บทที่ 783 เจ้าแพ้
Ink Stone_Fantasy
พลังรุนแรงอันกอปรขึ้นเป็นเกลียวน้ำวนทำให้สวี่ชีอันตระหนักชัดว่า ถ้าเขาหลุดเข้าไปอยู่ในนั้น คงต้องทนทุกข์ทรมานจากการที่ร่างกายถูกสะบั้นเป็นพันชิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น การจมอยู่ในห้วงน้ำปริมาณมหาศาลก็เท่ากับมอบชีวิตตัวเองให้ไป๋ตี้
วงแหวนเพลิงหลังศีรษะของเขาระเบิดดัง ‘ตูม’ ไม่มีลังเล ราวกับลูกปืนใหญ่ระเบิดส่องแสงวาบ
ทันทีที่พลังเทพวชิระถึงระดับบรรลุสมบูรณ์ มรรควิถีวงแหวนเพลิงก็จะก่อรูปขึ้นหลังศีรษะ แม้ว่าปกติจะปรากฏขึ้นหลังศีรษะและดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์นัก แต่ความจริงมันแข็งแกร่งดุจดวงตะวัน ที่อุทิศตนเพื่อมีชัยเหนือความหนาวเหน็บชั่วร้ายเฉกเช่นวรยุทธ์ระบบน้ำ
‘ซู่ ซู่!’
“หนวด” ที่พันรอบข้อเท้าเขาระเหยหายกลายเป็นหมอก ในเวลานี้ เกลียวน้ำวนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วและไม่ยินยอมให้เขาใช้วิชากระโดดสู่เงาได้
แน่นอนว่าสวี่ชีอันถอยหลังกลับโดยใช้ความได้เปรียบที่เขาเร็วกว่าเกลียวน้ำวนเพื่อสร้างระยะทาง ขณะเดียวกัน เขายังกำดาบสยบดินแดนไว้แน่น สลายพลังปราณทั้งหมด สะกดอารมณ์ทั้งปวง…ฟาดดาบไปด้านหลังอย่างดุเดือด
ลางสังหรณ์บอกวิกฤตของจอมยุทธ์ส่งสัญญาณเตือน ภาพหนึ่งก่อตัวขึ้น…ไป๋ตี้ปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเขา ง้างเขี้ยวและกัด
ลำแสงกระบี่สีเหลืองจ้าฟาดฟันศัตรูที่อยู่ข้างหลังเขาด้วยพลังทำลายล้าง ทำให้มันพังทลายลงมาเป็นห่าฝน
ไม่ใช่ มันอัดแน่นไปด้วยน้ำฝน
ของปลอมรึ? สวี่ชีอันเขม้นตามองเล็กน้อย
ในวินาทีต่อมา เขาก็ถูกเกลียวน้ำวนกลืนกิน
ไป๋ตี้เปล่งเสียง “เหอะ” นี่เป็นวรยุทธ์ระดับสูงยิ่งในหมู่อิทธิฤทธิ์โดยกำเนิดของมัน มันสามารถจำลองร่างที่มีกลิ่นอายดุจเดียวกับร่างอวตารเข้าร่วมการต่อสู้ได้
‘ข้าไม่เคยใช้มันมาก่อนเนื่องจากถูกจำกัดจากสภาพแวดล้อม ที่แม้จะสกัดจิตวารีจากอากาศได้ แต่ไม่อาจซ่อนเจ้าสิ่งนี้จากสวี่ชีอัน’
แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ฝนกำลังเทลงมา จิตวารีกำลังไหลหลากสู่โลกใบนี้ โลกที่เป็นถิ่นของมัน
เกลียวน้ำวนพุ่งหมุนติ้ว ร่างของสวี่ชีอันค่อยๆ สลายไปทีละนิ้ว ราวกับก้อนน้ำแข็งถูกโยนลงในน้ำเดือด เลือดและเนื้อหลุดลอกอย่างรวดเร็ว หลายแห่งเปิดลึกถึงกระดูก
เจดีย์พุทธะเองก็หลุดเข้าไปด้วยเหมือนกัน เมื่อเกลียวพายุน้ำหมุนวน จิตเจดีย์พลันสาดแสงสีทองปรารถนาจะพุ่งเข้าไป แต่ถูกจิตวารีสกัดกั้นไว้
ดาบสยบดินแดนพุ่งไปตามทิศทางเกลียวน้ำวน พยายามทำลายวรยุทธ์ของไป๋ตี้ด้วยกำลังของมันเอง
ร่างกายสวี่ชีอันบางครั้งบางครากลายเป็นเงา บางครั้งบางคราวกลับคืนสู่รูปร่างเดิม ทำให้ยากที่จะใช้วิชากระโดดสู่เงาหลบหนี
เขาถูกขังอยู่ในขอบเขตวรยุทธ์ของไป๋ตี้ แต่ทว่าอั้นกู่ตนนั้นยังไปไม่ถึงสภาวะบรรลุธรรม หลักฐานที่ยากจะเข้าใจคือเขาไม่ได้ถูกสกัดด้วยวรยุทธ์ระดับสูง
อาซูหลัวกับคนอื่นๆ ตกตะลึง เดิมทีพวกเขาเดินอยู่บนขอบผาต้องไม่ไปซ้ายหรือขวาเพื่อรักษาสมดุลสองด้านอย่างระมัดระวัง
แต่ทว่าเคราะห์อัสนีวารีได้สร้างถิ่นที่เป็นประโยชน์กับไป๋ตี้ ทำให้สมดุลที่พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างขึ้นมาต้องเสียไป
‘ซี่ ซี่…’
เขาของไป๋ตี้ระเบิดรัศมีแสงเป็นวงโค้ง ตรงกลางหว่างเขาทั้งสองข้างบังเกิดสายฟ้าทรงกลมขึ้นฉับพลัน
จ้าวโส่วทำหน้าตาถมึงทึงเล็กน้อย เขาสะบัดมงกุฎขงจื๊อ จ้องมองไป๋ตี้และพูดเสียงหนักแน่น
“ถอยหลังไปสามร้อยจั้ง!”
อากาศรอบตัวไป๋ตี้บิดเบี้ยว ราวกับว่ามันกำลังแลกเปลี่ยนช่องว่างกับสถานที่แห่งอื่น
แต่ในช่วงเวลาต่อมา ช่องว่างที่บิดเบี้ยวก็เริ่มเรียบและอยู่นิ่ง
ไป๋ตี้ยังคงอยู่ตรงนั้น
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ใช้สองมือสร้างตราประทับ ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่อยู่ข้างหลังเขาเคลื่อนไหวสอดคล้องกัน ปิดกั้นพื้นที่รอบตัวไป๋ตี้
‘ซี่ ซี่ ซี่!’
ไป๋ตี้ชะโงกหัวไปข้างหน้าอย่างรุนแรง บังเกิดฟ้าร้องฟ้าแลบหนักหน่วง จนรอบบริเวณสว่างไสวทั่วกัน
สายฟ้าขนาดใหญ่ที่ไม่ด้อยกว่าเคราะห์สวรรค์ชนเข้ากับเกลียวน้ำวน ทำให้กระแสน้ำขุ่นคลั่กที่ห่อหุ้มดินโคลนอยู่สว่างขึ้นทันที ส่องให้เห็นเงาของสวี่ชีอัน ดาบสยบดินแดนและเจดีย์พุทธะสะท้อนออกมา
เห็นแต่รอยไหม้เกรียมปกคลุมไปทั่วพื้นผิวของอาวุธเวทมนตร์ทั้งสองชิ้นทันที แสงสว่างค่อยๆ สลัวลงเรื่อยๆ แม้พวกมันจะไม่ได้กรีดร้องแต่กลิ่นอายที่หดหายไปอย่างรวดเร็วบอกได้ว่าสภาพของพวกมันย่ำแย่เพียงใด
จู่ๆ ร่างกายของสวี่ชีอันก็แข็งทื่อ จากนั้นก็กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว เลือดและเนื้อผุกร่อนลงไปเรื่อยๆ ยากที่จะต้านทานการถูกเกลียวน้ำวน ‘เชือดเฉือน’
ไกลออกไป สวี่ผิงเฟิงมิได้พูดอะไรออกมาสักคำ หากหุ่นเชิดมีตา ดวงตาของมันต้องเปล่งประกายด้วยความปีติยินดีระคนเย็นชา… ‘ค่อยยังชั่ว’
ข้อบกพร่องและความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในแผนชีวิตของสวี่ผิงเฟิงคือบุตรชายคนโต สวี่ชีอัน
การเติบโตของเขาออกจะน่ากลัวไม่น้อย จากคดีภาษีจนถึงปัจจุบันใช้เวลาเพียงสองปีเท่านั้น ในสองปีมานี้สวี่ชีอันมือปราบอำเภอฉางเล่อเลื่อนอันดับจากจอมยุทธ์ขั้นเก้าสู่ทหารขั้นสองผู้ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งในโลก
ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากชะตาบ้านเมืองเพิ่มโชคลาภและสร้างโอกาสพิเศษต่างๆ ให้เกิดขึ้น
ข้อบกพร่องของสวี่ผิงเฟิงคือตลอดหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครรวมชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งไว้ในคนคนเดียว ดังนั้นแม้แต่สวี่ผิงเฟิงก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะนำไปสู่ ‘ผลที่ตามมา’ เช่นไร
ในระบบวิชาโหร แม้ว่าโหรขั้นหนึ่งจะอายุเท่าประเทศ แต่ก็แตกต่างจากสวี่ชีอันที่แบกรับชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งไว้
แบบแรก ‘แบ่งปันชีวิตและความตาย’ กับชะตาบ้านเมืองและเป็นของรัฐที่เสมอภาคกัน ในขณะที่แบบหลังหลอมรวมเอาชะตาบ้านเมืองเข้าไว้ในร่างกายโดยตรงและแปรมาเป็นของตัวเอง
สวี่ผิงเฟิงไม่สนใจว่าสวี่ชีอันจะทำอะไรก่อนที่เขาจะก้าวมาเป็นเหนือมนุษย์ ตอนที่เขาก้าวเข้าสู่ระดับขั้นสามและสังหารเจิ้นเต๋อ แม้สวี่ผิงเฟิงจะประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่รู้สึกสนใจ
จนกระทั่งถึงสมรภูมิเจี้ยนโจว เขาก็คิดใหม่และนับบุตรชายคนโตว่าเป็นบุคคลอันตราย
แต่ตอนนั้น สวี่ผิงเฟิงก็ยังดูถูกเขาและไม่คิดว่าบุตรชายคนโตจะมีตัวตนทัดเทียมเขา
ความจริงก็คือ หลังจากท่านโหราจารย์ถูกผนึก ความพ่ายแพ้ของต้าฟ่งก็เกือบจะเป็นเรื่องแน่นอน
พายุเช่นใดกันที่สามารถปั่นป่วนเขาทั้งที่มีฐานะเป็นแค่จอมยุทธ์ขั้นสาม?
ความคิดนี้ยังคงอยู่จนกระทั่งถึงการต่อสู้เหนือมนุษย์นอกเมืองสวินโจว เพียง ‘ชั่วข้ามคืน’ สวี่ชีอันก็หลุดพ้นจากพันธนาการและเลื่อนอันดับเป็นขั้นสอง นำอาซูหลัว จินเหลียนนิกายปฐพีและพันธมิตรคนอื่นๆ มาประท้วงต่อต้านเขา
เขากลายเป็นอันดับหนึ่งในต้าฟ่งอย่างคลุมเครือและกลายเป็นนักวางหมากในสงครามแห่งที่ราบลุ่มภาคกลาง
สวี่ผิงเฟิงต้องยอมรับว่าบุตรชายคนโตของเขากลายเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการยึดที่ราบลุ่มภาคกลางและการเลื่อนอันดับเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้า
กลายเป็นอันดับสูงสุดที่สามารถแข่งขันบนเวทีเดียวกันกับเขาได้
ในเวลานี้ ลั่วอวี้เหิงส่งเสียงคำรามยาวเหยียด แล้วร่างดินที่เพิ่งหลุดพ้นจากบ่วงกรรมก็พุ่งออกจากกายเนื้อของนาง กระแทกตัวเข้าไปในเกลียวน้ำวนเหมือนฆ่าตัวตาย ทำให้เกลียวน้ำวนนั้นกลายเป็นน้ำแข็ง
ดินข่มน้ำ!
หลังจากนั้นทันที ร่างวายุได้ลากกระบี่เทพออกไป เจาะเข้าไปในเกลียวน้ำวนที่หยุดนิ่งและแทงทะลุท้องส่วนล่างของสวี่ชีอัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง