ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 775

สรุปบท บทที่ 775 เทศกาลไหว้วสันต์...ฟื้นคืนชีพ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 775 เทศกาลไหว้วสันต์...ฟื้นคืนชีพ จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 775 เทศกาลไหว้วสันต์...ฟื้นคืนชีพ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 775 เทศกาลไหว้วสันต์…ฟื้นคืนชีพ

หลังจากกินแก่นปราณสีม่วงลงไป เทพธิดาปิงอี๋ก็ยกนิ้วชี้ไปแตะที่หว่างคิ้วของศิษย์ตนแล้วใช้วิชาเวทเพื่อละลายยาชั้นยอด

หลังจากที่ยาละลาย มันก็ไม่ได้ตกลงไปในท้อง ทว่ากลายเป็นปราณสีม่วงอบอวลอยู่ที่หว่างคิ้วของหลี่เมี่ยวเจิน

กระบวนการนี้ดำเนินไปเป็นเวลายาวนานมาก ยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ ปราณสีม่วงก็ค่อยๆ รวมตัวกันแล้วกลายเป็นลวดลายสีม่วงที่หว่างคิ้วของนาง

ลวดลายสีม่วงนั้นเหมือนกับลวดลายที่อยู่บนเม็ดยา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าสรรพคุณยาได้ตกตะกอนแล้ว

ร่างกายขั้นสี่ของหลี่เมี่ยวเจินยังไม่อาจดูดซึมสรรพคุณของยาได้อย่างสมบูรณ์

นางได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทัศนียภาพเบื้องหน้าค่อยๆ เปลี่ยนจากเลือนรางเป็นแจ่มชัด สิ่งแรกที่มองเห็นคือหลี่หลิงซู่ที่ร้องห่มร้องไห้จนจมูกแดงก่ำ หลี่เมี่ยวเจินงุนงงไปทันที ในใจพูดว่า ‘ศิษย์พี่ ท่านก็มาเป็นเพื่อนข้าด้วยหรือ’

จากนั้นนางก็มองเห็นอาจารย์ของตนเทพธิดาปิงอี๋ และยังมีอาจารย์ลุงนักบวชเต๋าเสวียนเฉิง

นางจึงเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

นางที่มีใบหน้าซีดขาวและริมฝีปากแห้งผากพยายามฉีกยิ้มออกมา

“ขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์ช่วยชีวิตเจ้าค่ะ”

เจอเคราะห์ร้ายแต่กลับไม่ตาย เดิมควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพียงแต่การได้เห็นสหายร่วมรบตายในสมรภูมิครั้งนี้ กลับทำให้ในใจของนางหนักอึ้งและไร้ซึ่งความดีใจแม้เศษเสี้ยว

“เจ้าเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์และเป็นหนึ่งในผู้สืบทอด อาจารย์ย่อมต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว”

เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

“ที่อาจารย์และอาจารย์ลุงเสวียนเฉิงของเจ้าลงจากเขามาครั้งนี้ เป็นคำสั่งของเทพสวรรค์เพื่อพาพวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องกลับนิกาย หลังจากจบการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ นิกายสวรรค์ก็จะปิดภูเขา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจลงจากเขาได้”

หลี่เมี่ยวเจินตรวจสอบดูร่างกายของตนเอง อวัยวะภายในเสียหายหลายแห่ง กายเนื้อตกอยู่ในภาวะวิกฤต แต่จิตเดิมที่โดนแผดเผาถูกซ่อมแซมจนสมบูรณ์แล้ว

นางรู้ว่าตนไม่อาจดื้อดึงกับอาจารย์ได้ จึงเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ย

“เทพสวรรค์จะลงโทษศิษย์อย่างไรหรือเจ้าคะ”

เทพธิดาปิงอี๋ส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ

“นั่นเป็นเรื่องของท่านเทพสวรรค์”

หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ถามมากความอีก นางหันไปมองหลี่หลิงซู่แล้วเอ่ยขึ้น

“ศิษย์ยังมีความปรารถนาในใจหนึ่งอย่าง ชีก่วงป๋อเข้าโจมตีเมืองสวินโจวกะทันหัน สถานการณ์เร่งด่วนนัก จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับพวกแม่ทัพอย่างท่านหยางเยี่ยนโดยไว ขอให้อาจารย์โปรดเมตตาช่วยให้ศิษย์สมปรารถนาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

เทพธิดาปิงอี๋ขมวดคิ้ว

“เจ้าตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ยังมองเรื่องราวในโลกมนุษย์ไม่ขาดอีกหรือ”

หลี่เมี่ยวเจินมองไปยังสมรภูมิที่เต็มไปด้วยซากศพอีกครั้ง แววตาเจ็บปวดนัก “เพื่อนของข้าล้วนอยู่ในสนามรบนั้น ข้ายังไปไม่ได้”

สิ่งที่ยังตัดใจไม่ไปได้ หมายถึงหัวใจ

เทพธิดาปิงอี๋พยักหน้า ศิษย์ดื้อรั้นผู้นี้ได้ทำเรื่อง ‘ผิด’ ไปหลายอย่างแล้ว และนางก็ไม่มีทางบีบบังคับลูกศิษย์เพราะอารมณ์โกรธเกรี้ยวหรือแค้นที่หลอมเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้าอย่างแน่นอน

ไม่ ความจริงตอนนี้นางไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น แม้แต่ความโกรธก็ยังไม่มี

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงก็เช่นกัน แต่เขาก็ยังเอ่ยเงื่อนไขเรื่องหนึ่งออกมา เขานำเม็ดยาสีเขียวมรกตส่งมอบให้กับหลี่หลิงซู่แล้วเอ่ยบอก

“เพื่อไม่ให้เจ้าหนีไปอีกครั้ง จงกินมันลงไปเสีย”

ยากลืนวิญญาณ!

ยานี้คือยาที่มีเฉพาะในนิกายสวรรค์ หลังจากกินเข้าไป หากไม่ได้รับยาแก้ภายในสามวัน จิตเดิมจะแห้งเฉา

ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับเหนือสามัญ ล้วนแต่ไม่อาจรอดไปได้

ในฐานะที่เป็นเทพบุตร หลี่หลิงซู่ย่อมรู้จักยาชนิดนี้ดี จึงมองนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงอย่างเหลือเชื่อแล้วโอดครวญว่า

“อาจารย์ ขะ…ข้าคือศิษย์ของท่านมาตั้งแต่เด็กจนโตเลยนะ ท่านไม่เจ็บปวดใจบ้างหรือ ไม่รู้สึกเสียใจบ้างหรือ”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและใบหน้าไร้อารมณ์

“แล้วเจ้าคิดว่าอาจารย์รู้สึกหรือไม่เล่า”

‘ให้ตายเถอะ การตัดอารมณ์ความรู้สึกนี่มัน…’ หลี่หลิงซู่ทำตามคำสั่งแล้วขี่กระบี่บินหายลับไปในท้องฟ้าคราม

ตอนนี้เขาแน่ใจเสียยิ่งกว่าแน่ว่าจิตใจของท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่ตัวเองเลย

นิกายสวรรค์ช่างไม่จำเป็นเลยสักนิด

หนึ่งวันก่อนเทศกาลไหว้วสันต์

ตามปกตินั้น เทศกาลไหว้วสันต์จะต้องเป็นช่วงเวลาที่ทุกครัวเรือนในภาคกลางคึกคักที่สุด

มันเป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิที่หวนคืนสู่แผ่นดินใหญ่ สรรพชีวิตล้วนฟื้นฟูขึ้นมา และในการไหว้วสันต์ทุกปี ราชสำนักจะจัดงานเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ตระการตา เพื่อขอพรให้ปีนี้มีลมฝนตกต้องตามฤดูกาล ชาวประชาอยู่เย็นเป็นสุข

ประชาชนจะต้มแกะเชือดหมูกันในวันนี้เพื่อนำมาเซ่นไหว้ฟ้าดินและขอพรให้การเก็บเกี่ยวในปีนี้มีผลดี

แต่การไหว้วสันต์ในปีนี้เป็นเรื่องน่าอัปยศที่สุดสำหรับชาวบ้าน คนร่ำรวยก็ยังไม่เปลี่ยน ส่วนคนจนก็มีแต่ต้องใช้หญ้าฟางมาเป็นของเซ่นไหว้แทน

ส่วนด้านราชสำนัก หน่วยงานราชการทั้งบนล่างล้วนแต่ไม่มีกะจิตกะใจมาจัดพิธีไหว้วสันต์กันแล้ว

ไม่ได้เป็นเพราะขาดแคลนเงินทอง เพราะต่อให้ราชสำนักจะอัตคัดขัดสนเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นจัดพิธีไหว้วสันต์ไม่ได้ แต่หลักๆ แล้วเป็นเพราะสงครามที่ยงโจว จึงทำให้ผู้คนวิตกกังวลกันถ้วนหน้า

แปดวันผ่านไปหลังจากลั่วอวี้เหิงเผชิญเคราะห์กรรมเลื่อนขั้น ในช่วงเวลานี้ การศึกที่ยงโจวนั้นไม่อาจใช้คำง่ายๆ อย่าง ‘โหดร้าย’ หรือ ‘น่าสลดใจ’ มาบรรยายได้แล้ว

อย่างแรกคือกองทัพอวิ๋นโจวบุกรุกสวินโจว ทหารคุ้มกันเมืองล้มตายจนเหลือเพียงสามพันคน ท่านหยางกง ผู้เป็นอดีตสมุหเทศาภิบาลแห่งชิงโจวและหัวหน้าผู้บัญชาการคนปัจจุบันของยงโจวก็แขนขาดไปข้างหนึ่งขณะคุ้มกันเมือง และกองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่ก็ล้วนถูกกำจัดจนสิ้น

สวินโจวตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย สวี่ซินเหนียนและกองทหารอื่นๆ ที่อยู่ในแนวป้องกันต้องรีบกลับมาเสริมทัพให้ทันเวลา หยางกงที่บาดเจ็บสาหัสตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขานำทหารคุ้มกันเมืองที่เหลือ รวมถึงกำลังเสริมจากทั้งภายในภายนอกออกไปจากเมืองแล้วเข้าโจมตีกองทัพแห่งอวิ๋นโจว

ชีก่วงป๋อนำทัพอวิ๋นโจวบุกรุกสวินโจวล้มเหลว แต่เมื่อยิงศรไปแล้วย่อมไม่มีลูกศรหวนกลับ ทำได้เพียงต้องกัดฟันสั่งให้ทหารใต้บัญชาเข้าต่อสู้ดุเดือดกับทัพต้าฟ่ง

ทั้งสองฝ่ายทำศึกอยู่นอกเมืองสวินโจวเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนจนเลือดนองดุจสายน้ำ รายงานที่ถูกส่งกลับมายังเมืองหลวงกล่าวว่า ซากศพของมนุษย์และม้ามีมากมายเกินจะคณานับ และก่อเกิดเป็นแนวกีดขวางขนาดใหญ่ตามธรรมชาติ

ศึกครั้งนี้เดิมทีมีโอกาสทำลายทัพกองกลางของทัพอวิ๋นโจวอยู่ และหากที่ทำสำเร็จ บางทีอาจจะกลายเป็นหนึ่งในจุดพลิกผันของสงครามในภาคกลางเลยก็ได้

จนกระทั่งกองทหารที่น่าสะพรึงปรากฏออกมาและเข้าสู่สนามรบอย่างดุดันราวกับไม่สนเหตุผลใด พร้อมด้วยการร่วมมือจากกองกลางของทัพอวิ๋นโจว จึงตัดกำลังทหารต้าฟ่งทั้งนอกและในไปได้มากโข

ต้าฟ่งที่เดิมทียังถือไพ่เหนือกว่ายากจะสู้รบกับทหารกลุ่มนี้ในพื้นราบ จึงแต่ต้องล่าถอยกลับเมืองเพื่อพักกายใจ

จนถึงบัดนี้ ขุนนางในท้องพระโรงต้าฟ่งทุกคนล้วนแต่จดจำทหารกลุ่มนี้เอาไว้ในใจอย่างตราตรึง พวกนั้นมีชื่อว่า ‘กองทัพเต่าดำเซวี่ยนหวู่’

พวกมันไม่เคยปรากฏตัวในสนามรบที่ชิงโจวมาก่อน แต่กลับมีชื่อขึ้นมาในการศึกเพียงครั้งเดียวและกลายเป็นฝันร้ายของทหารต้าฟ่งตลอดจนถึงขุนนางในราชสำนัก ที่เมื่อได้ยินคำว่า ‘ทัพเซวี่ยนหวู่’ ก็ล้วนแต่รู้สึกขนหัวลุกอย่างอดไม่ได้

ชีก่วงป๋อตั้งใจแน่วแน่ที่จะทะลวงสวินโจว จึงทำการปิดล้อมเมืองอีกครั้งในคืนนั้นและส่งกำลังทหารเข้าสู้โดยไม่สนว่าจะต้องเสียอะไร จนกระทั่งในยามรุ่งสาง สวินโจวก็ไม่อาจรักษาไว้ได้

กองทัพต้าฟ่งพากันหนีออกจากสวินโจว หยางกง จางเซิ่น และหลี่มู่ไป๋ทั้งสามคนนำกำลังคนและม้ากว่าแปดร้อยนายไปสู้รบ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่มีฝีมือเก่งกาจคาดเดาไม่ได้ จึงคุ้มครองให้กองทัพต้าฟ่งหนีไปได้สำเร็จ

แต่เนื่องจากหยางกงใช้วิชาลั่นประกาศิตบ่อยครั้ง บวกกับที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัสเป็นทุนเดิม วิชาจึงสะท้อนกลับเข้าตัวจนบาดเจ็บทั้งภายในภายนอก หลังจากถอยกลับเข้าเมืองยงโจวก็สลบไปไม่ฟื้นตื่น ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย

ศึกครั้งนี้ได้กวาดล้างกองทัพชั้นยอดของต้าฟ่งที่เหลืออยู่จนเกลี้ยง นับตั้งแต่ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเป็นต้นมา กองทัพหนึ่งแสนคนล้วนสิ้นชีพในการรบอยู่ที่เมืองจิ้งซาน หน่วยทหารยอดฝีมือของต้าฟ่งก็อยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นกังวล

ในสงครามที่ชิงโจว ราชสำนักได้ส่งทหารนายพลและกองกำลังชั้นยอดที่สามารถเคลื่อนย้ายได้จากเมืองต่างๆ ไปยังชิงโจวเกือบทั้งหมดแล้ว

สุดท้ายผู้คนนับห้าหมื่นก็ตายอยู่ในสมรภูมิ ส่วนที่เหลือนั้นถอยกลับมายังยงโจว

หลังจากจักรพรรดินีขึ้นครองราชย์ เจ้ากรมทหารก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะโดนโยกย้ายทหารอีกหนึ่งหมื่นนายที่อยู่ในสองสามเมืองใกล้เคียงไปอีกแล้ว

ในศึกที่สวินโจว แม้แต่ทรัพย์สินของตระกูลก็ยังถูกถลุงไปไม่น้อย

ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และทหารอาสาอย่างพวกหลี่เมี่ยวเจิน ต่างก็ถูกทำลายล้างในสงครามล้อมเมืองที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน

หัวหน้าขั้นสี่สองคนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์สิ้นชีพ ศิษย์ใต้บังคับบัญชาบาดเจ็บล้มตายไปกว่าแปดส่วน โดยเฉพาะทางฝั่งหลี่เมี่ยวเจิน กองทัพนางแอ่นเหินที่นางควบคุมอยู่ล้วนถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น ตัวนางและศิษย์พี่หลี่หลิงซู่ถูกผู้อาวุโสจากนิกายสวรรค์พากลับไป บัดนี้ยังไม่มีข่าวคราว

หลังจากสวินโจวเสียเมือง กองทัพอวิ๋นโจวก็ชักธงพักรบและเผชิญหน้าอยู่ตรงข้ามกับกองทัพต้าฟ่ง

ตอนที่กองทัพอวิ๋นโจวออกมาจากอวิ๋นโจวนั้น มีกองกำลังสายตรงทั้งหมดหกหมื่นหน่วยรบ แบ่งเป็นทัพซ้าย ทัพขวา และทัพกลาง ทั้งหมดนั้นเป็นกองทัพสุดยอดในสุดยอด ซึ่งยังไม่นับทัพเหล่ากองทัพพลเรือนอีก

หลังจากยึดชิงโจวสำเร็จ พวกเขาก็ได้คัดเลือกผู้คนในยุทธภพและผู้ลี้ภัยโดยอาศัยเงินทองและเสบียงที่สำรองไว้อย่างเหลือเฟือ จากนั้นกำลังทหารจึงเพิ่มขึ้นมาถึงหนึ่งแสน และทำให้เกิดภาพกองทัพอวิ๋นโจวที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกองทัพต้าฟ่งที่น้อยลงไปเรื่อยๆ

คลังหลวงของต้าฟ่งว่างเปล่า ผู้ลี้ภัยกลายเป็นหายนะ อวิ๋นโจวเตรียมพร้อมมาก่อนโดยสั่งสมกำลังมาตลอดยี่สิบปี

นี่ก็คือรากฐานของพวกเขา

ในสงครามที่ชิงโจว กองทัพอวิ๋นโจวมองดูคราแรกก็เหมือนจะเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ความจริงแล้วยอดฝีมือสามหมื่นในทัพซ้ายนั้นได้ถูกกองทัพต้าฟ่งจัดการไปกว่าเจ็ดแปดส่วนแล้ว

หลังจากเริ่มสงครามในยงโจว ทหารจับฉ่ายและทหารชั้นยอดต่างก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งศึกอันน่าสลดใจเพื่อยึดสวินโจวจบลง ทัพกลางสายตรงของแม่ทัพใหญ่ชีก่วงป๋อก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น

คนจากยุทธภพและทหารจับฉ่ายที่ระดมมาก็เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ กองทัพอสูรเหินเวหาที่เคยทะยานอยู่บนท้องฟ้าไปทั่วสนามรบก็เหลืออยู่เพียงยี่สิบสามสิบนาย จึงถูกลดชั้นให้ไปเป็นหน่วยสอดแนมทางอากาศทั้งหมด

ไม่นานนัก นางก็มาถึงชั้นเจ็ด ภายในห้องยาอันกว้างขวาง ซ่งชิงรออยู่นานแล้ว เขาลุกขึ้นโค้งคำนับ

“ฝ่าบาท หากพระองค์ยังไม่มาอีก กระหม่อมก็จะไม่สนเรื่องการฟื้นคืนชีพเว่ยเยวียนแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรในมือของกระหม่อมก็ยังมีการทดลองแปรธาตุอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ยุ่งมากนัก”

ฮว๋ายชิ่งเหลือบมองซ่งชิงผู้เห็นว่า ‘แม้นฟ้าสูงแผ่นดินใหญ่ แต่การทดลองแปรธาตุนั้นสำคัญที่สุดในใจ’ ก่อนที่ใบหน้าไร้อารมณ์จะพยักหน้าให้

“นำทางไป!”

ไม่มีอะไรให้ต้องตำหนิ นางเป็นเพื่อนฉู่ไฉ่เวยมานานหลายปีขนาดนี้ จึงรู้นิสัยของศิษย์พี่ทั้งหลายของไฉ่เวยอยู่แล้ว ฮว๋ายชิ่งจึงชินจนมองว่าเป็นเรื่องปกติ

จะว่าไปแล้ว หลังจากที่ไฉ่เวยถูกท่านโหราจารย์ ‘ขับไล่’ ออกจากสำนักโหราจารย์ ช่วงแรกๆ ก็ยังเขียนจดหมายมาหาบ่อยๆ และแบ่งปันเรื่องราวอาหารอร่อยในแต่ละพื้นที่ แต่จากนั้นก็เริ่มพูดถึงภัยพิบัติและชีวิตผู้คน ในคำพูดเหล่านั้นเริ่มฉายแววความสุขน้อยลงและเพิ่มความจริงจังมากขึ้น

และต่อมานางก็ไม่ส่งจดหมายมาอีกเลย

ช่วงนี้มีครั้งหนึ่งที่ฮว๋ายชิ่งได้รู้ข่าวของฉู่ไฉ่เวยซึ่งส่งมาผ่านหนังสือปฐพีจากทางหลี่หลิงซู่

สาวน้อยจอมตะกละไปเก็บสมุนไพรทั่วภูเขาเพื่อนำมารักษาผู้ลี้ภัยที่เจ็บป่วยจากภัยหนาว หรือไม่ก็ซื้อเสบียงอาหารมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นครั้งคราว

ทั้งสองคนมายังห้องลับ ซ่งชิงเปิดประตูเหล็กที่แม้แต่จอมยุทธ์ขั้นสี่ก็ยังไม่อาจสั่นสะเทือน จนได้เห็นร่างของเว่ยเยวียนที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียง

ภายในกายเนื้อนี้ มีวิญญาณสวรรค์ของเว่ยเยวียนอยู่

ตอนนั้นจ้าวโส่วได้ใช้วิชาลั่นประกาศิตบอกให้เว่ยเยวียนกลับมาอย่างมีชัย ดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎแห่งปราชญ์เอกก็ช่วยให้วิญญาณสวรรค์ของเว่ยเยวียนกลับมาด้วย

ต่อมาหนานกงเชี่ยนโหรวก็นำเม็ดบัวมา ซ่งชิงจึงหลอมเป็นกายเนื้อและทำให้วิญญาณสวรรค์กับกายเนื้อร่างใหม่นี้ผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ

บัดนี้เพียงแค่ต้องเรียกวิญญาณของเว่ยเยวียนกลับมาเสริมให้ครบสามวิญญาณ เขาก็จะฟื้นขึ้นได้แล้ว

สวี่ชีอันกลับมาจากการเดินทางในยุทธภพและรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดสำหรับหล่อหลอมธงกวักวิญญาณ จนในที่สุดก็สำเร็จเสร็จสิ้น

มือของฮว๋ายชิ่งค่อยๆ วางลงบนบ่าเว่ยเยวียนและส่งพลังปราณชักนำให้เขาลอยขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นฮว๋ายชิ่งก็เดินออกจากห้องลับไปยังแท่นแปดทิศ

ซ่งชิงเดิมตามมาติดๆ

เมื่อขึ้นมาบนแท่นแปดทิศ สิ่งที่ฮว๋ายชิ่งเห็นเป็นอันดับแรกคือค่ายกลทรงกลมสลักลวดลายสีชาด ลวดลายบนนั้นทับซ้อนกันมากมายจนแน่นขนัด

“นี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่ซุนทิ้งเอาไว้ก่อนไป เป็นค่ายกลเรียกวิญญาณที่สอดคล้องกับธงกวักวิญญาณ”

ซ่งชิงส่งสัญญาณให้ฮว๋ายชิ่งนำร่างของเว่ยเยวียนมาไว้ที่ตรงกลางของค่ายกล จากนั้นก็ปลดถุงหนังที่เอวแล้วนำธงผืนใหญ่สูงประมาณสองคนก้านหนึ่งออกมา

เสาธงนั้นทำจากโลหะสีทองหม่นและเต็มไปด้วยรูพรุน โดยมีธงสีดำมะเมี่ยมห้อยลงมา บนธงนั้นใช้ผงทองวาดลวดลายค่ายกลเล็กๆ หน้าตาเหมือนกับลูกกบ

“เอาไป!”

ซ่งชิงรีบร้อนมอบธงกวักวิญญาณให้กับฮว๋ายชิ่งราวกับว่านี่คือเผือกร้อนลวกมือ

“ธงผืนนี้มีพิษและมีความเย็นของหยินจากศพโบราณพันปี ฝ่าบาทมีเวลาเพียงแค่หนึ่งเค่อ หากพ้นจากหนึ่งเค่อไป พระองค์จะไม่สามารถเรียกวิญญาณของเว่ยเยวียนกลับมาได้แล้ว เช่นนั้นก็ได้แต่รอต่อไปอีกสามเดือน เพราะวันที่เหมาะกับการเรียกวิญญาณอยู่ในปลายฤดูวสันต์ในอีกสามเดือนหลังจากนี้”

‘สามเดือนหลังจากนี้ ต้าฟ่งรอไม่ไหวแล้ว…’ ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“เราต้องทำอะไรบ้าง?”

ซ่งชิงตอบทันที

“โบกธงกวักวิญญาณแล้วเรียก ‘เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!’ เฮ้อ เดิมทีเรื่องนี้ต้องให้สวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนทำ ถึงอย่างไรเขาก็ถือว่าเป็นศิษย์ครึ่งตัวของเว่ยเยวียน ยาโลหิตที่ใช้เลื่อนขั้น เว่ยเยวียนก็เป็นคนมอบให้เขา ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นฝ่าบาท…ฝ่าบาทอย่าเพิ่งคิดว่าผู้แซ่ซ่งพูดจาโผงผางนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ขอถามหน่อยเถิดว่าพระองค์คุ้นเคยกับเว่ยเยวียนหรือไม่? หากไม่สนิทสนมนัก พอเขาได้ยินว่าพระองค์เป็นคนเรียก เขาก็จะไม่สนใจพระองค์นะ เช่นนั้นก็จบกันแล้ว”

‘ซ่งชิงคนนี้ช่างทำให้คนจงเกลียดจงชังได้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ…’ ฮว๋ายชิ่งเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล ก่อนที่สวี่หนิงเยี่ยนจะไปชายแดนเหนือ เขาได้ฝากฝังเรื่องนี้ไว้กับข้าแล้ว”

พูดพลางนางก็เดินไปยังขอบของแท่นแปดทิศแล้วชูธงกวักวิญญาณขึ้นสูง

ซ่งชิงเริ่มจุดธูปหนึ่งก้าน

ในเวลานี้ ทางด้านพระราชวังก็มีเสียงกลองและดนตรีดังขึ้น เทศกาลไหว้วสันต์เริ่มต้นแล้ว

‘พรึ่บ พรึ่บ…’

ฮว๋ายชิ่งโบกสะบัดธงกวักวิญญาณแล้วตะโกนดังลั่นด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส

“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”

จักรพรรดินีโบกธง พลังอำนาจไม่ด้อยกว่าบุรุษ

……………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง