ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 777

บทที่ 777 ผู้รับไม้ต่อที่ฝังไว้ห้าเดือน

ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วตามสัญชาตญาณเมื่อถามออกไปว่าเว่ยเยวียนรู้มาก่อนหรือไม่ว่าเขาจะฟื้นคืนชีพ

จะว่าไปแล้ว ตอนนี้มีหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ได้ว่าเว่ยเยวียนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า กระทั่งเตรียมพร้อมหมดแล้วเกี่ยวกับเรื่องการฟื้นคืนชีพของตน

เช่นจ้าวโส่วยืมพลังดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์และมงกุฎแห่งปราชญ์เอก เพื่อแสดงประกาศิตและนำวิญญาณเว่ยเยวียนกลับมา

เป็นไปไม่ได้ที่จ้าวโส่วจะไม่บอกเรื่องนี้กับเว่ยเยวียนล่วงหน้า ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบัง

หรือตัวอย่างที่ซ่งชิงได้สร้างวิชาปรับแต่งร่างกายมนุษย์อัน ‘สะท้านโลกา’ ซึ่งนัยหนึ่ง นี่เป็นเรื่องผิดวิสัยจนสั่นสะเทือนโลกจริงๆ

และนี่ย่อมมิอาจปิดบังเว่ยเยวียนได้

ด้วยความสามารถด้านกุศโลบายของเขา จะต้องรวมมันเข้าในแผนการแน่

ทว่าฮว๋ายชิ่งยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง…

ใช่แล้ว เป็นเมล็ดบัว ตอนนั้นเว่ยกงตั้งใจให้สวี่ชีอันช่วยเหลือนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นพิเศษ แล้วแลกเมล็ดบัวเมล็ดหนึ่งมาจากนักบวชเต๋าจินเหลียน…ฮว๋ายชิ่งนึกออกแล้วว่า เว่ยเยวียนขอเมล็ดบัวเมล็ดหนึ่งจากนักบวชเต๋าจินเหลียนผ่านทางสวี่ชีอัน

จากเบาะแสต่างๆ ข้างต้น สรุปได้ไม่ยากว่าเว่ยเยวียนได้เตรียมแผนการฟื้นคืนชีพไว้ตั้งแต่ก่อนกรีธาทัพแล้ว

ในตอนนั้นเพียงคิดว่าที่เว่ยเยวียนของเมล็ดบัว เพียงเพราะเห็นว่าเป็นของล้ำค่าหายากเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าทั้งหมดนี้จะเป็นแผนการอันลึกซึ้งจนทำให้คนทอดถอนใจด้วยความท้อแท้

“บอกข้าเกี่ยวกับสถานการณ์ของต้าฟ่งในระยะนี้ก่อน”

สายตาของเว่ยเยวียนทอดมองไปยังซังผอขณะที่เอ่ย

ที่นั่นกำลังจัดพิธีไหว้วสันต์ เวลาผ่านไปเพียงครึ่งเค่อเท่านั้นระหว่างที่เขาฟื้นคืนชีพจนถึงมานั่งคุยกันสองคน

และเป็นเวลาที่ชาพร้อมดื่มพอดี

“เรื่องนี้พูดแล้วยาว…”

ฮว๋ายชิ่งพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยว่า “ข้าจะเลือกประเด็นสำคัญมาพูดกับท่าน”

ประเด็นสำคัญที่ว่าก็คือ สถานการณ์ในปัจจุบันของต้าฟ่ง รวมถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในสนามรบชิงโจวและยงโจว การ ‘ล่วงลับ’ ของท่านโหราจารย์ รวมถึงเปรียบเทียบกำลังและจำนวนผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งและอวิ๋นโจว

ต่อด้วยเรื่องยุทธการหนีเคราะห์กรรม

ซึ่งช่วยให้เว่ยเยวียนเข้าใจสถานการณ์โดยรวมได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนเรื่องที่นางขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างไร การเปลี่ยนแปลงอำนาจขุนนางต้าฟ่ง รวมถึงความลับโบราณเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องรอง

“ดีกว่าที่ข้าคิดไว้” เว่ยเยวียนจิบชาอึกหนึ่งก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ข้าหมายถึงสนามรบ สถานการณ์การสู้รบจนถึงตอนนี้ ต้าฟ่งพร่องไปเพียงหนึ่งลมหายใจ ทว่าอวิ๋นโจวก็สาหัสเช่นกัน ซึ่งนี่ดีมากแล้ว”

ฮว๋ายชิ่งในยามนี้ยังไม่เข้าใจที่เขาว่า ‘ดี’ นั้น ดีตรงไหน

นางเอ่ยเสียงเข้มว่า

“ยามนี้ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของต้าฟ่งขึ้นอยู่กับยุทธการหนีเคราะห์กรรมของชายแดนตอนเหนือ ทว่าลั่วอวี้เหิงจะหนีเคราะห์กรรมได้ราบรื่นหรือไม่ เราไม่แน่ใจ เว่ยกงคิดว่าอย่างไรหรือ”

ฮว๋ายชิ่งแทบอดใจรอไม่ไหวที่จะฟังความเห็นของเว่ยเยวียน

เว่ยเยวียนไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับว่า

“ตอนที่สวี่ชีอันเลื่อนขึ้นเป็นขั้นสอง ได้ช่วงชิงจิตวิญญาณของพระชายาหรือไม่”

เขายังคงคุ้นเคยกับการเรียกมู่หนานจือว่าพระชายา

ในคำสาธยายเมื่อครู่ ฮว๋ายชิ่งเพียงเล่าว่าสวี่ชีอันถอนตะปูตอกวิญญาณแล้วเลื่อนขึ้นเป็นขั้นสอง แต่ไม่ได้กล่าวถึงมู่หนานจือ

ฟังจบ ฮว๋ายชิ่งก็กัดริมฝีปากพลางพยักหน้า

เว่ยเยวียนเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลายเล็กน้อยว่า

“สิ่งที่ท่านต้องสนใจไม่ใช่สงครามเหนือมนุษย์ที่ชายแดนตอนเหนือ เรื่องที่มิอาจแทรกแซงได้ก็ไม่ต้องไปกังวล เพราะความสำเร็จหรือล้มเหลวไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้ด้วยปณิธานของท่าน”

“ข้าก็เช่นกัน ร่างกายนี้ไม่แตกต่างจากคนทั่วไป เรื่องสงครามที่ชายแดนตอนเหนือ ข้าเองก็จนปัญญา

“สวี่หนิงเยี่ยนให้ท่านชุบชีวิตข้า เพื่อต้องการให้ข้าช่วยแก้ไขเรื่องสงครามยงโจว”

“ท่านไม่ทำให้ข้าผิดหวัง เลือกเวลาที่เหมาะสมในการขึ้นครองบัลลังก์ แต่ตอนแรกข้านึกว่าท่านจะสนับสนุนให้องค์ชายสี่ครองบัลลังก์ ส่วนตนก็แอบชักใยอยู่เบื้องหลังเสียอีก แน่นอนว่าหากท่านเลือกที่จะแย่งชิงบัลลังก์หลังจากหยวนจิ่งตาย ข้าก็เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ท่านแล้วเช่นกัน”

ฮว๋ายชิ่งตะลึงงัน “นอกจากบุตรในเงามืดของเจ้าพนักงานเคาะยามบอกเวลาแล้ว เว่ยกงยังทิ้งลูกไม้อะไรไว้อีกรึ”

เหตุที่นางเลือกจะอดทนอดกลั้นหลังจากจักรพรรดิองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ก็เพราะรัชทายาทเป็นเจิ้งถ่ง และต้าฟ่งในตอนนั้นก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ย่ำแย่เช่นนี้ ดังนั้นจึงยังไม่ถึงเวลา

อีกทั้งในยามนั้น ปราณมังกรถูกตีพ่าย ทัพกบฏอวิ๋นโจวเตรียมพร้อมในการโจมตี จักรพรรดิองค์ก่อนก็แทบจะผลาญคลังหลวงจนสูญ

เมื่อหย่งซิ่งขึ้นครองบัลลังก์จึงต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายครั้งใหญ่ ด้วยความสามารถของเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะควบคุมสถานการณ์ได้แน่ ดังนั้นฮว๋ายชิ่งจึงคิดว่าการอดทนอดกลั้นคือหนทางที่ดีที่สุด

นางคิดไม่ถึงว่าเว่ยเยวียนจะยังทิ้งไพ่ใบสุดท้ายไว้ให้นางจริงๆ

“ในเมื่อไม่ได้ใช้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว” เว่ยเยวียนเอ่ยพลางหรี่ตา

“ข้าถึงบอกว่า ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของหยางกงและทหารต้าฟ่งอยู่นอกเหนือความคาดการณ์ของข้า ซึ่งดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก เดิมคิดว่าจะเป็นสงครามที่ยากลำบาก ผลปรากฏว่ากองทัพอวิ๋นโจวกลับเป็นม้าตีนต้นไปได้

“ทว่าการปรากฏตัวของไป๋ตี้กลับไม่อยู่ในการคาดการณ์ของข้า ส่วนเรื่องการคำนวณพลาดของท่านโหราจารย์ก็ไม่ได้น่าแปลกใจนัก

“สวี่ผิงเฟิงกล้าก่อกบฏ ย่อมมีวิธีตอบโต้กับพลังของปรมาจารย์ลิขิตฟ้า สำหรับจุดนี้ไม่ต้องไปสืบเสาะอนาคตหรอก ใช้สมองก็พอแล้ว”

เขามองจักรพรรดินีที่พลันแสดงสีหน้าตกใจ แล้วยิ้มพลางว่า

“ใช่แล้ว เรื่องที่ข้าก็คิดได้ ท่านโหราจารย์จะคิดไม่ถึงรึ”

ฮว๋ายชิ่งหาได้โง่เขลา นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

เว่ยเยวียนส่ายหน้า

“ตาเฒ่านั่นคิดอะไร ไม่มีใครรู้หรอก จำหมากลับก้าวนี้ไว้ก็พอ เมื่อมองต่อไปย่อมจะเดาออกเอง”

ฮว๋ายชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนส่งเสียงอืม แสดงออกว่าเรียนรู้แล้ว

เว่ยเยวียนเอ่ยต่อว่า

“จุดประสงค์ที่ไป๋ตี้จัดการท่านโหราจารย์ และจัดการต้าฟ่งคืออะไร”

นี่ก็เป็นสิ่งที่ฮว๋ายชิ่งไม่ได้เอ่ยถึงเช่นกัน

นางรู้ว่าเว่ยเยวียนจะถาม จึงฉวยจังหวะเอ่ยว่า

“เรื่องนี้ว่าไปแล้วซับซ้อน เว่ยกงเคยได้ยินเรื่องการมีอยู่ของผู้พิทักษ์ประตูหรือไม่”

เว่ยเยวียนส่ายหัว ทันใดนั้นก็ฉุกคิดได้

“ท่านโหราจารย์หรือ”

ฮว๋ายชิ่งไม่เคยรู้สึกว่าตนเป็นคนฉลาดเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ และบอกเว่ยเยวียนทุกอย่างเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องผู้พิทักษ์ประตู รวมถึงความจริงและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการล่วงลับของเทพมารบรรพกาล

“ที่แท้ก็จุดประสงค์เดียวกับระดับสุดยอด” เว่ยเยวียนกระจ่างพลัน เขาจิบชาอุ่นๆ แล้วเอ่ยว่า

“การหนีเคราะห์กรรมจะสิ้นสุดลงในสี่วันให้หลัง อืม ตอนนี้ท่านควรส่งคำสั่งไปยงโจวทันทีเพื่อถอนทหารในชั่วข้ามคืนและถอยกลับเมืองหลวง”

เขารู้ได้อย่างไรว่าระดับสุดยอดและไป๋ตี้วางแผนร้ายเรื่องเดียวกัน…ฮว๋ายชิ่งไม่เคยอ่านจดหมายสั่งเสียที่เว่ยเยวียนทิ้งไว้ให้สวี่ชีอัน หลังจากสงสัยได้ครู่หนึ่ง ก็ถลึงตาอ้าปากค้างกับคำพูดอันน่าตกใจของเว่ยเยวียน ก่อนขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า

“หยางกงบาดเจ็บสาหัสไม่ฟื้นคืนสติ ทหารอารักขายงโจวขาดผู้นำ และกำลังรอให้ท่านไปดูแลสถานการณ์โดยรวม ยงโจวเป็นแนวป้องกันสุดท้าย เหตุใดจึงประเคนให้คนอื่นไปเฉยๆ เล่า”

เว่ยเยวียนเติมน้ำร้อนอย่างเนิบๆ แล้วยิ้มพลางว่า

“ข้าแค่จะปล่อยยงโจวให้เขา”

เมื่อเห็นฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วมุ่น เว่ยเยวียนจึงอธิบายว่า

“สวี่ผิงเฟิงคือโหรขั้นสอง คิดว่าเขาคงรู้แล้วว่าข้าคืนชีพแล้ว เมื่อคิดในมุมของเขา ท่านคิดว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร”

ฮว๋ายชิ่งวิเคราะห์ว่า

“ฉวยโอกาสที่ท่านเพิ่งฟื้นคืนชีพ ทำการต่อสู้และยึดยงโจวด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่ท่านจะทันได้เข้าควบคุมสถานการณ์และกองทัพ เขาไม่มีทางให้เวลาท่านแน่”

“กองกำลังทหารกล้าของต้าฟ่งถูกกวาดล้างหมดแล้ว ท่านคิดว่าจะรักษายงโจวไว้ได้หรือ”

ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า แล้วเม้มปากพลางว่า

“แต่ก็ร่วมกันล้มกำลังหลักส่วนหนึ่งของทัพอวิ๋นโจวอีกครั้งได้นี่”

เว่ยเยวียนส่ายหน้า

“นี่ไม่ใช่วิธีการต่อสู้ในสงคราม ยงโจวไม่มีทหารกล้ามากนัก แต่เมืองหลวงน่ะมี เมืองหลวงยังมีกองทหารต้องห้ามหนึ่งหมื่นนาย ซึ่งเป็นกองกำลังสุดท้ายของต้าฟ่ง เมืองหลวงมีปืนใหญ่และยุทโธปกรณ์พร้อมสรรพที่สุด มีกำแพงเมืองแข็งแกร่งที่สุด ยอดฝีมือก็ไม่ขาดแคลนเช่นกัน องค์ชายองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ในวังก็เลี้ยงดูยอดฝีมืออยู่จำนวนไม่น้อย

“เมืองหลวงยังมีค่ายกลป้องกันเมืองขนาดใหญ่ที่ท่านโหราจารย์บรรจงสรรค์สร้างด้วยตัวเอง แม้จะกล่าวว่าอานุภาพของค่ายกลลดทอนลงอย่างมากเมื่อปราศจากการควบคุมของเขา แต่ก็ยังถือเป็นปราการอันแข็งแกร่งชั้นหนึ่ง หากรวบรวมกองทหารต้องห้ามไร้ค่ายและกองกำลังที่เหลือของยงโจวอีก จะคุ้มกว่าการปล่อยให้พวกหยางกงตายไปพร้อมกับเมืองหรือไม่”

ค่ายกลใหญ่ป้องกันเมืองจัดตั้งขึ้นในช่วงต้นของการสร้างเมืองหลวง

เมื่อครั้งสถาปนาอาณาจักรต้าฟ่ง จักรพรรดิเกาจู่ได้สร้างเมืองหลวงที่นี่ โหรทั้งหมดแห่งสำนักโหราจารย์ก็ได้ออกมามีส่วนร่วมในการก่อตั้งอย่างเต็มกำลัง

วัสดุที่ประสานรับกันถูกใส่เข้าไปในผนังของกำแพงเมืองที่ต่างๆ ท่านโหราจารย์รุ่นหนึ่งเป็นผู้ประสานงานบรรจงสร้างค่ายกลด้วยตนเอง ภายในกำแพงสูงใหญ่ซึ่งดูเหมือนธรรมดาของเมืองหลวง แท้จริงแล้วซ่อนค่ายกลอยู่เท่าไรก็ไม่มีใครล่วงรู้

หลังจากท่านโหราจารย์คนปัจจุบันขึ้นมามีอำนาจ ค่ายกลของเมืองหลวงก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้ราชสำนักสูญเสียรายได้จากภาษีไปเกือบครึ่งปี

นอกจากเมืองหลวงแล้ว มีเพียงเมืองหลักสำคัญที่ชายแดนบางแห่งเท่านั้นจึงจะมีค่ายกล ทว่าก็เป็นเพียงค่ายกลป้องกันเมืองอย่างคร่าวๆ

ซึ่งนี่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรคนและทรัพย์สินอย่างแท้จริง

‘แต่เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราก็ไม่มีทางถอยแล้ว’…ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วนิ่งเงียบ แล้วฟังเว่ยเยวียนเอ่ยอีกว่า

“นี่เป็นวิธีการรับมือที่ถูกต้องที่สุดแล้ว จากมุมมองของสวี่ผิงเฟิง นี่เป็นทางที่ข้าจะเลือก และจุดนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง”

ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้วพลางว่า

เว่ยเยวียนมองไปยังทิศของยงโจว

“หมายความว่าใช้กลยุทธ์รบเร็วจบเร็ว”

กลางดึก

ณ ค่ายทหารอวิ๋นโจว ห่างจากเมืองยงโจวไปสี่สิบลี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง