอขยี้สวี่ซินเหนียนตายเหมือนแมลงตัวหนึ่ง เขาคงไม่มาเปลืองน้ำลายอยู่หรอก

เมื่อดาบยาวออกจากฝัก อานุภาพความกดดันของจอมยุทธ์เหนือมนุษย์ก็ถูกปลดปล่อย มาถาโถมจิตใจทหารอารักขาทุกคนที่อยู่บนยอดกำแพงเมืองราวกับกระแสน้ำในมหานที ประหนึ่งภูผาถล่ม

ทำให้ทหารอารักขาธรรมดาๆ รู้สึกราวถึงวันสิ้นโลกและสูญสิ้นความกล้าที่จะต่อสู้

หยางกงกำลังจะสำแดงวรยุทธ์ขงจื๊อเพื่อปลุก ‘จิตวิญญาณนักรบ’ และช่วยทหารอารักขาให้หลุดพ้นจากพลังกดข่มของจอมยุทธ์ขั้นสาม

ในขณะที่จิตใจของทหารบนยอดกำแพงเมืองเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ทันใดนั้น ชั้นเมฆบนท้องฟ้าก็แปรปรวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก่อนก่อตัวเป็นใบหน้าขนาดมหึมากำลังก้มมองสวินโจว ก้มมองจีเสวียนที่ตัวเล็กราวกับมด

“แค่ระดับสามก็กล้าคุยโวไม่อายฟ้าดินแล้ว!”

เสียงทุ้มต่ำและน่าเกรงขามดังมาจากเหนือสวรรค์ทั้งเก้า

ใบหน้าซึ่งเกิดจากการควบแน่นของก้อนเมฆนั้น ทหารอารักขาจำนวนไม่น้อยในที่นี้ต่างรู้จักดี

ฆ้องเงินแห่งต้าฟ่ง สวี่ชีอัน

เมืองชิงโจว

ณ ภัตตาคารซึ่งอยู่ห่างจากสำนักตุลาการความมั่นคงไปสองถนน ฉู่หยวนเจิ่นยืนข้างหน้าต่าง กำลังก้มมองถนนสายหลักซึ่งมีผู้คนสัญจรไม่มากนัก

“เมื่อครั้งที่ข้ามาเยือนชิงโจว สถานที่นี้เต็มไปด้วยดอกไม้ ชาวบ้านอยู่อาศัยทำมาหากินกันอย่างสงบสุข คิดไม่ถึงว่าเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปีจะซบเซาลงถึงเพียงนี้” ฉู่หยวนเจิ่นถือแก้วสุราพลางเอ่ยอย่างถอนถอดใจ

เมืองชิงโจวกลายมาเป็นเช่นนี้ มีสภาพกึ่งหายนะกึ่งวุ่นวายจากสงคราม

อันที่จริงแล้วเมืองชิงโจวยังนับว่าดี หลังจากกองทัพอวิ๋นโจวบุกยึดเมืองนี้ได้ก็เคยปล้นทรัพย์สินชาวบ้านไปเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็มิได้ทำการปล้นสะดมอีก

หากนำเงินและเสบียงที่ฉกชิงมาจากชาวบ้านไปบรรเทาทุกข์ให้กับผู้คน นำจากประชาชนไปใช้กับประชาชน ทั้งยังได้รับคลื่นแห่งการสรรเสริญขอบคุณอีกด้วย

หลี่หลิงซู่ถามว่า

“พี่หยาง เฮยเหลียนยังอยู่ในที่ทำการปกครองหรือไม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง