บทที่ 780 ผู้ชายคนนั้นกลับมาแล้ว
สวี่หลิงเยวี่ยนไม่ได้ต้องการจะรู้ฐานะของมู่หนานจือให้ได้ เพียงแต่ ‘ผู้อาวุโส’ คนนี้ที่จู่ๆ ก็แทรกซึมเข้ามาในจวนสกุลสวี่ แล้วหลังจากนั้นก็ถูกนำตัวเข้าไปในพระราชวังอีก มักแสดงท่าทางสูงศักดิ์และหยิ่งยโสชนิดที่ธิดาของตระกูลที่มีชื่อเสียงต่างเทียบไม่ติด
นางเป็นคนธรรมดาแท้ๆ เหตุใดจึงมีความมั่นใจขนาดนั้น
ย่อมทำให้สวี่หลิงเยวี่ยอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา
ถึงอย่างไรอยู่บ้านนางก็ว่างมาก นอกจากช่วยตัดชุดคลุม รองเท้าให้ท่านพ่อ พี่ใหญ่และพี่รอง อ่านหนังสือก็ไม่มีอะไรจะทำแล้ว
เมื่อก่อนยังมีเสี่ยวโต้วติงคอยกวนใจนาง แต่นับตั้งแต่น้องสาวคนเล็กไปซินเจียงตอนใต้แล้ว ในบ้านก็เงียบสงบขึ้นมาก
บางครั้งก็จะอ่านตำราลัทธิเต๋าของนิกายมนุษย์ ตอนที่สวี่ชีอันเข้าสู่ยุทธภพ เพื่อตอบโต้ที่ท่านแม่ ‘บังคับให้แต่งงาน’ นางจึงอ้างชื่อของพี่ใหญ่ ฝากตัวเป็นศิษย์ของนิกายมนุษย์ได้อย่างราบรื่น กลายเป็นลูกศิษย์เพียงในนามของอารามรัตนะ บำเพ็ญพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง
ในเวลานั้นนางได้ถามพี่ใหญ่แล้ว และพี่ใหญ่ก็เห็นด้วย
อยู่ว่างๆ ก็ชอบหาอะไรทำเล็กๆ น้อยๆ บังเอิญผู้หญิงที่ชื่อมู่หนานจือก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี
“ป้ามู่ ข้าไปเป็นเพื่อนท่านนะ”
จากนั้นสวี่หลิงเยวี่ยก็ลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ท่านอาจจะไม่รู้ว่าตำหนักเฟิ่งชีอยู่ที่ไหน ข้าเคยมาพระราชวังครั้งหนึ่ง สามารถนำทางท่านได้”
มู่หนานจือโบกมือไปมา “ไม่ต้องหรอก ข้าไปเองได้”
นางคิดในใจ ตอนที่ข้าอยู่ในวังหลัง สาวน้อยอย่างเจ้ายังไม่เกิดเลย
สวี่หลิงเยวี่ยพูดเตือนว่า
“ถ้าเช่นนั้นท่านอย่าได้ล่วงเกินไทเฮาล่ะ”
มู่หนานจือโบกมืออีกครั้ง พูดพร้อมเดินออกไปช้างนอก
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
นางคิดในใจว่า ‘อายุสิบสี่ข้าก็กดดันจนไทเฮาพระพักตร์ถอดสีมาแล้ว ข้ายังจะกลัวหญิงชราคนนี้อยู่อีกหรือ?’
สวี่หลิงเยวี่ยมองตามหลังของมู่หนานจือ แล้วตกอยู่ในความคิดคำนึง
เวลาผ่านไปครึ่งเค่อ อาสะใภ้ก็ออกมาจากลานด้านหลัง โดยอุ้มต้นไผ่ขนาดจิ๋วกระถางหนึ่งไว้ในอ้อมอก ใบหน้างามเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เอ๊ะ ป้ามู่ของเจ้าเล่า”
อาสะใภ้กำลังจะแบ่งต้นไผ่สวยงามกระถางนี้ให้พี่สาวคนสนิท มองซ้ายทีขวาที แต่ไม่เห็นใคร
“ไปหาเรื่องไทเฮาที่ตำหนักเฟิ่งชีแล้ว”
สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
อาสะใภ้ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบวางต้นไผ่ในอ้อมอกลงที่โต๊ะ แล้วพูดอย่างร้อนใจว่า
“หาเรื่องไทเฮา? หญิงสาวชาวบ้านเช่นนาง ไปหาเรื่องรำคาญพระทัยให้ไทเฮา นี่ไม่เท่ากับกลัวว่าจะอายุยืนเกินไปหรอกหรือ?”
สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเบาและอ่อนโยน
“ท่านแม่ ป้ามู่เป็นคนโง่หรืออย่างไร?”
อาสะใภ้ตกตะลึง พูดด้วยความโกรธว่า
“ดูเจ้าพูดซิ เจ้านั่นแหละถึงจะเป็นคนโง่ พอๆ กับหลิงอินเลย”
นางชี้นิ้วตำหนิสวี่หลิงเยวี่ย
สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยสีหน้าคับข้องใจว่า
“ในเมื่อไม่ได้เป็นคนโง่ ถ้าเช่นนั้นป้ามู่ย่อมรู้อยู่แก่ใจ ท่านแม่ไม่เห็นหรือ ป้ามู่ช่างคุ้นเคยกับพระราชวังมาก ชื่อตำแหน่งขุนนางที่สับสนวุ่นวายนั่น ไม่ว่าขันทีกุมตราลัญจกรเอย ขันทีควบคุมพิธีการเอย ล้วนพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ถ้าข้าเดาไม่ผิดละก็ ถ้านางไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์ ก็จะต้องเป็นนางสนมในวังหลัง”
“จริงหรือ?” อาสะใภ้อ้าปากค้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
“หากนางเป็นนางสนมในวังหลัง หรือเป็นสมาชิกราชวงศ์ นางจะมาบ้านพวกเราด้วยเหตุอันใด เด็กโง่อย่างเจ้าก็ดีแต่คิดอะไรเหลวไหล”
เด็กโง่สวี่หลิงเยวี่ยถอนหายใจ หมดความสนใจที่จะพูดคุยกับแม่ จึงใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง เหม่อมองต้นไผ่ขนาดจิ๋ว
อาสะใภ้พูดว่า
“แม่จะไปดูที่ตำหนักเฟิ่งชีเสียหน่อย จะปล่อยให้ป้ามู่ของเจ้าล่วงเกินไทเฮาไม่ได้ ตอนนี้แม่รู้แล้วว่าที่แท้ไทเฮาก็ไม่กล้าล่วงเกินแม่เช่นกัน”
พูดพลาง มองใบหน้าที่เรียบร้อยงดงามของลูกสาว ดวงตาทั้งโตทั้งสดใส ใบหน้ามีมิติ ปากอวบอิ่ม ผิวขาวนุ่ม รูปร่างหน้าตาดีขึ้นเรื่อยๆ
“รอจนอากาศอบอุ่นขึ้น แม่จะเลือกสามีที่สมใจให้กับเจ้า เจ้าควรจะแต่งงานได้แล้ว” นางพูดว่า
“ไอ้หยา ท่านแม่รีบไปเถิด พี่สาวคนสนิทของท่านใกล้จะถูกไทเฮาทรงสังหารแล้ว” สวี่หลิงเยวี่ยพูดด้วยความร้อนใจ
“ช่วยแม่นำต้นไผ่ไปไว้ในแปลงเพาะปลูกด้วย ให้มันตากแดดเสียหน่อย” อาสะใภ้ก้าวเท้าเร็วด้วยความร้อนใจ ชายกระโปรงปลิวออกจากบ้านไป
สวี่หลิงเยวี่ยเท้าคาง หรี่ตาที่ฉลาดเฉียบแหลม
เมื่อได้ยินเรื่องการแต่งงานระหว่างพี่ใหญ่และองค์หญิงหลินอันแล้วมีปฏิกิริยาที่รุนแรงขนาดนี้ ไม่ว่าป้ามู่ท่านนี้จะเป็นพระสนมในวังหลัง หรือสมาชิกราชวงศ์ แต่จะต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับพี่ใหญ่อย่างแน่นอน
“อีกคนหนึ่งแล้ว…”
สวี่หลิงเยวี่ยถอนหายใจ ดวงตาที่มีชีวิตชีวา มองไปที่ต้นไผ่ขนาดจิ๋วที่อยู่ข้างหน้า
นางโบกแขนเสื้อเบาๆ สายลมเย็นลากกระถางต้นไม้ ลอยไปไกลสิบกว่าเมตรอย่างมั่นคง ตกลงในแปลงเพาะปลูก
พูดไปแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้นางได้เรียนรู้การควบคุมสิ่งของ แต่นางไม่รู้ว่าความสามารถนี้อยู่ในระดับใด นางไม่ได้ไปอารามรัตนะเป็นเวลานานแล้วจริงๆ ทุกอย่างนางเดาเอาเองตามพลังภายในของนิกายมนุษย์
ขั้นเจ็ดลัทธิเต๋าค่อยๆ สังเวยปราณ!
…
พระราชวังมีขนาดใหญ่มาก ใหญ่จนอาสะใภ้เดินจนหอบแฮกๆ เดินจนเหงื่อออกท่วมตัว จึงถึงตำหนักเฟิ่งชี
นางเข้าไปในวังหลังอย่างง่ายดาย โดยไม่มีใครขัดขวาง ประการแรกด้วยฐานะของนางในที่นี้ คนในวังหลังใครจะกล้าล่วงเกิน?
ประการที่สองวังหลังเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับผู้ชาย แต่กลับไม่ใช่ที่ของผู้หญิง
ประการที่สาม นับตั้งแต่จักรพรรดินีเสด็จขึ้นครองราชย์ วังหลังก็ไม่มีความสำคัญเหมือนก่อนอีกแล้ว
แม้ว่าจะยังคงไม่อนุญาตให้ผู้ชายเข้ามา แต่ที่นี่ก็ได้กลายเป็นสถานสงเคราะห์คนชราของบรรดาไท่เฟยไปแล้ว
ตอนที่เพิ่งมาถึงประตูตำหนักเฟิ่งชี อาสะใภ้เห็นมู่หนานจือเดินเท้าเอวออกมา ดูองอาจ ผึ่งผาย ทรงพลัง ท่าทางเหมือนแม่ไก่ที่รบชนะ
“หลิงเยว่บอกว่าเจ้ามาที่ตำหนักเฟิ่งชี”
อาสะใภ้เดินไปหา พูดอย่างเป็นกันเอง
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”
“จะเกิดอะไรขึ้นได้รึ? ข้ามาที่นี่ ก็เหมือนกลับบ้าน เมื่อก่อนซ่างกวนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ตอนนี้ก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” มู่หนานจือพึมพำเบาๆ
นางมาเข้าเฝ้าไทเฮาเพื่อขอให้ถอนหมั้น แต่ไทเฮาทรงไม่เห็นด้วย คนหนึ่งคือเทพดอกไม้ที่ยโสโอหัง มีความมั่นใจอย่างไม่มีใครเทียบได้ อีกคนหนึ่งคือไทเฮาผู้ทรงไม่มีกิเลสและมีความยุติธรรม และไม่ยอมฟังใครทั้งนั้น ดังนั้นจึงมีปากเสียงกัน ต่างคนต่างพูดจามีเลศนัย เยาะเย้ยถากถางกันไปมา
สุดท้ายมู่หนานจือเป็นฝ่ายชนะ
เทพดอกไม้ต่อสู้กับผู้หญิงไม่เคยแพ้มาก่อน ทันทีที่ปลดสร้อยข้อมือออก แล้วรองไว้ที่เท้าก็สามารถบีบบังคับให้ผู้หญิงทั้งโลกยอมแพ้ได้ ประกอบกับคำหยาบที่ได้เรียนรู้ระหว่างท่องยุทธภพ ก็สามารถทำให้ไทเฮาทรงพิโรธได้ไม่น้อย
หลังจากที่มู่หนานจือพูดจบ ก็รู้ตัวทันทีว่าตัวเองดีใจจนลืมตัว เผลอพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป จึงรีบมองไปทางอาสะใภ้
อาสะใภ้ถอนหายใจโล่งอก
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ถ้าเช่นนั้นก็ดี ซ่างกวนคือใครกัน?”
นางดูไม่ออกเลยหรือ…มู่หนานจือสบายใจแล้ว ในใจเกิดความรู้สึกเสียดายที่รู้จักกันช้าไป รู้สึกว่าอาสะใภ้เป็นเพื่อนที่สามารถมอบความจริงใจให้ได้
“ไม่มีอะไร พวกเรากลับกันเถิด” มู่หนานจือดึงตัวอาสะใภ้ เดินทางกลับ
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางค่อยๆ จางหายไป สีหน้ากลัดกลุ้ม
ถึงแม้จะเถียงชนะแล้ว แต่กลับไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ไทเฮาทรงไม่เห็นด้วยกับการถอนหมั้น แน่นอนว่านางก็รู้ว่าด้วยฐานะและอำนาจของตัวเองนั้นควบคุมการตัดสินใจของไทเฮาไม่ได้
‘รอสวี่หนิงเยี่ยนกลับมาแล้วค่อยว่ากัน…’ เทพดอกไม้ตัดสินใจในใจ ขณะที่เพิ่งเดินออกไปได้ไม่นาน ก็สวนกับฮว๋ายชิ่งซึ่งทรงชุดลำลองของจักรพรรดิ ประทับเกี้ยวขนาดใหญ่ตรงมาอย่างช้าๆ
“ฝ่าบาท”
อาสะใภ้ผู้หญิงที่รู้จักขนบธรรมเนียมเป็นอย่างดีรีบทำความเคารพ
ฮว๋ายชิ่งพยักพระพักตร์ด้วยสีหน้าอ่อนโยน ส่งเสียง ‘อืม’ จากนั้น ก็ทรงทอดพระเนตรไปที่เทพดอกไม้อย่างเย็นชา
ฝ่ายหลังมองพระองค์ด้วยสายตาเหยียดหยามคืนไป
ทั้งสองฝ่ายเฉียดกายผ่านไป ฮว๋ายชิ่งทรงประทับเกี้ยวเข้าไปในตำหนักเฟิ่งชี แล้วเสด็จลงจากเกี้ยว โดยมีนางกำนัลคอยประคอง ไม่จำเป็นต้องให้ขันทีแจ้งให้ทรงทราบ ก็ทรงพระดำเนินเข้าไปในห้อง ทรงเห็นไทเฮาประทับอยู่ที่โต๊ะสีพระพักตร์เขียว ท่าทางยังทรงพิโรธไม่หาย
“เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น? นางตายที่ชายแดนตอนเหนือแล้วไม่ใช่หรือ?”
เมื่อเห็นพระธิดามาถึง ไทเฮาก็ทรงตรัสถามเสียงดัง
“เสด็จแม่ทรงเสวยถังดินปืนเข้าไปหรือเพคะ?”
ฮว๋ายชิ่งทรงรู้อยู่แก่ใจ แต่กลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทรงรับสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า
“นางไม่ได้ตายที่ชายแดนตอนเหนือ แต่ตามสวี่ชีอันกลับมาเมืองหลวง และกลายเป็นภรรยาลับของสวี่ชีอัน”
จักรพรรดินีทรงอธิบายคร่าวๆ เป็นการสรุปเรื่องราวของเทพดอกไม้
แม้ว่าไทเฮาจะทรงคาดเดาไว้นานแล้ว แต่หลังจากทรงฟังพระธิดายืนยันแล้ว ก็ยังทรงรู้สึกเหลวไหล ไม่อยากจะเชื่อ
มู่หนานจืออายุน้อยกว่าพระองค์มาก แต่ก็อายุมากกว่าสวี่ชีอันสิบเจ็ดสิบแปดปี เขายังรับนางเป็นภรรยาลับเลี้ยงดูไว้ข้างนอก ในใจยังมีหิริโอตตัปปะอยู่หรือไม่?
อีกสาเหตุหนึ่งที่ไทเฮาทรงรู้สึกขัดใจก็คือ มู่หนานจือนั้นเคยเป็นสนมในวังหลังของหยวนจิ่ง เป็นคนรุ่นเดียวกับพระองค์ แต่สวี่ชีอันในสายพระเนตรของไทเฮานั้น เป็นรุ่นลูก
นี่คือสิ่งที่ทำให้ยอมรับไม่ได้
“ดังนั้น เสด็จแม่ทรงถอนหมั้นนั้นย่อมถูกต้องแล้วเพคะ” ฮว๋ายชิ่งทรงเผยความในใจออกมา
“เหตุใดจึงต้องถอนหมั้น!” ไทเฮาทรงตรัสอย่างเย็นชา
“คนแซ่สวี่นั่นไม่มีจริยธรรม แต่ในเมื่อมีใจตรงกันกับหลินอัน ย่อมดีกว่ายกนางให้กับคนที่ไม่ได้รัก นอกจากนี้ ต้าฟ่งเวลานี้ ยังมีใครที่คู่ควรกับหลินอันมากกว่าเขาอีก”
พระพักตร์ของฮว๋ายชิ่งเคร่งขรึมเล็กน้อย พระสุรเสียงเย็นชา ทรงรับสั่งว่า
“คนที่ไม่รู้ คงคิดว่าหลินอันเป็นพระธิดาที่เสด็จแม่ทรงให้กำเนิดเอง”
พระสุรเสียงของไทเฮาก็เย็นชาเช่นกัน
“นางเป็นคนบริสุทธิ์ น่ารักกว่าเจ้า”
ยังมีเหตุผลที่ง่ายมาก นางหวังว่าจะได้แต่งงานกับคนที่ต่างฝ่ายต่างรักกัน แค่เพียงได้เฝ้ามอง นางก็พอใจแล้ว ราวกับเป็นการชดเชยความเสียใจในอดีต
ฮว๋ายชิ่งทอดพระเนตรพระองค์ พระพักตร์เรียบเฉย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง