ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 778

สรุปบท บทที่ 778 ถอนทัพ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 778 ถอนทัพ – ตอนที่ต้องอ่านของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอนนี้ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 778 ถอนทัพ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 778 ถอนทัพ

“เว่ยกงมอบภารกิจให้สองข้อ…”

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์หยุดพูดกะทันหันแล้วเหลือบมองทหารชุดเกราะสองนายที่อยู่ด้านหลัง

หนานกงเชี่ยนโหรวมองผู้ใต้บังคับบัญชาสองนายแล้วเอ่ยว่า

“พวกเจ้าถอยไปก่อน!”

“ขอรับ!”

ทหารชุดเกราะสองนายถอยออกไปพร้อมกับปิดประตูตามหลัง

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ถือโอกาสนั่งลงที่โต๊ะ แล้วหยิบถุงผ้าดิ้นใบหนึ่งออกมาเป็นอันดับแรก

“ภารกิจแรกของเว่ยกงก็คือ หลังการสวรรคตของจักรพรรดิองค์ก่อน หากองค์หญิงฮว๋ายชิ่งอยากยึดครองบัลลังก์แทนองค์ชายสี่ก็ให้ข้ามาหาคนที่นี่ ว่ากันตามจริงแล้ว ก่อนมาข้าจำฆ้องทองคำหนานกงไม่ได้หรอก ในถุงผ้าดิ้นมีเพียงที่อยู่เท่านั้น”

หนานกงเชี่ยนโหรวพยักหน้า

“นี่เป็นวิชาอำพรางความลับสวรรค์ของโหร ในเมืองหลวงเกรงจะไม่มีใครจำข้าได้แล้ว”

เรื่องของตน ตนย่อมรู้ดี นอกจากพ่อบุญธรรมแล้วเขาก็ไม่รู้จักมักคุ้นกับใคร และยิ่งมีกรรมผูกกันตื้นเขินเพียงใดก็ยิ่งจำไม่ได้ขึ้นเท่านั้น

เช่นเดียวกับคนที่สูญเสียบิดามารดา เขาย่อมจารึกความทรงจำไว้ในใจ แต่กลับไม่ใส่ใจหากคนแปลกหน้าคนหนึ่งหายไป

“เมื่อครู่เจ้าพูดว่า หากองค์หญิงฮว๋ายชิ่งยึดบัลลังก์องค์ชายสี่ เจ้าจะมาหาข้า แล้วเหตุใดเจ้าถึงเรียกองค์หญิงฮว๋ายชิ่งว่าฝ่าบาทเล่า” หนานกงเชี่ยนโหรวอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความสงสัย

“จักรพรรดินีฮว๋ายชิ่งขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ฆ้องเงินสวี่เป็นผู้ให้การสนับสนุน” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

…หนานกงเชี่ยนโหรวใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะตกผลึกข่าวที่น่าตระหนกนี้ได้ แล้วจึงเอ่ยด้วยความตกใจว่า

“สวี่ชีอันสนับสนุนให้ขึ้นบัลลังก์หรือ ประเดี๋ยวนะ หยวนจิ่งตายได้อย่างไร”

“ฆ้องเงินสวี่ตัดศีรษะของจักรพรรดิองค์ก่อนด้วยตัวเอง หลังจากเว่ยกงเสียชีวิตไม่นาน ฆ้องเงินสวี่ก็ขึ้นสู่ระดับเหนือมนุษย์ ตอนนี้เป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นสอง” สีหน้าของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์เต็มไปด้วยความเลื่อมใส

หนานกงเชี่ยนโหรวยกมือขัดจังหวะการพูดของเขา ก่อนนั่งนิ่งอยู่นาน แล้วจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่แน่ใจว่า

“เว่ยกงออกกรีธาทัพไปเมืองจิ้งซาน เป็นเรื่องรัชศกไหนของหยวนจิ่ง”

“วันนี้เพิ่งจะเทศกาลไหว้วสันต์ เว่ยกงกรีธาทัพไปเมืองจิ้งซานเมื่อฤดูสารทปีที่แล้ว ห่างจากตอนนี้ประมาณห้าเดือน” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ตอบด้วยน้ำเสียงยืนยันยิ่ง

ดังนั้นข้าก็อยู่ที่นี่เพียงห้าเดือน มิใช่ห้าปี และมิใช่ห้าสิบปี…หนานกงเชี่ยนโหรวนวดหว่างคิ้ว

“หากไม่รีบ เจ้าก็บอกข้าก่อนเถอะว่าข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์รีบเล่าสรุปคร่าวๆ เรื่องหลังจากที่เว่ยเยวียนตาย สวี่ชีอันสกัดกั้นกองทัพสามแสนนายของสำนักพ่อมดที่นอกด่านอวี้หยางด้วยตัวคนเดียว หลังจากกลับเมืองหลวงแล้วก็บุกเข้าตำหนักกระดิ่งทอง สังหารหยวนจิ่งผู้ไร้ความสามารถ รวมทั้งเรื่องสำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุทธภพ ตลอดจนยุทธการหนีเคราะห์กรรมที่ใกล้จะมาถึง

แม้จะกล่าวอย่างกระชับมากแล้ว ทว่าหนานกงเชี่ยนโหรวก็ยังคงฟังด้วยความงงงัน ใบหน้าทึ่มทื่อ

“เช่นนั้นรึ…”

เขานวดหว่างคิ้วอีกครั้ง เกิดความรู้สึกชนิดที่ว่าอยู่ในหุบเขาไม่กี่เดือน แต่กาลเวลาในโลกภายนอกหมุนผ่านไปเป็นพันปี

ตอนที่ซุนเสวียนจีขวางเขาไว้นั้น หากจำไม่ผิด เด็กน้อยผู้มีรอยยิ้มขี้เล่นที่รู้จักเพียงแย่งชิงความโปรดปรานกับเขาผู้นั้น มีตบะขั้นห้า ทั้งยังเพิ่งเข้าขั้นห้าระดับต้นด้วย

“ว่ามาเถอะ ภารกิจที่สองที่พ่อบุญธรรมมอบหมายให้เจ้าคืออะไร”

หัวหน้าทหารรักษาพระองค์เอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม

“ในถุงผ้าดิ้นที่เว่ยกงมอบให้ข้าบอกว่า สวี่ชีอันกับสำนักโหราจารย์จะทำทุกวิถีทางเพื่อชุบชีวิตเขา หากสังเกตพบความเคลื่อนไหวใดๆ ที่หอดูดาว ให้ออกจากเมืองหลวงมาหาท่านทันที เพื่อให้ท่านเปิดถุงผ้าดิ้นใบที่สาม เว่ยกงให้ที่อยู่แห่งนี้กับข้า”

เขาในฐานะหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ ฝ่าบาทไปที่แห่งใดเขาก็ติดตามไปที่นั่น

เขาจึงสามารถเห็นสถานการณ์ที่หอดูดาวได้อย่างชัดเจน

“พ่อบุญธรรมฟื้นคืนชีพแล้วรึ”

แก้มของหนานกงเชี่ยนโหรวพลันแดงเรื่อเป็นสีชมพูงดงาม

ร่างกายของเขาสั่นเทาเล็กน้อย สายตาทั้งตื่นเต้นทั้งจ้องเขม็งไปยังหัวหน้าทหารรักษาพระองค์อย่างโหดเหี้ยม

นัยน์ตาเขาเป็นประกายระยับอยู่ท่ามกลางแสงสว่างสีเหลืองส้ม

“นี่คือถุงผ้าดิ้นที่เว่ยกงมอบให้ข้า” หัวหน้าทหารรักษาพระองค์หยิบถุงผ้าดิ้นออกมาแล้วส่งให้โดยตรง

เขาเชื่อว่าไม่มีคำพูดใดมีผลไปกว่าถุงผ้าดิ้นชิ้นนี้

หนานกงเชี่ยนโหรวคว้าถุงผ้าดิ้นมาเปิดออกอย่างแทบอดใจรอไม่ไหว

หลังจากอ่านทวนซ้ำๆ เขาก็พลันแสบจมูก จึงสูดหายใจลึกมิให้น้ำตาไหลลงมา

จากนั้น หนานกงเชี่ยนโหรวก็ลุกขึ้นแล้วดึงกล่องไม้ใบหนึ่งออกจากใต้เตียง ก่อนหยิบถุงผ้าดิ้นออกมาสองใบ

และเปิดถุงผ้าดิ้นซึ่งเขียนอักษร ‘สอง’ ออกก่อน โดยมิได้หลบเลี่ยงหัวหน้าทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ข้างกาย

“เชี่ยนโหรว ข้าทิ้งยาโลหิตเม็ดหนึ่งไว้ที่สวี่ชีอัน หลังจากที่ข้าพลีชีพในการต่อสู้ที่เมืองจิ้งซานแล้ว เขาก็จะกลายเป็นคนสิ้นหวัง หากไม่เลื่อนขึ้นขั้นสี่แล้วใช้ยาโลหิตทะลวงขั้นเหนือมนุษย์ ก็อาจสิ้นชีพอยู่ในรัชสมัยของเจินเต๋อ

“ด้วยบุญพาวาสนาส่งของเขา เป็นไปได้มากว่าจะแคล้วคลาดจากมหันตภัยครั้งนี้ได้อย่างปลอดภัย

“จากนิสัยของเขาแล้ว เรื่องแรกที่จะทำหลังจากเลื่อนขึ้นขั้นเหนือมนุษย์ต้องเป็นการสังหารเจินเต๋อแน่

“รัชทายาทขี้ขลาดอ่อนแอ รักความสุขสงบ มิอาจเป็นเจ้าคนนายคนได้ ด้านฮว๋ายชิ่งมีความทะเยอทะยานทั้งยังจิตใจกล้าหาญ นางมีแนวโน้มจะฉวยโอกาสนี้ร่วมมือกับสวี่ชีอันเพื่อทำรัฐประหารแย่งชิงบัลลังก์

“แม้ต้าฟ่งจะยังไม่ถึงจุดที่ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย และเหล่าขุนนางราชสำนักจะรู้เพียงรัชทายาทเจิ้งถ่ง การชิงบัลลังก์นั้นยากลำบาก นับประสาอะไรกับความขัดแย้งภายใน ดังนั้นเจ้าต้องช่วยฮว๋ายชิ่งปราบปรามกองทหารต้องห้าม เพื่อวางรากฐานให้มั่นคงได้โดยเร็วที่สุด

“อาศัยกำลังทหารม้าติดอาวุธหนึ่งพันนายก็เพียงพอที่จะชนะแล้ว”

ที่แท้ก็เป็นการให้ข้าช่วยฮว๋ายชิ่งยึดครองบัลลังก์…หนานกงเชี่ยนโหรววางกระดาษลง แล้วเปิดถุงผ้าดิ้นใบที่สาม

“เชี่ยนโหรว เมื่อเจ้าได้เปิดถุงผ้าดิ้นนี้ออก นั่นหมายความว่าฮว๋ายชิ่งไม่ได้ยึดชิงบัลลังก์ เช่นนั้นภารกิจต่อไปของเจ้าก็คือ โจมตีอวิ๋นโจวไม่ให้ทันตั้งตัว

“ในสามสิบเขตการปกครองของต้าฟ่ง ประชากรอวิ๋นโจวมีจำนวนมากกว่าฉู่โจวเพียงเล็กน้อย หากทางนั้นต้องการใช้อวิ๋นโจวเป็นฐานเพื่อขึ้นเหนือมาพิชิตต้าฟ่ง ไม่ว่าจะเตรียมการล่วงหน้าดีเพียงใด การขาดกำลังทหารก็เป็นข้อเสียเปรียบใหญ่ที่สุด

“ทหารอารักขาที่รั้งอยู่อวิ๋นโจวมีไม่มากนัก ซึ่งแน่นอนว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่กองทัพธรรมดาจะกลืนกินได้ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงทุ่มเทความอุตสาหะทั้งหมดในการสร้างทหารม้าติดอาวุธหน่วยนี้เพื่อไว้ใช้ประโยชน์ ตั้งแต่สายพันธุ์ม้าไปจนถึงทหารชุดเกราะ รวมทั้งเสื้อเกราะที่พวกเจ้าสวมใส่ อาวุธที่ใช้ก็ล้วนเป็นอาวุธเวทมนตร์ ซึ่งเพียงพอที่จะกวาดล้างกองทัพนับพัน

“ข้าจะสื่อเป็นนัยหลังจากที่ตัวเองฟื้นคืนชีพแล้วให้อย่าลืมไพ่ตายที่จะเอาชนะศัตรูโดยการบุกโจมตีอวิ๋นโจวอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่กลับจะจำเจ้าไม่ได้ ดังนั้น เจ้าต้องสอบถามบุตรในเงามืดที่ข้าส่งมา เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์เฉพาะหน้าในสงครามระหว่างต้าฟ่งและอวิ๋นโจว แล้วทำการตัดสินใจตามสถานการณ์

“หากกองทัพใหญ่ต้าฟ่งมิอาจต้านทาน และถูกปราบปรามโดยความร่วมมือของทัพอวิ๋นโจวกับภิกษุนักรบแดนประจิม หรือหากทั้งสองกองทัพยังคงใช้ชิงโจวเป็นสนามรบและอยู่ในสถานการณ์การต่อสู้แบบประชิด หรือบางทีอวิ๋นโจวอาจมีระดับเหนือมนุษย์อยู่เบื้องหลัง ให้เจ้าละทิ้งการโจมตีอวิ๋นโจวทันที แล้วแจ้งบุตรในเงามืดให้กลับเมืองหลวงเพื่อรายงานข้าโดยด่วน

ยงโจวปิดเมืองได้หลายวันแล้ว ห้ามประชาชนและทหารในเมืองเข้าออก

ทหารอารักขาบนยอดกำแพงเมืองลาดตระเวนทั้งกลางวันกลางคืน นักรบเผ่าอั้นกู่ของเผ่าพันธุ์กู่รับหน้าที่หน่วยสอดแนม เป็นเงามืดเฝ้าสังเกตทุกความเคลื่อนไหวของกองทัพอวิ๋นโจว

ตราบใดที่ไม่เข้าใกล้กองทัพอวิ๋นโจว นักรบเผ่าอั้นกู่ก็จะเป็นหน่วยสอดแนมที่เป็นความลับสุดยอด

ช่วงสองสามวันนี้ เมืองยงโจวทั้งหมดถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศแห่งความตื่นตระหนก โดยเฉพาะผู้คนในเมืองที่วันๆ คิดแต่จะหนีออกจากเมืองเพื่อเอาชีวิตรอด เหล่าสายสืบแห่งตำหนักความลับสวรรค์กำลังเติมเชื้อไฟอยู่ในเมือง สร้างความตื่นตระหนก ปลุกระดมชาวบ้านให้ก่อจลาจลและบุกโจมตีประตูเมือง

เหยาหงซึ่งเป็นสมุหเทศาภิบาลยงโจวก็คุมสถานการณ์ให้อยู่ในกรอบได้ยาก เนื่องจากชาวบ้านที่ต้องการออกจากเมืองยงโจวเหล่านั้น มีทั้งชนชั้นสูงตระกูลขุนนาง รวมถึงตัวเขาเองด้วย

ใครๆ ก็รู้ว่ารักษายงโจวไว้ไม่ได้แล้ว หลังจากเสียสวินโจว ทหารกล้าชุดสุดท้ายของต้าฟ่งซึ่งเหลือไม่ถึงห้าพันนายก็ถอยกลับยงโจว

อาศัยกำลังทหารอันน้อยนิดนี้ จะต้านทานกองทัพอวิ๋นโจวที่จ้องตาเป็นมันอยู่นอกเมืองได้อย่างไร

สุดท้ายแล้ว ผู้ที่คลี่คลายเรื่องนี้ก็คือสวี่เอ้อร์หลาง เขาจัดการเหยาหง จากนั้นจึงให้หัวหน้าฝ่ายซือกู่เปลี่ยนเหยาหงเป็นหุ่นเชิด และสร้างเสถียรภาพทางการเมืองในยงโจวเป็นอันดับแรก

จากนั้นก็จัดการพวกที่ร่ำรวยแต่ไร้คุณธรรม บุกค้นบ้านและกวาดล้างครอบครัวที่ร่ำรวยและชั่วร้ายที่สุด จับกุมผู้ก่อกวนและตัดหัวประจาน ก่อนใช้ทรัพย์สินและเสบียงอาหารที่ได้จากการบุกค้นมาช่วยเหลือชาวบ้าน และใช้คารมคมคายวาดจินตนาการอันสดใสให้ชาวบ้านที่หน้าโรงทาน

คารมของสวี่เอ้อร์หลางนั้นร้ายกาจยิ่งนัก เขาเชี่ยวชาญอย่างมากในการหว่านล้อมจิตใจผู้คน เพียงแต่ปกติจะใช้ใส่ร้ายคนเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง การที่เขาใส่ร้ายผู้คนได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคารมคมคายของเขา

ภายใต้พระเดชและพระคุณ ส่งผลให้ชาวบ้านในเมืองสงบลงมาก

หลังจากที่สวี่เอ้อร์หลางเสร็จงานตรวจตราเมืองและกลับค่ายทหาร ก็เห็นฉู่ไฉ่เวยนำทหารเข้าห้องครัวไปหาบปลาเป็นถังๆ

ปลาเหล่านี้จับได้ในแม่น้ำของเมืองยงโจว นอกจากไว้กินแล้ว พวกมันยังเป็น ‘ยา’ ชนิดหนึ่งด้วย พูดให้ถูกก็คือ หนังปลาเป็นยาชนิดหนึ่ง ใช้รักษาแผลไฟไหม้บนผิวหนังโดยเฉพาะ

เหตุจากปืนใหญ่ น้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆ ในกองทัพต้าฟ่งจึงมีผู้ที่บาดเจ็บจากแผลไหม้เป็นจำนวนมาก

หากรักษาบาดแผลไม่ทันเวลาก็จะเกิดหนองและติดเชื้ออย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดก็มีเพียงความตาย และเมื่อขาดแคลนยาก็ไม่มีทางที่ผู้บาดเจ็บทั้งหมดจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ดังนั้น ฉู่ไฉ่เวยจึงคิดค้นการใช้หนังปลามารักษาแผลไฟไหม้ เพียงปิดบาดแผลด้วยหนังปลาก็จะสามารถป้องกันการติดเชื้อได้

แท้จริงแล้วนี่เป็นวิธีการที่ฉู่ไฉ่เวยเพิ่งจะค้นคว้าได้

สวี่เอ้อร์หลางเข้ามายังค่ายทหาร ขณะกำลังเดินตรงเข้าห้องของตัวเอง ก็พบกับอาจารย์จางเซิ่นระหว่างทาง

“เจ้ามาพอดี!”

จางเซิ่นเอ่ยเสียงเข้ม

“ค่ายกลส่งตัวในค่ายทหารนั่นเพิ่งจะส่งขันทีกุมตราลัญจกรมาในค่าย เป็นฝ่าบาทที่ส่งมา ข้าไปเรียกรวมพลขั้นสี่ทั้งหมดเพื่อหารือแล้ว”

เมืองยงโจวเป็นเมืองหลักของยงโจว ซุนเสวียนจีได้สร้างแท่นส่งตัวไว้ที่นี่ ค่ายกลส่งตัวสามารถเคลื่อนย้ายได้มากสุดในพื้นที่มณฑลเดียวกันเท่านั้น

“มีเรื่องอะไรรึ”

สวี่เอ้อร์หลางเอ่ยถาม

จางเซิ่นพลันสีหน้าดูไม่ได้ “ฝ่าบาทมีพระบัญชา ให้พวกเราอพยพออกจากยงโจวตลอดทั้งคืน”

สีหน้าของสวี่เอ้อร์หลางก็ดำดิ่งลงเช่นกัน

………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง