บทที่ 785 กลยุทธ์ลับ
Ink Stone_Fantasy
ขั้นหนึ่ง เขาเลื่อนขึ้นสู่ขั้นหนึ่งแล้วรึ?!
คำพูดของสวี่ชีอันเป็นเหมือนเสียงฟ้าร้องที่ระเบิดดังก้องอยู่ในหูของไป๋ตี้และเจียหลัวซู่
ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลายที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทั้งโกรธ ทั้งตกตะลึงและหงุดหงิดโมโห
หุ่นเชิดของสวี่ผิงเฟิงไร้ซึ่งอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้า ไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่มันเชิดคางขึ้นครึ่งหนึ่ง จ้องมองสวี่ชีอันกลางอากาศด้วยท่าทางแข็งทื่อและไม่เคลื่อนไหวอยู่เป็นเวลานาน
‘เขาเลื่อนสู่จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว’…ในขณะที่ไป๋ตี้กำลังจมสู่ความเหลือเชื่อ ในความรู้สึกราวกับเพ้อฝันซึ่งผ่านการรับรู้ที่แท้จริงของเขาก็ต้องยอมรับว่ากลิ่นอายของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ร่างกายที่ขาวบริสุทธิ์นั้นสูงโปร่งได้สัดส่วน ลายเส้นกล้ามเนื้อเรียบเนียนไร้รอยต่อ
ไป๋ตี้ไม่เคยเห็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมาก่อน สวี่ชีอันที่อยู่เบื้องหน้านั้นไม่เหมือนกับเจียหลัวซู่แม้แต่น้อย เขาสำแดงพลังอันหนักแน่นราวกับภูผาและยิ่งใหญ่มหาศาลราวกับมหาสมุทร
แต่กลับไม่รู้สึกถึงความผันผวนของพลังปราณของเขา ไม่รู้สึกถึงความผันผวนของจิตเดิมของเขา แต่ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รู้สึกหวาดกลัว เพราะเขาดูเหมือนตัดขาดปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกและสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาอีกด้านหนึ่ง
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดมาก เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ยังไม่มีพลังอันแข็งแกร่งปรากฏขึ้น แต่กลับทำให้ผู้คนต้องระวังตัวโดยสัญชาตญาณ…ไป๋ตี้คำรามเสียงต่ำ
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ เขาถึงเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งได้ ระบบจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งง่ายถึงเพียงนี้เชียวรึ? เหตุใดพวกเจ้าไม่บอกข้าก่อน”
มันกำลังถามเจียหลัวซู่และสวี่ผิงเฟิงด้วยน้ำเสียงลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
ไม่แปลกที่มันจะยั้งสติไม่อยู่ แม้จะมีอุปสรรคในการต่อสู้อันยากลำบากนี้แต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ภายในการควบคุมและควรเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาได้รับชัยชนะ ใครก็คิดไม่ถึงว่าสู้ไปสู้มาจู่ๆ ฝั่งต้าฟ่งจะพลิกล็อกสถานการณ์เช่นนี้
ในบรรดาระบบหลัก จอมยุทธ์ได้รับการยอมรับว่าเป็นที่หนึ่งในการต่อสู้ระยะประชิด พลังการต่อสู้ของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งย่อมแข็งแกร่งกว่าระบบอื่นๆ อย่างแน่นอน
สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าสวี่ชีอันในตอนนี้รับมือได้ยากกว่าเซียนครองพิภพอย่างลั่วอวี้เหิงเสียอีก
เซียนครองพิภพท่านเดียวยังถือว่าอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาทนได้และรับมือได้ แต่เมื่อมีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอีก…ไป๋ตี้ไม่มั่นใจว่าจะระงับสถานการณ์ได้
สวี่ผิงเฟิงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่โต้ตอบมันและยังคงเงยหน้าขึ้นไปมองสวี่ชีอันราวกับรูปปั้น
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พนมมือ หลุบสายตาต่ำลง พระโพธิสัตว์องค์นี้แข็งแกร่งที่สุดในสำนักพุทธแต่การแสดงออกกลับแฝงไปด้วยความทำอะไรไม่ถูก หลังจากอู่จง ในที่สุดต้าฟ่งก็มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปรากฏขึ้นอีกหนึ่งท่านแล้ว
การต่อสู้ครั้งนี้หนักหนาสาหัสกว่าที่คิดไว้มาก
อาซูหลัว จินเหลียนและจ้าวโส่วล่าถอยออกไปพร้อมๆ กันและตีตัวออกห่างจากเจียหลัวซู่ ใบหน้าของเหนือมนุษย์ทั้งสามเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแต่สภาพจิตใจกลับตื่นเต้นผิดปกติ
“สถานการณ์ทั้งหมดชัดเจนแล้ว!” อาซูหลัวพ่นลมหายใจขุ่นเคืองที่สะสมอยู่ในอกมานาน
“ยอดเยี่ยม!” จ้าวโส่วลูบเคราด้วยรอยยิ้ม
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองสวี่ชีอันที่อยู่กลางอากาศพลางกล่าวด้วยความรู้สึกซับซ้อน “ในโลกนี้เขาไร้เทียมทานไร้ผู้ต่อต้านแล้ว!”
ภายใต้สถานการณ์ที่ระดับสุดยอดไม่ปรากฏตัว จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะกองกำลังทั้งหมด
เวลานี้เอง เสียงหัวเราะอันอ้างว้างที่พยายามระงับอารมณ์ต่างๆ ของสวี่ผิงเฟิงก็ดังมาจากหุ่นเชิด “วางแผนได้ดี! อาศัยความช่วยเหลือจากชะตาเพลิงอัสนีบาต หลิงอวิ้นของเทพดอกไม้และปราณมังกรเพื่อเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง ดีมาก เจ้าเก่งมาก…สวี่ชีอัน!”
เขาขบเคี้ยวเขี้ยวฟันพูดสามพยางค์สุดท้ายออกมาด้วยความโกรธ
สวี่ชีอันก้มลงไปมองหุ่นเชิดในชุดขาว เอื้อมแขนขวาออกไปและใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ล้างลำคอให้สะอาดซะ แล้วรอให้ข้าฆ่าเจ้า!”
‘เพล้ง!’ หุ่นเชิดที่หล่อขึ้นจากโลหะพังทลายเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางน้ำเสียงอันแหลมคม พลังเหนือธรรมชาติของสวี่ผิงเฟิงหายวับไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชีอันไม่มองแม้แต่น้อย เขามองไปที่พวกอาซูหลัวทั้งสามคนเป็นอันดับแรกและกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งสามพักฟื้นคอยชมการสู้รบอยู่ข้างสนามเถอะ”
จากนั้นเขาก็มองไปที่ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่ แสยะยิ้มกล่าวว่า “ข้าจะฉีกพวกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ เอง”
รูม่านตาแนวตั้งสีฟ้าของไป๋ตี้หรี่แคบลงด้วยความไม่เกรงกลัวและกล่าวอย่างตาต่อตาฟันต่อฟันว่า “ขั้นหนึ่งเหมือนกัน ขอแค่เข้ามาก็พอ ข้าก็อยากจะลิ้มรสนักว่าแก่นโลหิตของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมีรสชาติอย่างไร”
มันเพียงเสียดายรากอันนั้นที่นำมาใช้ปิดผนึกท่านโหราจารย์ มิเช่นนั้นคงจะนำมาใช้เป็นอาวุธสังหารเพื่อจัดการกับจอมยุทธ์ที่เพิ่งเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งคนนี้ได้
เจียหลัวซู่กล่าวเสียงทุ้มว่า “ไม่มีการสู้รบครั้งใดยากกว่าครั้งนี้อีกแล้ว!”
เขามีความมั่นใจมากกว่าไป๋ตี้ ร่างธรรมเทพอารักษ์ประสานเข้ากับร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี เขามั่นใจกับการป้องกันของตนเองมาก
พวกอาซูหลัวทั้งสามเฝ้าดูอย่างมีความหวัง
ไป๋ตี้โน้มตัวลง แกนกลางด้านในลูกระเบิดอัสนีวารีที่ก่อตัวขึ้นระหว่างเขาทั้งสองข้างพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง กระแสไฟฟ้าชั้นนอกดีดตัวอย่างรุนแรง
มันถือโอกาสเหลือบตาไปมองพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ไม่ว่าร่างกายของมันจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าร่างธรรมทั้งสองของเจียหลัวซู่ ให้เขาเป็นผู้นำในการทดสอบระดับของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจึงจะเหมาะสมที่สุด
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เข้าใจความหมายของมัน เขาแหงนขึ้นไปมองท้องฟ้า ย่อเข่าทั้งสองข้างลง
‘ตูม’ ท่ามกลางเสียงแผ่นดินที่ทรุดตัวลง เขากลายเป็นแสงสีทองที่บินตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า
วงแหวนเพลิงที่ด้านหลังศีรษะร่างธรรมเทพอารักษ์ระเบิดออก พุทธรัศมีของร่างที่หล่อขึ้นจากทองคำเบ่งบานแผ่ไปในหมื่นทิศ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอานุภาพอันแข็งแกร่งและทรงพลัง เพียงแค่ความโอ่อ่าเช่นนี้ปรากฏออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญระดับกลางและระดับต่ำลงไปหมอบคลานที่พื้นด้วยความกลัวกับกำลังเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ
แขนทั้งสิบสองคู่แผ่สยายออกมาและกำหมัดแน่น แต่ละกำปั้นล้วนประกอบไปด้วยพลังอันมหาศาล
เมื่อเห็นกำปั้นทั้งสิบสองคู่นี้ อาซูหลัวก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั้งร่าง มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย
เมื่อเผชิญหน้ากับกำปั้นที่ทุบลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน สวี่ชีอันก็สูดหายใจเข้าเบาๆ พลางกำหมัดข้างขวาแน่นและชูขึ้นไปทางด้านหลัง
กี่ปีแล้วที่ไม่มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปรากฏขึ้นในจิ่วโจว?
นับตั้งแต่จักรพรรดิอู่จงสิ้นพระชนม์ เสินซูถูกปิดผนึก เพดานของระบบจอมยุทธ์คือขั้นสอง ส่วนขั้นหนึ่งได้หายสาบสูญไปแล้ว
เลื่องลือกันว่าร่างธรรมเทพอารักษ์เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใครอย่างนั้นรึ?
เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าจอมยุทธ์เจิ้งถ่งที่โด่งดังในด้านการต่อสู้ระยะประชิดนั้นแข็งแกร่งเพียงใด…แสงสีทองฉายออกมาจากดวงตาของสวี่ชีอันในทันใด กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างปริออกทีละมัด เขาแสดงพละกำลังโดยการปล่อยหมัดออกไปสุดแรง
‘หึ่ง!’
หนึ่งหมัดปะทะยี่สิบสี่หมัด ทันใดนั้นช่องว่างระหว่างทั้งสองก็ระเบิดขึ้นโดยมีคลื่นอากาศเป็นเหมือนสิ่งกีดขวาง
คลื่นอากาศเดินทางในชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็วจนทำให้พื้นที่ในรัศมีสิบลี้กลายเป็นเหมือนเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่
‘ตึง ตึง ตึง’…พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ถอยโซเซไปด้านหลัง ทุกย่างก้าวของเขาบดขยี้พื้นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ
ในทางกลับกัน สวี่ชีอันไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย หลังจากถอนกำปั้นกลับมาแล้ว เขาก็ยกเข่าขวาขึ้น ไม่ทันเห็นงอขาออกแรง ร่างของเขาก็พุ่งเข้าไปหาเจียหลัวซู่ราวกับกระสุนปืนใหญ่พร้อมกับกระแทกหัวเข่าเข้าที่กลางหน้าอกอย่างแรง
เจียหลัวซู่ที่กำลังล่าถอยรีบยกสองมือขึ้นมาแสดงท่ามุทราอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าไม่สามารถตกอยู่ท่ามกลางการโจมตีอย่างต่อเนื่องของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้ ด้วยเหตุนี้จึงวางแผนจะใช้ ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ มาต้านทานการโจมตีนี้
‘หึ่ง!’
กระแสลมโดยรอบแข็งตัวขึ้น แม้แต่ลมเพียงน้อยนิดก็ยังเล็ดลอดออกไปไม่ได้
หัวเข่าของสวี่ชีอันกระแทกเข้ากับกรงกลางอากาศ ‘ปัง’ กรงกลางอากาศแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขาอาศัยความรุนแรงของจอมยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้มาฝ่าทะลวงการปิดกั้นของ ‘ร่างธรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี’ บนอากาศจนสามารถใช้เข่าของตนเองกระแทกบนใบหน้าของเจียหลัวซู่ได้สำเร็จ
เจียหลัวซู่ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ผิวหนังก็ดูเหมือนจะกลายเป็นหิน แม้จะถูกเข่ากระแทกก็ยังไม่เสียรูปไป
“เฮอะ ต่อให้ท่านโหราจารย์ใช้พลังแห่งเวไนยสัตว์ก็ยังทำลายพระโพธิสัตว์มัญชุศรีของเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าลองเดาสิว่า หากจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งใช้พลังแห่งเวไนยสัตว์จะทำลายกระดองเต่าของเจ้าได้หรือไม่?”
สวี่ชีอันเก็บหัวเข่ากลับมา เมื่อสั่นแขนทั้งสองข้างอย่างรุนแรง พลังแห่งเวไนยสัตว์ก็พุ่งเข้ามาราวกับฝูงผึ้งจนดูเหมือนมีเกราะกำบังปกคลุมอยู่ที่แขนทั้งสองข้างของเขา
เขาไม่ได้แสดงทักษะอัน ‘บ้าคลั่ง’ ของลี่กู่ หลังจากที่แก่นแท้ ลมปราณและจิตหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว พลังของเขาก็พุ่งขึ้นสู่เพดานขีดจำกัดของโลก
ความบ้าคลั่งของลี่กู่ไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาได้อีกต่อไป
กำปั้นทั้งสองข้างของสวี่ชีอันที่ติดอยู่กับหน้าอกของเจียหลัวซู่ก็ออกแรงขึ้นในฉับพลัน
‘ตึง!’
เกิดเสียงราวกับระฆังใหญ่ดังขึ้นระหว่างสวรรค์และโลก
เจียหลัวซู่หมดสติไปชั่วขณะ หลังจากที่กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็พบว่าร่างของตนเองกำลังร่วงหล่นไปด้านล่างอย่างรวดเร็วราวกับดาวตกโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมได้
เขายังคงทำท่ามุทราอยู่ แต่พระโพธิสัตว์มัญชุศรีไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและถูกพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้พัดพาไปอย่างผิดธรรมชาติ กว่าห้าร้อยปีที่ผ่านมา ในที่สุดเขาก็ได้ลิ้มรสชาติของการถูกบุกทะลวงอีกครั้ง
ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับเสินซูครั้งก่อน เทพท่านนั้นใช้เทพยุทธ์สามหมัดในการทำลายพระโพธิสัตว์มัญชุศรีของเขาในครึ่งกระบวนท่า
ในเวลาเดียวกัน เจียหลัวซู่ก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่หน้าอก บริเวณนั้นปรากฏรอยฝ่ามือที่จมลงไปถึงสองข้าง
‘ตึง!’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง