ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 767

บทที่ 767 ร่วมเป็นร่วมตาย

Ink Stone_Fantasy

ห้องทรงพระอักษร

พวกขันทีย้ายโต๊ะทรายและธงเล็กมา จัดวางตามคำสั่งของราชินี ธงเล็กสีแดงเป็นตัวแทนทัพต้าฟ่ง ธงเล็กสีฟ้าเป็นตัวแทนทัพอวิ๋นโจว

นอกจากนี้ ยังมีชายแดนตอนใต้ ดินแดนประจิมทิศ สำนักพ่อมด ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่จิ่วโจวขนาดย่อส่วน

ในนั้นมีธงเล็กพื้นดำขอบทองสิบกว่าผืน บนธงเขียนอักษร ‘ลั่ว จ้าว สวี่ โค่ว จิน อา ซุน’ เป็นต้น

ฮว๋ายชิ่งสะบัดแขนเสื้อ ขันทีในห้องถอยออกไปตามลำดับ

ในห้องทรงพระอักษรที่เงียบสงบ ฮว๋ายชิ่งผลักธง ‘ลั่ว’ ไปตอนเหนือ จากนั้นผลักพันธมิตรและศัตรูของแต่ละฝ่ายตามไปด้วย

กำจัดระดับเหนือมนุษย์ส่วนเล็กส่วนน้อยทั้งหมด สู้ตายกับไป๋ตี้และเจียหลัวซู่เท่านั้น นี่คือสถานการณ์ที่ฝ่ายต้าฟ่งคิดว่าดีที่สุด

แต่บางที ศัตรูจะเห็นต่างออกไป

ดังนั้น ฮว๋ายชิ่งผลักธงเล็ก ‘ไป๋ตี้’ กับ ‘เจียหลัวซู่’ ไปยงโจว

ถ้าทัพอวิ๋นโจวฉวยโอกาสที่ลั่วอวี้เหิงหนีเคราะห์กรรม รวบรวมพลังยึดยงโจวในครั้งเดียว ถ้าเช่นนั้นตามความเห็นของฮว๋ายชิ่ง นี่คือความสูญเสียที่ยอมรับได้

อย่าว่าแต่โจมตียึดยงโจว ต่อให้ยอมยกเมืองหลวงให้โดยดี ฮว๋ายชิ่งก็ไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย

เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สวี่ผิงเฟิงจะหลอมโชคชะตายงโจวกับเมืองหลวง โจมตียึดยงโจวในสิบสามวัน…ซ้ำยังเป็นเพียงการยึดครองในเวลาสั้นๆ แต่แลกมาซึ่งลั่วอวี้เหิงหนีเคราะห์กรรมสำเร็จ เลื่อนขั้นเป็นเซียนครองพิภพขั้นหนึ่ง

ถึงเวลานั้น ต้าฟ่งจะโต้ตอบได้อย่างเต็มที่

นี่ก็คือการมองภาพรวมใหญ่ของนาง

จากนั้น ฮว๋ายชิ่งก็ผลักธง ‘ลั่ว’ ไปชายแดนตอนใต้ ถ้าจัดให้สถานที่ทำสงครามเป็นชายแดนตอนใต้ล่ะ?

ที่นี่เป็นพันธมิตรของต้าฟ่งทั้งหมด

“ตัวเลือกนี้ ข้อดีและข้อเสียชัดเจนอย่างยิ่ง สำนักพุทธยังมีขั้นหนึ่งสองท่าน ขั้นสองหนึ่งท่าน ส่วนเผ่าพันธุ์กู่แม้มียอดฝีมือเหนือมนุษย์จำนวนมาก แต่ขั้นสามไม่พอที่จะแทรกแซงสงครามระดับขั้นนี้ แม่ย่าเทียนกู่ขั้นสองเพียงหนึ่งเดียวก็เป็นผู้ไม่เชี่ยวชาญสงคราม

“ที่สำคัญคือสวี่ชีอันไม่อาจโยกย้ายพลังแห่งเวไนยสัตว์ที่ชายแดนตอนใต้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ จำนวนยอดฝีมือเหนือมนุษย์ฝ่ายตนเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่พลังต่อสู้ระดับสูงกลับลดลง”

ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า

อีกทั้งไม่แน่ว่าระดับเหนือมนุษย์เผ่าพันธุ์กู่จะยอมช่วยเหลือ เพราะสำหรับพวกเขา นี่อาจพินาศได้เสมอ

นอกจากนี้ นางยังมีอีกเรื่องให้กังวล ไม่มีคนไม่รู้ว่าท่านนั้นในอรัญตายังมีแรงเหลือแสดงร่างธรรมพระมหาไวโรจนะหรือไม่

ถ้าเสินซูเข้าร่วมสงคราม ท่านนั้นก็ยังมีแรงเหลือ ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะปรากฏตัว ดี พ่ายแพ้ทั้งกระดาน

คิดไปคิดมา ให้ลั่วอวี้เหิงเลือกสถานที่หนีเคราะห์กรรมเป็นตอนเหนือ คือวิธีที่เหมาะสมที่สุด

ดังนั้นฮว๋ายชิ่งย้ายตัวหมากกลับสู่ตอนเหนือ ย้ายเจียหลัวซู่ ไป๋ตี้ รวมทั้ง ‘สวี่ อา จิน จ้าว’ ระดับเหนือมนุษย์ทั้งสี่ท่านเรียงอยู่ข้างบนตัวหมาก ‘ลั่ว’ ด้วย

“สวี่ชีอัน…”

ฮว๋ายชิ่งหลับตา พึมพำว่า

“เจ้ามั่นใจจริงๆ หรือทุ่มสุดตัวเดิมพันกันแน่?”

จวนสกุลสวี่

กองทหารต้องห้ามสาวเท้าบุกเข้าในจวน

ยามนี้ห้องโถงชั้นใน อาสะใภ้ยังขอเคล็ดลับปลูกดอกไม้จากมู่หนานจืออย่างกระตือรือร้น ลานด้านนอกและลานด้านในจวนสกุลสวี่เต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง ในปลายฤดูหนาวเย็นเยียบ แลดูราวกับแดนสวรรค์

“พี่หญิง เจ้ารีบสอนข้า จะเรียนวรยุทธ์มหัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร”

ยามนี้อาสะใภ้เลื่อมใสเทพดอกไม้มาก อ้าปากหุบปากมีแต่ ‘พี่หญิง’

หลานชายดวงซวยพาคนเข้าจวนไม่เว้นแต่ละวัน คนแรกคือหลี่เมี่ยวเจินที่ต่อหน้าสุภาพมีมารยาท ลับหลังพูดว่าร้ายนางในกระจกน้อยบานนั้นผู้นั้น

จากนั้นคือลี่น่าถังข้าวที่ทั้งวันรู้จักแต่กิน กินเนื้อหมูเนื้อปลาบ้านสกุลสวี่ทุกวันก็ช่างเถอะ ยังร่วมกับสวี่หลิงอินลูกสาวเนรคุณขโมยยาเสริมความงามของนาง

นางไม่ชอบสองคนก่อนหน้า แต่คนที่ชื่อมู่หนานจือผู้นี้ นางชอบมาก

อายุไล่เลี่ยกัน มีหัวข้อสนทนาร่วมกัน

“น้ามู่เป็นอะไรกับพี่ใหญ่ข้า”

สวี่หลิงเยวี่ยข้างๆ มีสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ท่าทางอ่อนโยนไม่มีพิษภัย

ที่จริงสวี่หลิงเยวี่ยไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะถูกใจหญิงที่แต่งงานแล้วท่าทางธรรมดาๆ เช่นนี้ อายุยังเท่ามารดาอีกต่างหาก

แต่เห็นสตรีนางนี้แวบแรกก็รู้ว่ามีสามีแล้ว เหตุใดต้องมาอยู่ที่จวนสกุลสวี่

“ไม่ได้เป็นอะไรกัน เขามาก่อกวนข้าทุกวันก็เท่านั้น” มู่หนานจือพูด

อาสะใภ้ได้ยินก็โมโห จูงมือมู่หนานจืออย่างละอายใจ

“เจ้าว่าเด็กดวงซวยผู้นี้ ช่างหน้าไม่อายจริงๆ ข้าไม่ได้สอนเขาให้ดี เป็นความผิดของข้า พี่หญิงเจ้าบอกข้า เขาก่อกวนเจ้าอย่างไร เดี๋ยวข้าให้เขาไปคุกเข่าในศาลบรรพชนสามวันสามคืน”

ขณะพูด พ่อบ้านพากองทหารต้องห้ามเข้ามา

สตรีสามนางในห้องโถงลุกขึ้นพร้อมกัน มองข้างนอกอย่างงงงวย

กองทหารต้องห้ามหยุดอยู่นอกห้องโถง แบ่งแถวเป็นสองฝั่ง เมื่อเสียงกระทบกันของชุดเกราะหยุดลง ผู้นำกองทหารก้าวเข้าห้องโถง แสดงคารวะก้มตัว

“ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ รับสมาชิกหญิงบ้านสกุลสวี่เข้าวัง”

วันนี้ในเมืองหลวง ตั้งแต่ผู้บัญชาการค่ายกองทหารต้องห้ามตลอดจนเหล่าขุนนางในราชสำนัก ครอบครัวของบุคคลที่มีอำนาจทั้งหมดถูกรับเข้าไปในวัง

คลังหลวงและยุ้งฉางแกะสลักค่ายกลส่งตัวเต็มไปหมด

ราชสำนักเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้ว เมื่อลั่วอวี้เหิงหนีเคราะห์กรรมล้มเหลว ยอดฝีมือเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งพินาศ บุคคลที่มีอำนาจในเมืองหลวงก็จะถูกส่งตัวทันที

สงครามครั้งนี้ สำหรับราชินี เหล่าขุนนาง และราชสำนัก คือสงครามที่เดิมพันด้วยชะตาบ้านเมือง

แต่สำหรับชนชั้นล่าง วันนี้ไม่ต่างจากเมื่อวาน ชีวิตไม่นับว่าร่ำรวย แต่ร่มเย็นเป็นสุข

อย่างมากที่สุดก็พูดคุยเรื่องสงครามตอนใต้ในยามว่างหลังอาหาร บ่นว่าเหตุใดราชสำนักยังไม่แพร่ข่าวเรื่องฆ้องเงินสวี่พกดาบเล่มเดียว สังหารกองทัพใหญ่อวิ๋นโจวตั้งหนึ่งแสนนาย

อารามรัตนะ

ลั่วอวี้เหิงยืนอยู่ริมสระน้ำ มองหนุ่มน้อยฝั่งตรงข้าม เอื้อมมือออกไป

“กลับมา!”

กระบี่เทพบนศีรษะของสวี่ชีอัน ‘ออกจากฝัก’ กลับสู่ในมือเจ้านาย พร้อมด้วยก้อนแดงบ้างขาวบ้าง

“มันสมองของข้า…”

สวี่ชีอันรีบรับไว้ ซึมซับพลังชีวิตในเลือดสดและมันสมอง จากนั้นนั่งยอง ล้างมือให้สะอาด

ระหว่างนั้น บาดแผลกระบี่บนศีรษะเขาหายสนิท ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม

ลั่วอวี้เหิงสะบัดมือให้เลือดบนกระบี่ออกไปจนหมด ส่งเสียงฮึดฮัด

ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ใจแคบเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันแขวะในใจเสร็จ เหลียวซ้ายแลขวาโดยไม่รู้ตัว ไม่เจอผู้พิทักษ์หยวน โล่งอกขึ้นมาทันที

คิดแล้วก็เจ็บปวดใจ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นลูกพี่ขั้นสองแล้ว ยังถูกลิงตัวหนึ่งสร้างเงามืดในจิตใจ

ลั่วอวี้เหิงหรี่ตา พูดเสียงเย็นชา

“เจ้าคิดเพ้อเจ้ออะไรอีก”

“ข้ากำลังชมว่าราชครูงดงามดุจเทพธิดา ได้กลายเป็นคู่บำเพ็ญกับราชครู คือโชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชาตินี้ของข้า” สวี่ชีอันหน้าหนายิ้มแย้ม

ลั่วอวี้เหิงพูดเสียงเรียบ

“เช่นนั้นก็ยกเลิกงานแต่งงานกับหลินอัน”

สวี่ชีอันหัวเราะ “ฮ่าๆ” จากนั้นสำรวมรอยยิ้มบนใบหน้า เกาหัว ถอนใจพูดว่า

“สิ่งที่ข้าให้นางได้มีเพียงฐานะและชื่อเสียง”

ลั่วอวี้เหิงมองเขาอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง

สวี่ชีอันลุกขึ้น ก้าวเดียวข้ามสระน้ำ จ้องใบหน้างดงามโดดเด่นไร้ซึ่งตำหนิเขม็ง พูดเสียงเบา

“สิ่งที่ข้าให้เจ้าได้ คือร่วมเป็นร่วมตาย

“ศึกนี้ ข้าอยู่ เจ้าอยู่ เจ้าตาย ข้าตาย!”

ลั่วอวี้เหิงเม้มปาก ก้มหน้าทันที คล้ายไม่กล้าสบตาเขา มองผิวน้ำที่ถูกลมพัดกระเพื่อม พูดว่า “อืม” เสียงเบา

สองคนกลายเป็นสายรุ้งทอดยาว ค่อยๆ หายไปบนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง

การหนีเคราะห์กรรมยังไม่เริ่มต้น ยงโจวเข้าสู่ไฟสงครามแล้ว

กองทัพใหญ่อวิ๋นโจวอ้อมผ่านสวินโจว รวมพลนอกเมืองหนานกวนที่ห่างจากสวินโจวไปทางตะวันออกเฉียงใต้แปดสิบลี้

ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ตีเมืองอย่างยิ่งใหญ่ ในครึ่งวันก็ยึดเมืองหนานกวนที่พลังป้องกันไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น

หลังจากโจมตียึดเมืองหนานกวน ทัพอวิ๋นโจวไม่ยึดครอง แต่ฆ่าทหารและชาวเมือง

จากนั้นปล้นจี้ชาวเมืองที่เหลือและวัตถุสิ่งของ ถอยทัพอย่างยิ่งใหญ่ ทิ้งคูเมืองที่กลายเป็นซากปรักหักพังไว้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง