ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 786

บทที่ 786 บุกเมือง

Ink Stone_Fantasy

หากมองเพียงผิวเผินจะเห็นว่าเว่ยเยวียนให้สิทธิ์เขาในการเลือกหนึ่งในสองตัวเลือกนี้ แต่ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องเลือกด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่สามารถกลับไปที่เมืองเฉียนหลงอย่างแน่นอน

กระแสความคิดของสวี่ผิงเฟิงมีความชัดเจนมาก เมื่อเทียบกับหน่วยทหารติดอาวุธครบมือของอวิ๋นโจวแล้ว เมืองเฉียนหลงจะดับสูญก็ช่างปะไร ถึงแม้จะเสียดายแต่หน่วยทหารติดอาวุธครบมือสำคัญที่สุด

หลังจากตัดสินใจเลือกที่จะละทิ้งเมืองเฉียนหลงแล้ว ที่เบื้องหน้าเขาก็มีทางเดินทั้งหมดสองเส้น เส้นแรก คุ้มกันกองทัพอวิ๋นโจวถอยกลับไปที่ยงโจวหรือไม่ก็ชิงโจว เปลี่ยนจากฝ่ายรุกเป็นฝ่ายตั้งรับ ปล่อยให้ต้าฟ่งบุกมาโจมตีโดยมีกองทัพอวิ๋นโจวคอยปกป้องเมือง

ข้อดีของกลยุทธ์ข้อนี้คือ มีความเป็นไปได้สูงที่ต้าฟ่งซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักในตอนนี้จะไม่มีกองกำลังทหารพอที่จะมายึดยงโจวและชิงโจว พวกเขาจำต้องเลือกที่จะพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายและเริ่มสงครามอีกครั้งหลังฤดูเก็บเกี่ยว

แต่ในด้านการสู้รบของเหนือมนุษย์ อวิ๋นโจวย่อมตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากและต้องพ่ายแพ้ให้กับต้าฟ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

นอกจากนี้ เจียหลัวซู่และไป๋ตี้ที่อยู่ชายแดนตอนเหนือในตอนนี้จะเอาชีวิตรอดจากการปิดล้อมของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์แห่งต้าฟ่งได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจทราบได้

หากเจียหลัวซู่และไป๋ตี้พ่ายแพ้และถูกฆ่าตายในเวลานี้ เช่นนั้นการถอยกลับไปตั้งรับที่ชิงโจวก็เป็นเพียงการรอความตายเท่านั้น

เส้นที่สอง บุกเข้ายึดเมืองหลวงโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด สนับสนุนให้จีเสวียนประกาศตัวเป็นจักรพรรดิ เขาจะได้ถือโอกาสบังคับให้จู่โจมปรมาจารย์ลิขิตฟ้า

ตอนนี้เขาขัดเกลาโชคชะตาของอวิ๋นโจว ชิงโจวและยงโจวแล้ว โชคชะตาของทั้งสามเมืองไม่มีทางกลายเป็นปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้

หากเพิ่มต้าฟ่งเข้าไป ยึดครองเมืองหลวง สังหารจักรพรรดินี หลังจากสนับสนุนให้จีเสวียนขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็จะมีโอกาสในการโจมตีปรมาจารย์ลิขิตฟ้า

หากปรมาจารย์ลิขิตฟ้าที่ขัดเกลาที่ราบกลางทั้งหมดถือเป็นจุดสุดยอดของขั้นหนึ่ง เช่นนั้นการที่ตนเองบังคับให้โจมตีปรมาจารย์ลิขิตฟ้าก็อาจจะเป็นช่วงเริ่มต้น

ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องเลือก เขาทำได้เพียงต่อสู้จนถึงที่สุด ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว

ท่ามกลางเสียงกลอง สวี่ผิงเฟิงประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันและดึงธงขนาดเล็กเท่าฝ่ามือออกมาอย่างรุนแรง ธงมีหลากสีสันมาก เช่น สีดำ สีขาว สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง

ค่ายกลรูปแบบแตกต่างกันถูกวาดอยู่ในธงขนาดเล็กเหล่านี้ ซึ่งธงแต่ละผืนก็เป็นสัญลักษณ์ของค่ายกลป้องกันช่องโหว่ของแต่ละสถานที่

‘จึก จึก…’

ธงขนาดเล็กสองผืนพุ่งออกไป ส่วนหางของธงมีความแหลมคมมากจนกระทั่งฝังลงในกำแพงได้อย่างง่ายดาย

‘แครก!’ ส่วนของกำแพงที่ได้รับผลกระทบเกิดรอยแตกร้าว และรอยแตกเหล่านั้นก็กระจายออกไปราวกับใยแมงมุม

ค่ายกลป้องกันที่ปกคลุมอยู่บนกำแพงเมืองอ่อนกำลังลงในทันที

‘หึ่ง!’

ปราณดาบอันยิ่งใหญ่มหาศาลพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศออกมาจากพื้นที่ด้านข้างสวี่ผิงเฟิง ตัดเขาออกเป็นสองท่อนด้วยความเร็วดุจสายฟ้า

ร่างในชุดขาวดุจฝันมายาฟองสบู่ปรากฏตัวห่างออกไปกว่าสิบลี้และเหวี่ยงธงอีกสองผืนออกไปอีกครั้ง

‘จึก จึก!’

ธงผืนเล็กฝังเข้าไปในกำแพงอิฐ ทำให้เกิดรอยร้าวบนกำแพง ลามไปทำลายค่ายกลในบริเวณใกล้ๆ กัน

จิตดาบแห่งการทำลายล้างไล่ตามพ่อมดชุดขาวที่ส่งตัวได้ตามต้องการไม่ทัน กลยุทธ์จึงถูกปรับเปลี่ยนในทันที มุ่งตรงไปยังกองทัพอวิ๋นโจวที่มีจำนวนแน่นขนัดแทน

“ฮึ่ม!”

สวี่ผิงเฟิงพ่นลมหายใจอย่างเยือกเย็น

โค่วหยางโจวรังแกกองทัพอวิ๋นโจวที่ไม่มีค่ายกลป้องกัน ในสถานการณ์ปกติ ผู้แข็งแกร่งระดับเหนือมนุษย์จะค่อนข้างยับยั้งชั่งใจและไม่ค่อยลงมือกับพลทหารทั่วไป เพราะวิธีการที่ทำให้บอบช้ำทั้งสองฝ่ายไม่เป็นประโยชน์ต่อใครทั้งสิ้น

เว้นแต่จะเดินมาถึงทางตัน ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการจบเกม ถึงจะลงมือสังหารพลทหารทั่วไปโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด

ยังไม่ถึงฉากจบสุดท้าย ทุกคนล้วนคิดว่าตนเองสามารถชนะได้ จึงไม่อยากใช้วิธีการที่ทำให้บอบช้ำทั้งสองฝ่ายเช่นนี้

แต่ตอนนี้เมืองหลวงมีค่ายกลป้องกันคอยปกป้องเมืองอยู่ ตราบใดที่ค่ายกลไม่ถูกทำลาย มันก็ยังคงเป็นถิ่นที่อยู่ยงคงกระพัน แต่ในทางกลับกัน กองทัพอวิ๋นโจวจะไม่เหลืออะไรโดยสิ้นเชิง

สิ่งนี้ทำให้โค่วหยางโจวยังไม่ถึงกับเข้าตาจน แต่กลับมีความมั่นใจที่จะใช้กลยุทธ์ ‘บอบช้ำทั้งสองฝ่าย’

สวี่ผิงเฟิงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะล้มเลิกการทำลายค่ายกลและส่งขบวนทหารอวิ๋นโจวกลับไป เขายืนขวางอยู่เบื้องหน้าปราณดาบ แบมือข้างหนึ่งออกและหันฝ่ามือออกไปด้านนอก สนับสนุนค่ายกลป้องกันอันมืดครึ้มเอาไว้ เมื่อปราณดาบตัดค่ายกลอย่างแรง เขาก็ยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมาสัมผัสเบาๆ

ปราณดาบที่น่าสะพรึงกลัวบิดเบี้ยวอยู่ในชั้นบรรยากาศและค่อยๆ ดับสูญลงราวกับมันไร้ซึ่งการสนับสนุนแล้ว

ช่วงเวลาเมื่อครู่ที่สวี่ผิงเฟิงปิดกั้น ‘ปราณดาบ’ ทำให้โค่วหยางโจวหลงลืมไปครู่หนึ่งว่าตนเองได้ใช้จิตดาบไป และปราณดาบก็ไม่มีแก่นสารใดๆ มันเป็นการรวมตัวกันของเจ้าของและเจตนารมณ์ เมื่อโค่วหยางโจวลืมมันไปก็ย่อมหมดหนทางที่จะรักษาให้คงอยู่

ภายใต้ผู้ชมจำนวนมาก เมื่อเริ่มใช้วิชาอำพรางความลับสวรรค์ก็ไม่เกิดผลในทันที แต่ช่วงเวลาของการปิดกั้นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเล็งไปยังเจตนาดาบที่ไม่มีแก่นสาร

หลังจากกำจัดเจตนาดาบของจอมยุทธ์ขั้นสองแล้ว สวี่ผิงเฟิงก็กรีดกรายนิ้วออกมาทีละนิ้วอย่างต่อเนื่อง ปล่อยธงขนาดเล็กออกไปจนกระทั่งหายไปทีละผืน ในวินาทีต่อมา พวกมันก็ปรากฏอยู่ที่กำแพง ฝังเข้าไปในกำแพงและทำลายค่ายกลในพื้นที่ที่มีความเกี่ยวข้องกัน

เขาเล่นกลวิชาส่งตัวได้ยอดเยี่ยมมาก

จอมยุทธ์หยาบคายที่รู้แต่เพียงการใช้กำลังทำลายล้างจะหยุดยั้งการทำลายค่ายกลของเขาได้อย่างไร

‘ตูม!’ ค่ายกลที่ปกคลุมเมืองหลวงสิ้นฤทธิ์และพังทลายลง

ร่างของสวี่ผิงเฟิงปรากฏอยู่บนชั้นบรรยากาศ ประสานนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เข้าด้วยกันเพื่อรวมกำแพงเมืองด้านล่างเข้าด้วยกัน

ค่ายกลวงกลมเพลิงสิบสองวงซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ พลังจิตอัคคีหลอมรวมกันอย่างบ้าคลั่ง

‘หึ่ง!’

คลื่นอากาศสั่นสะเทือน เสาอัคคีที่พร่างพราวจนแสบตาตกลงมาจากท้องฟ้าราวกับกำลังแผดเผาพลทหารของต้าฟ่งที่กำแพงเมืองจนกลายเป็นเถ้าถ่าน

ซุนเสวียนจีใช้สองมือชูค่ายกลวงกลมที่มืดครึ้มสิบสองวงไปบนท้องฟ้า จากนั้นกำแพงเมืองด้านล่างก็เรียบเป็นหน้ากลองอย่างรวดเร็ว ผืนดินพุ่งขึ้นไปปะทะบนท้องฟ้า พอดีกับที่เสาอัคคีกระแทกเข้ากับมันอย่างแรง

ดินข่มไฟ!

ลูกศิษย์อันดับสองและลูกศิษย์อันดับสามของสำนักโหราจารย์เป็นผู้นำในการต้านคลื่นครั้งนี้

‘ตุง ตุง ตุง!’

เสียงตีกลองเรียกสติ กองทัพอวิ๋นโจวยกอาวุธในการบุกเมืองขึ้นมาและเริ่มพุ่งเข้าไปประชิดกำแพงเมือง จู่ๆ จิตสังหารก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงระเบิดดังก้องในหู พลทหารที่วิ่งอย่างบ้าคลั่งยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างของพวกเขาก็ถูกระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับท้องฟ้าที่หมุนอย่างปั่นป่วน

พลทหารที่อยู่ด้านข้างโชคดีที่รอดชีวิตมาได้แต่ก็ยังถูกฟอสฟอรัสขาวจากแรงระเบิดที่ด้านล่างกระเด็นขึ้นมาเปื้อน ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ลุกโชน จะดับอย่างไรก็ดับไม่ลงจนกระทั่งถูกมันเผาทั้งเป็นกลายเป็นซากโครงกระดูก

กับระเบิดของซ่งชิงสร้างความเจ็บปวดให้กับพลทหารที่บุกเมืองอย่างโหดเหี้ยม

อวิ๋นโจว เมืองเฉียนหลง

เสื้อเกราะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด หนานกงเชี่ยนโหรวถือกระบี่ยืนอยู่บนยอดเขาและมองลงมายังเมืองที่คุกรุ่นไปด้วยควันระเบิด เขาที่มีความอ่อนโยนเป็นอุปนิสัยประจำตัว น้อยครั้งมากที่จะมีความกล้าหาญเพิ่มขึ้นมาเช่นนี้

ทุกที่เต็มไปด้วยเงาร่างที่กำลังหนีกระเจิดกระเจิง เหล่าประชาชนพากันกรีดร้องและกุมศีรษะวิ่งพล่านราวกับหนู ทั้งๆ ที่เมื่อวานพวกเขายังฝันหวานว่าจะได้เป็นคนชั้นสูงในเมืองหลวง

วันนี้กลับถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ตายอย่างอนาถด้วยคมมีดของศัตรู

พลทหารห้าพันนายในเมืองเฉียนหลงภายใต้การนำทัพของยอดฝีมือในเมือง หลังจากผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดกว่าครึ่งชั่วยามก็เริ่มต้านทานไม่ได้ จนเปลี่ยนไปต่อสู้บนท้องถนน

ถึงเวลานี้ กองกำลังหลักถูกกวาดล้างโดยทหารเกราะเหล็กของต้าฟ่งแล้ว เหลือเพียงไม่กี่หน่วยที่กำลังดิ้นรนเฮือกสุดท้าย

ด้านหลังหนานกงเชี่ยนโหรวเป็นศพที่นอนอยู่ในแนวราบ แต่งกายสีสันสดใส พวกเขาคือสายเลือดของราชวงศ์เมื่อห้าร้อยปีก่อน หลังจากสืบทอดต่อกันมาห้าร้อยปี สมาชิกของสายเลือดนี้ก็มีจำนวนมากขึ้น ในพระราชวังบนยอดเขามีสมาชิกตระกูลจีอยู่หลายร้อยคน

เขาไม่มีเจตนาที่จะไว้ชีวิตอยู่แล้ว จึงออกคำสั่งให้สังหาร

นี่คือศักดิ์ศรีที่หนานกงเชี่ยนโหรวเหลือไว้ให้ราชวงศ์ มิเช่นนั้น อย่าว่าแต่พวกผู้ชาย กระทั่งเชื้อพระวงศ์ที่อ่อนแอเหล่านี้ก็จะต้องมีจุดจบโดยการเป็นของเล่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เหล่าพลทหารรักษาการณ์อยู่ในค่ายทหารร้างมาห้าเดือน พวกเขาทั้งหิวและกระหายน้ำเป็นอย่างมาก หากเห็นแม่หมูสักตัว ดวงตาก็คงเปล่งประกายระยิบระยับ

เวลานี้เอง นายพลท่านหนึ่งในชุดเกราะเปื้อนเลือดก็เดินออกจากลานบ้าน มาที่ด้านหลังหนานกงเชี่ยนโหรว กอบกำปั้นขึ้นคารวะพลางกล่าวว่า “ฆ้องทองคำหนานกง สหายพี่น้องพบผู้หญิงสองคนอยู่ที่ห้องใต้ดินขอรับ”

หนานกงเชี่ยนโหรวกล่าวเบาๆ ว่า “ฆ่าไปเสีย มาแจ้งข้าเพื่อเหตุใดกัน”

นายพลท่านนั้นแสดงสีหน้าแปลกประหลาดและกล่าวว่า “นาง นางอ้างว่านางเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของฆ้องเงินสวี่ขอรับ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หนานกงเชี่ยนโหรวก็เลิกคิ้วขึ้น เขารู้ประสบการณ์ในชีวิตของสวี่ชีอันมาจากหัวหน้าองครักษ์ของฮว๋ายชิ่งแล้ว

หลังจากที่สวี่ผิงเฟิงปรากฏตัวอย่างเป็นทางการ ขุนนางชั้นสูงในราชสำนักต่างก็จำบุคคลนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับสวี่ชีอันด้วย

เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับในหมู่ราชการระดับสูง แต่ด้วยความเข้าใจกันโดยปริยายของเหล่าขุนนาง พวกเขาจึงพร้อมใจกันปิดข่าวนี้และห้ามไม่ให้ใครเผยแพร่ความสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชีอันและสวี่ผิงเฟิง

แน่นอนว่าเหล่าขุนนางไม่ได้ต้องการปกปิดความอัปลักษณ์แทนตระกูลสวี่ เพียงแต่บารมีของสวี่ชีอันสำคัญต่อราชสำนักมากและทนไม่ได้หากต้องมีจุดด่างพร้อยใดๆ

ในฐานะที่หัวหน้าองครักษ์เป็นขุนนางคนสนิทของจักรพรรดิและยังอยู่ในตำแหน่งระดับสูง เขาได้บอกเล่าและแจกแจงเรื่องราวให้หนานกงเชี่ยนโหรวฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน

เมื่อหนานกงเชี่ยนโหรวรู้ตัวตนของสวี่ชีอันก็รู้สึกปลื้มปีติยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้ช่างน่าสงสารเสียจริง

“ฆ่าเสีย!”

เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา

บิดามารดาที่ต่ำทรามยิ่งกว่าหมูกว่าหมา เลี้ยงไว้จะมีประโยชน์อันใด

“ขอรับ!”

นายพลยกกำปั้นขึ้นมาคารวะ รับคำสั่งและถอยออกไป แต่เดินไปได้เพียงสองก้าว หนานกงเชี่ยนโหรวก็หยุดเขาอีกครั้งโดยการเปลี่ยนคำพูด “พานางมาที่นี่”

เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หนานกงเชี่ยนโหรวรู้สึกว่าไม่เป็นการดีที่จะทำเกินอำนาจของตน สู้พานางกลับไปให้สวี่ชีอันจัดการด้วยตัวเอง ยังจอาจะได้รับความดีความชอบอีกด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน พลทหารสองนายก็คุมตัวหญิงทั้งสองมาที่นี่ เขามองข้ามสาวใช้ไปโดยปริยาย มองไปยังหญิงวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์และบุคลิกอันยอดเยี่ยม ท่าทางของนางดูสงบ ไม่มีความตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวแต่อย่างใด

แน่นอนว่านางไม่ได้อ่อนแอเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป

“เจ้าคือมารดาผู้ให้กำเนิดของสวี่ชีอันอย่างนั้นรึ?” หนานกงเชี่ยนโหรวถามนางด้วยความเย็นชา

หญิงวัยกลางคนในชุดฮั่นฝูมองซ้ายมองขวาและถามว่า “ลูกชายข้าอยู่ที่ใด”

น้ำเสียงของนางนุ่มนวลและอ่อนโยนแต่ก็เผยให้เห็นถึงความหยิ่งยโสและสงบนิ่งของสตรี

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง