บทที่ 775 เทศกาลไหว้วสันต์…ฟื้นคืนชีพ
หลังจากกินแก่นปราณสีม่วงลงไป เทพธิดาปิงอี๋ก็ยกนิ้วชี้ไปแตะที่หว่างคิ้วของศิษย์ตนแล้วใช้วิชาเวทเพื่อละลายยาชั้นยอด
หลังจากที่ยาละลาย มันก็ไม่ได้ตกลงไปในท้อง ทว่ากลายเป็นปราณสีม่วงอบอวลอยู่ที่หว่างคิ้วของหลี่เมี่ยวเจิน
กระบวนการนี้ดำเนินไปเป็นเวลายาวนานมาก ยังไม่ถึงหนึ่งเค่อ ปราณสีม่วงก็ค่อยๆ รวมตัวกันแล้วกลายเป็นลวดลายสีม่วงที่หว่างคิ้วของนาง
ลวดลายสีม่วงนั้นเหมือนกับลวดลายที่อยู่บนเม็ดยา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าสรรพคุณยาได้ตกตะกอนแล้ว
ร่างกายขั้นสี่ของหลี่เมี่ยวเจินยังไม่อาจดูดซึมสรรพคุณของยาได้อย่างสมบูรณ์
นางได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทัศนียภาพเบื้องหน้าค่อยๆ เปลี่ยนจากเลือนรางเป็นแจ่มชัด สิ่งแรกที่มองเห็นคือหลี่หลิงซู่ที่ร้องห่มร้องไห้จนจมูกแดงก่ำ หลี่เมี่ยวเจินงุนงงไปทันที ในใจพูดว่า ‘ศิษย์พี่ ท่านก็มาเป็นเพื่อนข้าด้วยหรือ’
จากนั้นนางก็มองเห็นอาจารย์ของตนเทพธิดาปิงอี๋ และยังมีอาจารย์ลุงนักบวชเต๋าเสวียนเฉิง
นางจึงเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
นางที่มีใบหน้าซีดขาวและริมฝีปากแห้งผากพยายามฉีกยิ้มออกมา
“ขอบพระคุณที่ท่านอาจารย์ช่วยชีวิตเจ้าค่ะ”
เจอเคราะห์ร้ายแต่กลับไม่ตาย เดิมควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพียงแต่การได้เห็นสหายร่วมรบตายในสมรภูมิครั้งนี้ กลับทำให้ในใจของนางหนักอึ้งและไร้ซึ่งความดีใจแม้เศษเสี้ยว
“เจ้าเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์และเป็นหนึ่งในผู้สืบทอด อาจารย์ย่อมต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว”
เทพธิดาปิงอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ที่อาจารย์และอาจารย์ลุงเสวียนเฉิงของเจ้าลงจากเขามาครั้งนี้ เป็นคำสั่งของเทพสวรรค์เพื่อพาพวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องกลับนิกาย หลังจากจบการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ นิกายสวรรค์ก็จะปิดภูเขา ไม่ว่าใครก็ไม่อาจลงจากเขาได้”
หลี่เมี่ยวเจินตรวจสอบดูร่างกายของตนเอง อวัยวะภายในเสียหายหลายแห่ง กายเนื้อตกอยู่ในภาวะวิกฤต แต่จิตเดิมที่โดนแผดเผาถูกซ่อมแซมจนสมบูรณ์แล้ว
นางรู้ว่าตนไม่อาจดื้อดึงกับอาจารย์ได้ จึงเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ย
“เทพสวรรค์จะลงโทษศิษย์อย่างไรหรือเจ้าคะ”
เทพธิดาปิงอี๋ส่ายหน้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ
“นั่นเป็นเรื่องของท่านเทพสวรรค์”
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ถามมากความอีก นางหันไปมองหลี่หลิงซู่แล้วเอ่ยขึ้น
“ศิษย์ยังมีความปรารถนาในใจหนึ่งอย่าง ชีก่วงป๋อเข้าโจมตีเมืองสวินโจวกะทันหัน สถานการณ์เร่งด่วนนัก จะต้องรายงานเรื่องนี้ให้กับพวกแม่ทัพอย่างท่านหยางเยี่ยนโดยไว ขอให้อาจารย์โปรดเมตตาช่วยให้ศิษย์สมปรารถนาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เทพธิดาปิงอี๋ขมวดคิ้ว
“เจ้าตายไปครั้งหนึ่งแล้ว ยังมองเรื่องราวในโลกมนุษย์ไม่ขาดอีกหรือ”
หลี่เมี่ยวเจินมองไปยังสมรภูมิที่เต็มไปด้วยซากศพอีกครั้ง แววตาเจ็บปวดนัก “เพื่อนของข้าล้วนอยู่ในสนามรบนั้น ข้ายังไปไม่ได้”
สิ่งที่ยังตัดใจไม่ไปได้ หมายถึงหัวใจ
เทพธิดาปิงอี๋พยักหน้า ศิษย์ดื้อรั้นผู้นี้ได้ทำเรื่อง ‘ผิด’ ไปหลายอย่างแล้ว และนางก็ไม่มีทางบีบบังคับลูกศิษย์เพราะอารมณ์โกรธเกรี้ยวหรือแค้นที่หลอมเหล็กไม่เป็นเหล็กกล้าอย่างแน่นอน
ไม่ ความจริงตอนนี้นางไม่มีความรู้สึกใดๆ ทั้งนั้น แม้แต่ความโกรธก็ยังไม่มี
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงก็เช่นกัน แต่เขาก็ยังเอ่ยเงื่อนไขเรื่องหนึ่งออกมา เขานำเม็ดยาสีเขียวมรกตส่งมอบให้กับหลี่หลิงซู่แล้วเอ่ยบอก
“เพื่อไม่ให้เจ้าหนีไปอีกครั้ง จงกินมันลงไปเสีย”
ยากลืนวิญญาณ!
ยานี้คือยาที่มีเฉพาะในนิกายสวรรค์ หลังจากกินเข้าไป หากไม่ได้รับยาแก้ภายในสามวัน จิตเดิมจะแห้งเฉา
ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับเหนือสามัญ ล้วนแต่ไม่อาจรอดไปได้
ในฐานะที่เป็นเทพบุตร หลี่หลิงซู่ย่อมรู้จักยาชนิดนี้ดี จึงมองนักบวชเต๋าเสวียนเฉิงอย่างเหลือเชื่อแล้วโอดครวญว่า
“อาจารย์ ขะ…ข้าคือศิษย์ของท่านมาตั้งแต่เด็กจนโตเลยนะ ท่านไม่เจ็บปวดใจบ้างหรือ ไม่รู้สึกเสียใจบ้างหรือ”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและใบหน้าไร้อารมณ์
“แล้วเจ้าคิดว่าอาจารย์รู้สึกหรือไม่เล่า”
‘ให้ตายเถอะ การตัดอารมณ์ความรู้สึกนี่มัน…’ หลี่หลิงซู่ทำตามคำสั่งแล้วขี่กระบี่บินหายลับไปในท้องฟ้าคราม
ตอนนี้เขาแน่ใจเสียยิ่งกว่าแน่ว่าจิตใจของท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ที่ตัวเองเลย
นิกายสวรรค์ช่างไม่จำเป็นเลยสักนิด
…
หนึ่งวันก่อนเทศกาลไหว้วสันต์
ตามปกตินั้น เทศกาลไหว้วสันต์จะต้องเป็นช่วงเวลาที่ทุกครัวเรือนในภาคกลางคึกคักที่สุด
มันเป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิที่หวนคืนสู่แผ่นดินใหญ่ สรรพชีวิตล้วนฟื้นฟูขึ้นมา และในการไหว้วสันต์ทุกปี ราชสำนักจะจัดงานเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ตระการตา เพื่อขอพรให้ปีนี้มีลมฝนตกต้องตามฤดูกาล ชาวประชาอยู่เย็นเป็นสุข
ประชาชนจะต้มแกะเชือดหมูกันในวันนี้เพื่อนำมาเซ่นไหว้ฟ้าดินและขอพรให้การเก็บเกี่ยวในปีนี้มีผลดี
แต่การไหว้วสันต์ในปีนี้เป็นเรื่องน่าอัปยศที่สุดสำหรับชาวบ้าน คนร่ำรวยก็ยังไม่เปลี่ยน ส่วนคนจนก็มีแต่ต้องใช้หญ้าฟางมาเป็นของเซ่นไหว้แทน
ส่วนด้านราชสำนัก หน่วยงานราชการทั้งบนล่างล้วนแต่ไม่มีกะจิตกะใจมาจัดพิธีไหว้วสันต์กันแล้ว
ไม่ได้เป็นเพราะขาดแคลนเงินทอง เพราะต่อให้ราชสำนักจะอัตคัดขัดสนเพียงใด ก็ไม่ถึงขั้นจัดพิธีไหว้วสันต์ไม่ได้ แต่หลักๆ แล้วเป็นเพราะสงครามที่ยงโจว จึงทำให้ผู้คนวิตกกังวลกันถ้วนหน้า
แปดวันผ่านไปหลังจากลั่วอวี้เหิงเผชิญเคราะห์กรรมเลื่อนขั้น ในช่วงเวลานี้ การศึกที่ยงโจวนั้นไม่อาจใช้คำง่ายๆ อย่าง ‘โหดร้าย’ หรือ ‘น่าสลดใจ’ มาบรรยายได้แล้ว
อย่างแรกคือกองทัพอวิ๋นโจวบุกรุกสวินโจว ทหารคุ้มกันเมืองล้มตายจนเหลือเพียงสามพันคน ท่านหยางกง ผู้เป็นอดีตสมุหเทศาภิบาลแห่งชิงโจวและหัวหน้าผู้บัญชาการคนปัจจุบันของยงโจวก็แขนขาดไปข้างหนึ่งขณะคุ้มกันเมือง และกองทัพอสูรเหินเวหาของเผ่าซินกู่ก็ล้วนถูกกำจัดจนสิ้น
สวินโจวตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย สวี่ซินเหนียนและกองทหารอื่นๆ ที่อยู่ในแนวป้องกันต้องรีบกลับมาเสริมทัพให้ทันเวลา หยางกงที่บาดเจ็บสาหัสตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขานำทหารคุ้มกันเมืองที่เหลือ รวมถึงกำลังเสริมจากทั้งภายในภายนอกออกไปจากเมืองแล้วเข้าโจมตีกองทัพแห่งอวิ๋นโจว
ชีก่วงป๋อนำทัพอวิ๋นโจวบุกรุกสวินโจวล้มเหลว แต่เมื่อยิงศรไปแล้วย่อมไม่มีลูกศรหวนกลับ ทำได้เพียงต้องกัดฟันสั่งให้ทหารใต้บัญชาเข้าต่อสู้ดุเดือดกับทัพต้าฟ่ง
ทั้งสองฝ่ายทำศึกอยู่นอกเมืองสวินโจวเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนจนเลือดนองดุจสายน้ำ รายงานที่ถูกส่งกลับมายังเมืองหลวงกล่าวว่า ซากศพของมนุษย์และม้ามีมากมายเกินจะคณานับ และก่อเกิดเป็นแนวกีดขวางขนาดใหญ่ตามธรรมชาติ
ศึกครั้งนี้เดิมทีมีโอกาสทำลายทัพกองกลางของทัพอวิ๋นโจวอยู่ และหากที่ทำสำเร็จ บางทีอาจจะกลายเป็นหนึ่งในจุดพลิกผันของสงครามในภาคกลางเลยก็ได้
จนกระทั่งกองทหารที่น่าสะพรึงปรากฏออกมาและเข้าสู่สนามรบอย่างดุดันราวกับไม่สนเหตุผลใด พร้อมด้วยการร่วมมือจากกองกลางของทัพอวิ๋นโจว จึงตัดกำลังทหารต้าฟ่งทั้งนอกและในไปได้มากโข
ต้าฟ่งที่เดิมทียังถือไพ่เหนือกว่ายากจะสู้รบกับทหารกลุ่มนี้ในพื้นราบ จึงแต่ต้องล่าถอยกลับเมืองเพื่อพักกายใจ
จนถึงบัดนี้ ขุนนางในท้องพระโรงต้าฟ่งทุกคนล้วนแต่จดจำทหารกลุ่มนี้เอาไว้ในใจอย่างตราตรึง พวกนั้นมีชื่อว่า ‘กองทัพเต่าดำเซวี่ยนหวู่’
พวกมันไม่เคยปรากฏตัวในสนามรบที่ชิงโจวมาก่อน แต่กลับมีชื่อขึ้นมาในการศึกเพียงครั้งเดียวและกลายเป็นฝันร้ายของทหารต้าฟ่งตลอดจนถึงขุนนางในราชสำนัก ที่เมื่อได้ยินคำว่า ‘ทัพเซวี่ยนหวู่’ ก็ล้วนแต่รู้สึกขนหัวลุกอย่างอดไม่ได้
ชีก่วงป๋อตั้งใจแน่วแน่ที่จะทะลวงสวินโจว จึงทำการปิดล้อมเมืองอีกครั้งในคืนนั้นและส่งกำลังทหารเข้าสู้โดยไม่สนว่าจะต้องเสียอะไร จนกระทั่งในยามรุ่งสาง สวินโจวก็ไม่อาจรักษาไว้ได้
กองทัพต้าฟ่งพากันหนีออกจากสวินโจว หยางกง จางเซิ่น และหลี่มู่ไป๋ทั้งสามคนนำกำลังคนและม้ากว่าแปดร้อยนายไปสู้รบ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่มีฝีมือเก่งกาจคาดเดาไม่ได้ จึงคุ้มครองให้กองทัพต้าฟ่งหนีไปได้สำเร็จ
แต่เนื่องจากหยางกงใช้วิชาลั่นประกาศิตบ่อยครั้ง บวกกับที่ร่างกายบาดเจ็บสาหัสเป็นทุนเดิม วิชาจึงสะท้อนกลับเข้าตัวจนบาดเจ็บทั้งภายในภายนอก หลังจากถอยกลับเข้าเมืองยงโจวก็สลบไปไม่ฟื้นตื่น ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ศึกครั้งนี้ได้กวาดล้างกองทัพชั้นยอดของต้าฟ่งที่เหลืออยู่จนเกลี้ยง นับตั้งแต่ช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงเป็นต้นมา กองทัพหนึ่งแสนคนล้วนสิ้นชีพในการรบอยู่ที่เมืองจิ้งซาน หน่วยทหารยอดฝีมือของต้าฟ่งก็อยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นกังวล
ในสงครามที่ชิงโจว ราชสำนักได้ส่งทหารนายพลและกองกำลังชั้นยอดที่สามารถเคลื่อนย้ายได้จากเมืองต่างๆ ไปยังชิงโจวเกือบทั้งหมดแล้ว
สุดท้ายผู้คนนับห้าหมื่นก็ตายอยู่ในสมรภูมิ ส่วนที่เหลือนั้นถอยกลับมายังยงโจว
หลังจากจักรพรรดินีขึ้นครองราชย์ เจ้ากรมทหารก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะโดนโยกย้ายทหารอีกหนึ่งหมื่นนายที่อยู่ในสองสามเมืองใกล้เคียงไปอีกแล้ว
ในศึกที่สวินโจว แม้แต่ทรัพย์สินของตระกูลก็ยังถูกถลุงไปไม่น้อย
ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และทหารอาสาอย่างพวกหลี่เมี่ยวเจิน ต่างก็ถูกทำลายล้างในสงครามล้อมเมืองที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน
หัวหน้าขั้นสี่สองคนของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์สิ้นชีพ ศิษย์ใต้บังคับบัญชาบาดเจ็บล้มตายไปกว่าแปดส่วน โดยเฉพาะทางฝั่งหลี่เมี่ยวเจิน กองทัพนางแอ่นเหินที่นางควบคุมอยู่ล้วนถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น ตัวนางและศิษย์พี่หลี่หลิงซู่ถูกผู้อาวุโสจากนิกายสวรรค์พากลับไป บัดนี้ยังไม่มีข่าวคราว
หลังจากสวินโจวเสียเมือง กองทัพอวิ๋นโจวก็ชักธงพักรบและเผชิญหน้าอยู่ตรงข้ามกับกองทัพต้าฟ่ง
ตอนที่กองทัพอวิ๋นโจวออกมาจากอวิ๋นโจวนั้น มีกองกำลังสายตรงทั้งหมดหกหมื่นหน่วยรบ แบ่งเป็นทัพซ้าย ทัพขวา และทัพกลาง ทั้งหมดนั้นเป็นกองทัพสุดยอดในสุดยอด ซึ่งยังไม่นับทัพเหล่ากองทัพพลเรือนอีก
หลังจากยึดชิงโจวสำเร็จ พวกเขาก็ได้คัดเลือกผู้คนในยุทธภพและผู้ลี้ภัยโดยอาศัยเงินทองและเสบียงที่สำรองไว้อย่างเหลือเฟือ จากนั้นกำลังทหารจึงเพิ่มขึ้นมาถึงหนึ่งแสน และทำให้เกิดภาพกองทัพอวิ๋นโจวที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกองทัพต้าฟ่งที่น้อยลงไปเรื่อยๆ
คลังหลวงของต้าฟ่งว่างเปล่า ผู้ลี้ภัยกลายเป็นหายนะ อวิ๋นโจวเตรียมพร้อมมาก่อนโดยสั่งสมกำลังมาตลอดยี่สิบปี
นี่ก็คือรากฐานของพวกเขา
ในสงครามที่ชิงโจว กองทัพอวิ๋นโจวมองดูคราแรกก็เหมือนจะเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ความจริงแล้วยอดฝีมือสามหมื่นในทัพซ้ายนั้นได้ถูกกองทัพต้าฟ่งจัดการไปกว่าเจ็ดแปดส่วนแล้ว
หลังจากเริ่มสงครามในยงโจว ทหารจับฉ่ายและทหารชั้นยอดต่างก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งศึกอันน่าสลดใจเพื่อยึดสวินโจวจบลง ทัพกลางสายตรงของแม่ทัพใหญ่ชีก่วงป๋อก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
คนจากยุทธภพและทหารจับฉ่ายที่ระดมมาก็เหลืออยู่ไม่เท่าไหร่ กองทัพอสูรเหินเวหาที่เคยทะยานอยู่บนท้องฟ้าไปทั่วสนามรบก็เหลืออยู่เพียงยี่สิบสามสิบนาย จึงถูกลดชั้นให้ไปเป็นหน่วยสอดแนมทางอากาศทั้งหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง