ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 779

บทที่ 779 ไทเฮา หญิงชรา

สาเหตุที่จางเซิ่นออกมาชุมนุมกับยอดฝีมือขั้นสี่และนายทหารชั้นสูงที่มีอำนาจและอิทธิพลสูงบางคน เป็นเพราะคำสั่งให้ถอนทัพมีความสำคัญอย่างยิ่ง และพูดถึงตำแหน่งขุนนางแล้ว เขาเป็นเพียงนายทหารฝ่ายเสนาธิการของหยางกง ไม่ใช่คนที่สามารถตัดสินใจได้

หยางกงซึ่งสามารถตัดสินใจได้ก็หมดสติยังไม่ฟื้น จะรอดหรือตายนั้นยากจะคาดเดา คนที่สามารถตัดสินใจได้อีกคน ก็ถูกสวี่เอ้อร์หลางฆ่าตายแล้ว

จากชิงโจวถึงสวินโจว ต่อสู้และฆ่าฟันมาตลอดทาง ปัญญาชนผู้ร่างกายอ่อนแอที่รูปลักษณ์ภายนอกดูสง่างาม แต่ภายในใจกลับสั่งสมความโหดร้ายไว้อย่างยากจะคาดเดา

หากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้สวี่เอ้อร์หลางมีความกล้าเพียงใด ก็ไม่กล้าที่จะฆ่าสมุหเทศาภิบาลผู้สืบทอดขั้นสอง

ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองปั่นป่วน ชีวิตมนุษย์เหมือนต้นหญ้า ไม่ใช่แค่ชาวบ้านเท่านั้น ขุนนางและทหารก็เช่นเดียวกัน

ในไม่ช้า นอกจากนายทหารชั้นสูงที่อยู่เวรเฝ้ารักษาหน้าที่แล้ว ขุนนางชั้นสูงทั้งหมดต่างถูกเรียกให้ไปชุมนุมกันที่จวนผู้บัญชาการในค่ายทหาร

ในบรรดาคนเหล่านี้มีหัวหน้า เจ้าลัทธิของกลุ่ม พันธมิตรจอมยุทธ์สองสามท่าน มีผู้นำทหารกบฏ เช่น ฉู่หยวนเจิ่น เหิงหย่วน หยางเชียนฮ่วน มีผู้นำทางการทหารประจำราชสำนัก เช่น หยางเยี่ยน เฉินอิง แล้วยังมีทหารอารักขาชั้นสูงของเมืองชิงโจวเดิมที่ตบะไม่สูง แต่มีประสบการณ์โชกโชนในการเป็นผู้นำทหารในการทำสงคราม

สิ่งที่ควรพูดถึงก็คือ นอกจากโจวมี่ผู้บัญชาการเมืองชิงโจวเดิม และหยางกงท่านนี้แล้ว ผู้ที่ตำแหน่งขุนนางสูงสุด ล้วนพลีชีพที่สวินโจว

ภายในห้องโถง ขันทีวัยกลางคนที่สวมหม่างเผา รอจนทุกคนมากันพร้อมแล้ว ก็มองไปรอบๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“อาการบาดเจ็บของหยางกงเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลี่มู่ไป๋คนแรกทางด้านซ้ายพูดเบาๆว่า

“รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว เพียงแต่ยังคงหมดสติยังไม่ฟื้น ส่วนจะฟื้นเมื่อไหร่นั้น ยังไม่อาจรู้ได้”

ขันทีกุมตราลัญจกรขมวดคิ้ว มองไปด้านข้าง ที่ร่างในชุดขาวซึ่งหันหลังให้กับทุกคน

“แม้แต่หยางเชียนฮ่วนเจ้าก็ช่วยชีวิตกลับมาไม่ได้หรือ”

ร่างในชุดขาวที่หันหลังให้กับทุกคน เงยคางขึ้น พูดอย่างเย่อหยิ่งว่า

ขันทีกุมตราลัญจกรขยับริมฝีปาก ยกเลิกความคิดที่จะสนทนากับหยางเชียนฮ่วน ถอนสายตา ถามต่อว่า

“เหยาหงอยู่ที่ไหน?”

ทุกคนหันไปมองสวี่ซินเหนียน

พูดตามตรง หยางเยี่ยนและคนอื่นๆ ซึ่งขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในแวดวงขุนนางมาหลายปี หากไม่ถูกบีบบังคับจนต้องทำเช่นนี้ คงจะไม่กล้าฆ่าสมุหเทศาภิบาลระดับสองชั้นโท

บรรดาเจ้าลัทธิและหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ยิ่งไม่ทำเรื่องเช่นนี้ สมุหเทศาภิบาลมณฑลท่านหนึ่ง เป็นถึงระดับสองชั้นโท ไม่ใช่คนนอกเช่นพวกเขาเหล่านี้นึกจะฆ่าก็ฆ่าได้

กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์และราชสำนักต้าฟ่งจุดธูปสาบานร่วมกันใหญ่โตเช่นนี้ หากเป็นเพราะความโกรธเคือง จนทำให้ความสัมพันธ์ต้องแตกร้าว หรือในใจเกิดความระแวงต่อกัน ถ้าเช่นนั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว

คงจะมีเพียงสวี่ซินเหนียนที่มีความมั่นใจและเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เมื่อเห็นว่าเค้าเงื่อนผิดปกติ จึงรีบดับไฟแต่ต้นลม จนกระทั่งรู้ว่าทุกคนมีความกังวล จึงก้าวออกมารับผิดชอบภาระนี้เอง

ถึงแม้จะไม่โดดเด่นเท่าญาติผู้พี่สวี่ชีอัน แต่ความสามารถ ความรู้ ความรับผิดชอบของซู่จี๋ซื่อท่านนี้ก็ได้รับการยอมรับเป็นเอกฉันท์โดยหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ

สวี่ซินเหนียนตอบอย่างใจเย็นว่า

“เพื่อปลอบขวัญขุนนาง และเสนาบดีเล็ก ที่ล้มป่วยเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลานาน สมุหเทศาภิบาลเหยาจึงพักผ่อนรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่จวน”

คราวหลังปล่อยให้เหยาหงได้มีโอกาส ‘พลีชีพเพื่อชาติ’ เพียงคนเดียวก็พอ

สวี่ซินเหนียนไม่กลัวว่าเมื่อเรื่องแดงขึ้นมาแล้วจักรพรรดินีจะทรงประณามอย่างรุนแรง ไม่ต้องพูดถึงว่าฮว๋ายชิ่งจะทรงกล่าวโทษ ถึงจะทรงกล่าวโทษ เขาก็แค่ผลักพี่ใหญ่ออกไป ใครจะกล้าพูดอะไร?

“ลำบากใต้เท้าเหยาแล้ว!”

ขันทีกุมตราลัญจกรไอครั้งหนึ่ง และเข้าสู่ประเด็นทันที

“วันนี้ข้าน้อมรับพระราชโองการของฝ่าบาท คืนนี้ให้พวกท่านถอนทัพออกจากยงโจว รักษากำลังไว้ ถอยกลับมาพิทักษ์เมืองหลวง”

ประการแรก ยงโจวเป็นด่านกำบังสุดท้าย ทิ้งยงโจวไป กองทัพอวิ๋นโจวก็ตีถึงเมืองหลวงแล้ว

ด้วยสายตาของสวี่เอ้อร์หลาง ความจริงแล้วก็เข้าใจได้ว่า ในการต่อสู้ตัดสินความเป็นความตายระหว่างกองทัพเมืองหลวงกับกองทัพอวิ๋นโจวนั้นโอกาสชนะจะมีมากหน่อย

แต่ปัญหาก็คือ นี่เป็นการกระทำที่เสี่ยงอันตราย ต้าฟ่งจะไม่มีทางหนีทีไล่แม้แต่น้อย

ประการที่สอง ยกยงโจวให้ด้วยสองมือ พลังต่อสู้ของสวี่ผิงเฟิงก็จะสูงขึ้นไปอีกระดับ และกองทัพอวิ๋นโจวก็จะถือโอกาสฉกฉวยของกินของใช้ของยงโจว ขยายกองกำลัง ลำบากแทบแย่กว่าจะทำลายกองทัพอวิ๋นโจว หรือที่ผ่านมาจะเสียแรงเปล่า?

ประการสุดท้าย ชาวบ้านในเมืองยงโจวจะทำอย่างไร?

แม้จะพูดกันว่าในช่วงเวลาบ้านเมืองปั่นป่วนชีวิตมนุษย์เหมือนต้นหญ้า แต่คนก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจกัน ถ้ากองทัพอวิ๋นโจวฆ่าล้างเมือง ชาวบ้านแสนกว่าคนนี้…

หลี่มู่ไป๋เห็นว่าไม่มีใครพูดจา จึงไอครั้งหนึ่ง แล้วพูดว่า

“ขออภัยที่ข้าไม่อาจทำตามพระราชโองการได้! หากละทิ้งยงโจว เช่นนั้นก็จะเป็นการช่วยเติมเชื้อไฟให้ของกองทัพอวิ๋นโจว จะยิ่งทำให้พวกเขาฟื้นคืนปฐมปราณ สงครามหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือยังไม่เห็นผล หากทำตามที่ฝ่าบาททรงชี้แนะ ถึงแม้ฆ้องเงินสวี่จะชนะสงครามหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือ ก็ไม่แน่ว่าพวกเราจะมีโอกาสชนะ”

“อย่าลืมว่า ลั่วอวี้เหิงหลุดพ้นจากบ่วงกรรมแล้ว แต่ก็เป็นเพียงการตีเสมอพลังต่อสู้ แต่ไม่ใช่ต้าฟ่งจะสามารถตอบโต้อวิ๋นโจวได้”

จางเซิ่นพูดเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาททรงพระปรีชาหาที่เปรียบมิได้ แต่กลับไม่เชี่ยวชาญในการนำทหารออกรบ ยากที่จะหลีกเลี่ยง การคะเนที่ผิดพลาด

“กล่าวกันว่าแม่ทัพที่อยู่ข้างนอกอาจไม่น้อมรับพระบรมราชโองการของจักรพรรดิอยู่บ้าง ตัวข้าก็มีความเห็นของตัวเอง หลังเหตุการณ์สิ้นสุดลงแล้วหากฝ่าบาททรงกล่าวโทษ ก็มาหาจางเซิ่นคนนี้ได้”

หยางเยี่ยนและคนอื่นๆ เป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน และยังเป็นคนสนิทของจักรพรรดินีอีกด้วย แต่ในเรื่องนี้ กลับทรงสนับสนุนปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่

ความรู้ความสามารถของฝ่าบาทไม่เป็นรองผู้ชาย กระทั่งเหนือกว่าผู้ปราดเปรื่องธรรมดาทั่วไป แต่พระองค์ก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง จะทรงรู้อะไรเกี่ยวกับสงคราม?

แต่ว่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นคนของจักรพรรดินี ความคิดก็เป็นเรื่องของความคิด ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันแสดงออกมา

ฟู่จิงเหมินพูดอย่างดูแคลนว่า

“ถ้าจะถอยพวกเจ้าถอยไปเอง กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์จะไม่ถอย!”

หยางชุยเสวี่ยลูบดาบ พูดเสียงต่ำว่า

“บรรดาศิษย์อาวุโสต่างเสียชีวิตในยงโจว ข้าก็ควรตายที่นี่เช่นกัน เช่นนี้จึงไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์และอาจารย์กัน

“กลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ไม่ได้อยู่ในการดูแลของราชสำนัก จะไปพวกเจ้าก็ไป”

นายทหารชั้นสูงผู้ใต้บังคับแห่งชิงโจวแสดงสีหน้าสะเทือนใจเล็กน้อย เกิดความฮึกเหิม

‘ฝ่าบาททรงคาดไว้ไม่ผิด คนกลุ่มนี้ฝ่าฝืนคำสั่งจริงๆ ด้วย…’ ขันทีกุมตราลัญจกรนึกถึงพระราชดำรัสที่ฝ่าบาททรงรับสั่งไว้ก่อนเดินทางไปยงโจว

ฝ่าบาททรงตรัสว่า ถ้าทหารอารักขาของยงโจวรวมตัวกันฝ่าฝืนคำสั่ง ก็ให้บอกพวกเขาว่าเว่ยกงฟื้นคืนชีพแล้ว

‘ฝ่าบาททำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำเหมือนเทพเจ้าทีเดียว!’ ขันทีกุมตราลัญจกรสูดลมหายใจลึกๆ แล้วกล่าวว่า

“นี่เป็นคำสั่งของเว่ยกง!”

พูดจบ เขาก็พบว่าภายในห้องโถงนั้นเงียบลงอย่างฉับพลัน ทุกคนมองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

แววตานั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก แปลกประหลาดอย่างยากที่จะพรรณนา

หลังจากนั้นประมาณไม่กี่วินาที เส้นโลหิตดำบนหน้าผากของหยางเยี่ยนก็ปูดขึ้น พูดชัดถ้อยชัดคำว่า

“เจ้ากำลังล้อพวกเราเล่น?”

เขาสาบานว่า ถ้าขันทีคนนี้กล้าที่จะยอมรับ เขาก็จะกล้าที่จะแทงหน้าอกอีกฝ่ายให้ทะลุต่อหน้าทุกคน

ขันทีกุมตราลัญจกรมาจากพระตำหนักของฮว๋ายชิ่ง ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย จึงพูดอย่างไม่กลัว ไม่รีบร้อนว่า

“วันนี้เว่ยกงได้ฟื้นคืนชีพแล้ว ฝ่าบาททรงเชิญวิญญาณมาเอง หากทุกท่านไม่เชื่อ เมื่อกลับเมืองหลวงแล้ว สามารถตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง”

ภายในห้องโถงโกลาหลขึ้นมาทันที

สีหน้าของทุกคนแตกต่างกันไป มีทั้งดีใจ มีทั้งงุนงง มีทั้งตื่นตะลึง มีทั้งสงสัย มีทั้งตื่นเต้น…

“หากเว่ยเยวียนฟื้นคืนชีพจริงๆ ถ้าเช่นนั้นข้าก็เห็นด้วยที่จะถอยกลับไปพิทักษ์เมืองหลวง”

เพราะมีเว่ยเยวียนคุมกองกำลัง ถ้าเช่นนั้นการตัดสินใจที่จะถอยกลับไปพิทักษ์เมืองหลวง ก็ไม่ใช่การเสี่ยงภัยด้วยกำลังทั้งหมดที่มี แม้ตกอยู่ในอันตราย ย่อมสามารถเสี่ยงตายเอาชีวิตรอดมาได้

แต่ทุกคนยังคงไม่เชื่อ

เว่ยเยวียนเสียชีวิตในการต่อสู้ในเมืองจิ้งซานตั้งนานแล้ว ข่าวการฟื้นคืนชีพมาจากไหนกัน

ในเวลานี้ ทุกคนในห้องโถงฟังหยางเชียนฮ่วนพูดอย่างช้าๆ ว่า

“เขาไม่ได้โกหก!”

สายตาทุกคู่มุ่งไปที่ด้านหลังศีรษะของโหรชุดขาวทันที

หยางเยี่ยนรีบหาข้อพิสูจน์ทันที ถามว่า

“เจ้าใช้วิชามองปราณมองหรืออย่างไร”

‘ดูเหมือนจะไม่ได้หันศีรษะเลยนี่นา…’ ในใจของสวี่เอ้อร์หลางและคนอื่นๆ พูดเสริมขึ้นมาประโยคหนึ่ง

หยางเชียนฮ่วนทำเสียง ‘อะแฮ่ม’ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ ที่สามารถทำให้คนร้อนใจเจียนตายว่า

“ไม่ ข้าไม่ได้มอง แต่…”

เขาเจตนาหยุดไปครู่หนึ่ง เพื่อดึงดูดความสนใจของทุกคน

‘อยากจะซัดเขาจริงๆ…’ หลังมือของหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ มีเส้นโลหิตดำปูดขึ้น อดกำอาวุธไว้แน่นไม่ได้

ไม่ว่าคนนอกจะคิดอย่างไร ตัวหยางเชียนฮ่วนเองกลับสุขุมเหมือนหมาแก่ พูดอย่างไม่เร่งรีบว่า

“แต่ข้าเคยเห็นร่างของเว่ยเยวียนในห้องลับของซ่งชิง และข้ายังรู้ว่าสวี่ชีอันได้ทดลองชุบชีวิตเว่ยเยวียนมาโดยตลอด”

‘โอ้ ฆ้องเงินสวี่เป็นคนชุบชีวิตเว่ยเยวียน…’ ทุกคนเข้าใจในทันที

ความข้องใจภายในใจของฆ้องทองคำหยางเยี่ยนและคนอื่นๆ หายไปในทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง