บทที่ 776 ชุดคราม
‘พรึ่บ พรั่บ’
ธงที่มีพื้นหลังสีดำและวาดด้วยลวดลายทองคำโบกสะบัด อากาศบนแท่นแปดทิศราวกับเยือกเย็นยิ่งขึ้น
ไม่ ไม่ใช่ราวกับ แต่ยามที่ฮว๋ายชิ่งโบกสะบักธงกวักวิญญาณ ท้องฟ้าเหนือหอดูดาวก็มีเมฆดำแออัดจนปกคลุมแสงอาทิตย์และเพิ่มพูนขึ้นเป็นชั้นๆ
‘หวิว หวิว…’
อากาศพัดผ่านเสาธงที่ทำจากโลหะและเต็มไปด้วยรูจนเกิดเสียงร้องโหยหวนราวกับร่ำไห้และคร่ำครวญ
ซ่งชิงขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ว่าจิตเดิมคล้ายจะหลุดลอยออกจากร่างไปพร้อมกับเสียงร่ำไห้นี้
‘ธงผืนนี้จะกวักเรียกวิญญาณของข้าไปด้วยเสียแล้ว…’ ซ่งชิงนำจุกไม้ออกมาจากอกเสื้อแล้วปิดหูเอาไว้ แบบนี้จึงรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
หินตีฆ้องเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘หินเชิญวิญญาณ’ และ ‘หินเรียกผี’ สถานที่ที่มีมันอยู่ จะต้องมีวิญญาณรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนหนาแน่น ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในวัสดุหลักสำหรับสร้างธงกวักวิญญาณ
‘หวิว หวิว หวิว…’
เสียงคร่ำครวญรุนแรงยิ่งขึ้น ดวงวิญญาณทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา พวกมันบ้างก็คืบคลานออกมาจากแม่น้ำเย็นชืด บ้างก็ผุดออกมาจากเรือนหลังเก่าที่ถูกปล่อยร้าง บ้างก็ลอยออกมาจากในหลุมฝังศพที่มีหญ้ารกครึ้ม…
ลมครวญคร่ำ เมฆดำเหนือศีรษะหนาแน่น ทั่วทั้งสำนักโหราจารย์ล้วนถูกปกคลุมอยู่ในบรรยากาศมืดมนน่าสะพรึงกลัว
เหล่าโหรชุดขาวของสำนักโหราจารย์ล้วนแต่ได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้ว จึงพากันเดินลงมาจากอาคาร ตั้งแต่ชั้นสามเป็นต้นไป ล้วนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ หลงเหลืออยู่
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
บนธงกวักวิญญาณที่พลิ้วไหว อักขระสีทองอร่ามสว่างขึ้นและลอยล่องไปไกลตามกระแสลมที่พัดผ่านผืนธง ราวกับเป็นเส้นทางชักนำที่บิดเบี้ยว
…
เมืองจิ้งซาน
บนแท่นบูชาสูงตระหง่าน รูปสลักชายหนุ่มที่สวมชุดยาวหรูหราและสวมมงกุฎหนามเริ่มสั่นไหวเบาๆ
บนท้องฟ้าไกล ลมหยินได้พัดพาลำแสงสีทองให้ขยายลงมาจากเหนือท้องฟ้าแล้วก่อเกิดเป็นเส้นทางสีทองระยับ
เหนือศีรษะของรูปสลักเทพพ่อมด เงาร่างในชุดสีครามค่อยๆ ลอยออกมาแล้วจมลงไปอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำๆ
ทุกครั้งที่เงาร่างสีครามลอยออกมา หว่างคิ้วของรูปสลักก็จะมีแสงสีใสสว่างขึ้นแล้วกดดวงวิญญาณลงไป
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
ที่ปลายสุดของเส้นทางสีทองระยับมีเสียงเรียกอันแจ่มชัดดังออกมา
เงาร่างในชุดครามที่ราวกับไม่ใช่ความจริงลอยออกมาอีกครั้ง ร่างกายเลือนรางสั่นไหวหลายหน คล้ายกับพยายามลอยขึ้นมาและต้องการหลุดพ้นจากภายในรูปสลักสุดกำลัง
ส่วนด้านในรูปสลัก ปราณสีดำหลายสายพุ่งเข้ามาผลักดันเงาร่างในชุดคราม ราวกับกำลังช่วยเขาอีกแรง
แต่พลังจากสามแหล่งนี้ล้วนถูกพลังผนึกที่หว่างคิ้วของรูปสลักเทพพ่อมดกดเอาไว้
หลังจากเป็นเช่นนี้ซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง ปราณสีดำและเงาร่างในชุดครามก็เริ่มเฉื่อยชาและไม่พยายามอีก
แม้ว่าเสียงเรียกจากปลายเส้นทางสีทองระยับจะดังอยู่หลายครั้ง แต่เงาร่างในชุดครามก็ไม่ปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว
…
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
ฮว๋ายชิ่งรู้สึกว่าสองแขนเย็นเยียบ มือที่ถือด้ามธงเอาไว้ก็มีชั้นน้ำแข็งบางๆ ปกคลุมอยู่
ข้อดีของจอมยุทธ์ปรากฏออกมาให้เห็นในเวลานี้ หากให้ซ่งชิงมาโบกธงกวักวิญญาณ สองมือคงจะถูกแช่แข็งจนกลายเป็นหินแล้วแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ แน่
ส่วนพิษที่อยู่ในอาวุธเวทมนตร์ แม้จะทำให้ฮว๋ายชิ่งรู้สึกไม่สบายอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยร่างวิญญาณของจอมยุทธ์ขั้นสี่ จึงไม่ได้รับผลในเวลาสั้นๆ ขอเพียงต้องหยุดภายในหนึ่งเค่อเท่านั้น
เมฆดำที่ปกคลุมเหนือสำนักโหราจารย์มีมากขึ้นเรื่อยๆ อากาศก็หนาวเย็นยิ่งขึ้น พลังของธงกวักวิญญาณส่งผลต่อบริเวณโดยรอบจนทำให้สำนักโหราจารย์กลายเป็น ‘ปรโลก’ แบบรางๆ วิญญาณหยินทั่วทั้งเมืองหลวงก็ล้วนมารวมตัวกันที่นี่
พวกมันบ้างก็ลอยไปมาอยู่เหนือแท่นแปดทิศ บ้างก็บุกรุกสำนักโหราจารย์ผ่านกำแพงและหน้าต่าง บ้างก็เต้นระบำอยู่รอบหอดูดาว
ภายในสำนักโหราจารย์ เหล่าโหรทั้งหลายยกอาวุธเวทมนตร์กักเก็บแบบต่างๆ ขึ้นมาแล้วไล่จับดวงวิญญาณที่วนเวียนอยู่เต็มห้องราวกับเด็กที่เล่นไล่จับผีเสื้อ
“เร็ว จับพวกมันเอาไว้เร็ว เจ้าพวกนี้ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับหลอมยาหลอมอาวุธเชียวนะ”
“นี่มันโชคดีเหมือนมีลาภตกมาจากฟ้าแท้ๆ”
“ระวังด้วย อย่าไปเก็บวิญญาณของเว่ยเยวียนมาเชียวล่ะ”
เหล่าโหรชุดขาวตื่นเต้นกับจำนวนของ ‘วัตถุดิบ’ พลางทอดถอนใจเล็กน้อย เมื่อคิดว่าช่วงนี้มีคนตายทั่วทั้งเมืองหลวงเยอะเกินไปแล้ว
หลังจากคนคนหนึ่งตาย วิญญาณจะมารวมตัวภายในเจ็ดวัน และจากนั้นในเวลาครึ่งเดือนก็จะสลายกลายเป็นหมอกควัน ไม่สามารถดำรงอยู่ในโลกมนุษย์ได้ด้วยตัวเองอีก
หรือก็หมายความว่า วิญญาณหยินพวกนั้นที่ธงกวักวิญญาณเรียกมาล้วนเป็นวิญญาณใหม่ เป็นคนที่ตายภายในครึ่งเดือนนี้
เวลาครึ่งเค่อผ่านไปอีกครา…ซ่งชิงมองไปยังธูปที่เล็กลงเรื่อยๆ จนแทบจะไหม้หมดก้าน สีหน้าพลันย่ำแย่ขึ้นมาทันที
“เหตุใดวิญญาณของเว่ยเยวียนยังไม่มาอีก? ไม่มีเหตุผลเลย หรือว่าเป็นเพราะฝ่าบาทไม่คุ้นเคยกับเขาจริงๆ เขาก็เลยปฏิเสธที่จะมา”
ใบหน้างามหมดจดของฮว๋ายชิ่งซีดเผือด ขนตาถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งค้าง ร่องรอยความกังวลค่อยๆ รวมตัวกันที่หว่างคิ้ว นางดุว่า
“เหลวไหล ไปดูซะว่าเกิดปัญหาที่ตรงไหน”
ซ่งชิงไม่ได้พูดอะไร เขาตรวจสอบค่ายกลเป็นอันดับแรก แม้จะไม่คิดเลื่อนขั้นเป็นค่ายกลปรมาจารย์ค่ายกล แต่ค่ายกลที่สมควรเรียนรู้ เขาก็เรียนมาหมดแล้ว เมื่อมีวัสดุและภูมิศาสตร์ฮวงจุ้ยมากพอ ซ่งชิงก็สามารถสร้างค่ายกลที่มีพลังน่าเกรงขามออกมาได้
เพียงแต่ไม่อาจคิดแล้วทำให้ค่ายกลเกิดขึ้นมาได้เหมือนอย่างปรมาจารย์ค่ายกลเท่านั้น
“ค่ายกลเรียกวิญญาณไม่มีปัญหา ธงกวักวิญญาณไม่มีปัญหา กายเนื้อและจิตเดิมก็ยิ่งไม่มีปัญหา…”
ซ่งชิงพูดจบก็เงยหน้าของเงาร่างสะโอดสะองของจักรพรรดินี
“เจ้าหมายความว่า เรามีปัญหาหรือ?” ฮว๋ายชิ่งเลิกคิ้ว
นางสาบานได้ หากซ่งชิงกล้าหาเรื่องซวยในเวลานี้ กลับไปนางจะสั่งประหารเขาที่ไช่ซื่อโข่วแน่ๆ
ซ่งชิงขมวดคิ้ว เขาเงียบนิ่งไปนานก่อนเอ่ยว่า
“มีความเป็นไปได้สองแบบ หากวิญญาณของเว่ยเยวียนไม่สลายกลายเป็นหมอกควัน ก็ต้องถูกบางอย่างผนึกไว้ ดังนั้นแม้แต่ธงกวักวิญญาณที่เป็นอาวุธเวทมนตร์ชั้นสูงเช่นนี้ก็ไม่อาจเรียกมาได้”
เขาเผยความเคร่งขรึมที่มีในยามทำการทดลองแปรธาตุออกมา
ฮว๋ายชิ่งนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง พลางโบกสะบัดธงกวักวิญญาณพลางหันหน้าไปมองเขา
“มีวิธีหรือไม่”
ซ่งชิงตอบ
“เมื่อครู่ที่พูดเล่นกับฝ่าบาทว่าสวี่ชีอันเหมาะกับการเรียกวิญญาณมากกว่านั้น เป็นเพราะนอกจากโลหิตของเว่ยเยวียนที่อยู่ในตัวเขาแล้วก็…อืม พูดเช่นนี้ไม่ค่อยถูกนัก แค่พระองค์เข้าใจก็พอ แต่หลักๆ คือความจริงแล้วสวี่ชีอันมีโชคชะตามากพอ”
ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว
“โชคชะตา?”
สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือ เรื่องการเรียกวิญญาณเช่นนี้ยังต้องโคจรปราณด้วยหรือ? หากต้องใช้วิธีการเป็นเด็กๆ เช่นนี้ แล้วธงกวักวิญญาณจะมีประโยชน์อะไร
ซ่งชิงยักไหล่
“ข้าก็ไม่เข้าใจหรอก นี่เป็นสิ่งที่จ้าวโส่วเอ่ยบอกมาเองตอนที่นำวิญญาณที่เหลือของเว่ยเยวียนส่งมายังสำนักโหราจารย์ เขาบอกว่า ต่อไปหากจะเรียกคืนวิญญาณของเว่ยเยวียน เช่นนั้นก็ต้องให้สวี่ชีอันมา เพราะเขามีโชคชะตามากพอ”
ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิดแล้วถามกลับ
“สวี่ชีอันรู้เรื่องนี้หรือไม่”
“ย่อมต้องรู้แน่” ซ่งชิงตอบอย่างแน่วแน่
“เช่นนั้นเราก็ทำได้!”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง
เพราะเดิมทีนี่ก็เป็นภารกิจที่สวี่ชีอันมอบให้นาง
นางสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาล้ำลึกสีดำสนิทของฮว๋ายชิ่งมีประกายสีทองวาบผ่าน แสงสีทองกลายเป็นเงาร่างมังกรเวียนว่ายอยู่ในดวงตา
ทันใดนั้น ฮว๋ายชิ่งก็คล้ายกลายเป็นคนละคน เป็นจอมกษัตริย์แห่งโลกมนุษย์ผู้ทรงพลังอำนาจ แข็งแกร่ง และอยู่เหนือผู้ใด ทำให้ซ่งชิงที่อยู่ด้านหลังเกือบจะลงไปคุกเข่ากับพื้นและไม่กล้ามองความน่าเกรงขามของจอมกษัตริย์ตรงๆ
นางขับเคลื่อนปราณมังกรภายในร่างกาย
ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ นางใช้ชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีเป็นสะพานดูดซับปราณมังกรหลักสามสายและเศษปราณมังกรที่กระจัดกระจายอีกหลายร้อยสาย
ปราณมังกรเหล่านี้ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างของนาง ไม่อาจขับเคลื่อนมาใช้ได้
จนกระทั่งนางขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดินีและมีโชคชะตาติดตัว โชคชะตาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในร่างจึงยอมจำนนต่อนางโดยสมบูรณ์ และกลายเป็นสองที่สามารถนำมาใช้งานได้
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
นัยน์ตาทั้งสองข้างของฮว๋ายชิ่งเปล่งประกายพลางขับเคลื่อนปราณในตันเถียน พร้อมส่งเสียงดังก้องทะลุฟ้า
…
“เว่ยเยวียน วิญญาณจงหวนคืน!”
เมืองจิ้งซาน ที่ปลายสุดของเส้นทางประกายทอง มีเสียงตะโกนเรียกดังลั่นราวกับสายฟ้ายามวสันต์
สิ่งที่มาพร้อมกับเสียงนั่นก็คือลำแสงสีทองอร่ามที่สาดส่องจากปลายของเส้นทางประกายทองตรงมายังหว่างคิ้วของรูปสลักเทพพ่อมด
ที่หว่างคิ้วนั้น ผนึกที่ก่อเกิดเป็นปราณใสสายนั้นราวกับถูกแยกและค่อยๆ ลอกออก
บนริมขอบแท่นบูชา เสียงของซ่าหลุนอากู่ดังขึ้น เขาเดินปรี่มายังหน้ารูปสลักก่อนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนี้ถึงจะถูก! โชคดีนักที่ต้าฟ่งยังมีผู้ที่มีโชคชะตาหนาแน่นมากพอ เว่ยเยวียน วันนั้นเจ้าผนึกเทพพ่อมด เทพพ่อมดจึงได้แสวงหาวิญญาณของเจ้า นี่เป็นวัฏจักรของเหตุต้นผลกรรม เจ้าซ่อมแซมผนึกปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพลังแห่งชีวิต มาวันนี้เจ้าจึงจะลบผนึกชิ้นนี้ออกไปได้ นี่ก็คือวัฏจักรของเหตุต้นผลกรรมเช่นกัน เช่นนั้นข้าจะส่งพลังให้เจ้าอีกแรง”
เขาหยิบแส้ต้อนแกะออกมา แสงสีขาวสว่างขึ้นมาจากแส้ต้อนแกะ กระแสไฟฟ้าไหลหลั่งจนเกิดเสียง ‘ชี่ ชี่’ ราวกับเป็นสายฟ้าฟาด
‘เพียะ!’
ซ่าหลุนอากู่ฟาดลงบนร่างวิญญาณชุดครามด้วยมืออันสั่นเทา แสงสีขาวในแส้พลันหลอมรวมเข้าไปในวิญญาณ ร่างวิญญาณชุดครามระเบิดแสงสีขาวพร่างพราวและเต็มไปด้วยพลังในฉับพลัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง