ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 788

สรุปบท บทที่ 788 ยุติสงคราม: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 788 ยุติสงคราม – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 788 ยุติสงคราม ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 788 ยุติสงคราม

Ink Stone_Fantasy

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พนมมือ ร่างกายท่อนล่างฝังอยู่บนหน้าดิน ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับรูปปั้นถูกทุบ

เสื้อผ้าของเขาหนาและแข็งราวกับเคลือบด้วยขี้ผึ้ง

“สวี่ชีอัน!”

สีหน้าจีเสวียนผันเปลี่ยนฉับพลัน แววตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ ความเคียดแค้น ความหวาดกลัว ความสับสนและความสิ้นหวัง

ราชครูเคยบอกไว้ว่า การต่อสู้ในชายแดนตอนเหนือเสียเปรียบมาก สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงทั้งคู่ต่างได้รับการเลื่อนระดับเป็นขั้นหนึ่ง

ฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ!

ตอนจีเสวียนได้ยินข่าว เขาแทบคลั่ง ยอมรับความจริงเช่นนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย

แต่ช่วงสงคราม เขาระงับทุกห้วงอารมณ์รวมถึงความริษยาและความหวาดกลัวภายในใจเอาไว้ และร่วมสู้ศึก

เหนือสิ่งอื่นใดเจียหลัวซู่และไป๋ตี้ยังอยู่ และทั้งสองก็เป็นขั้นหนึ่งที่ทรงพลัง ถึงแม้สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงจะเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งแล้วทั้งคู่ก็ตาม อย่างมากก็เปลี่ยนข้อเสียเป็นข้อได้เปรียบ อยากตัดสินผลแพ้ชนะ ยังต้องใช้เวลา

ในช่วงเวลานี้ ขอแค่พวกเขาตัดเศียรจักรพรรดินี เอาชนะกองทัพต้าฟ่ง เข้าพิชิตเมืองหลวง

จากนั้นราชครูก็จะมีโอกาสโจมตีปรมาจารย์ลิขิตฟ้าอีกครั้ง…เมื่อประสบความสำเร็จ กองทัพอวิ๋นโจวจะมีทหารขั้นหนึ่งเพิ่มขึ้น และพลังทั้งหมดของสวี่ชีอันจะลดลงเพราะเมืองหลวงล่มสลาย สิ่งหนึ่งมลายหายไปสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแทนที่ อวิ๋นโจวยังคงมีหวัง

จีเสวียนคิดเช่นนั้น สวี่ผิงเฟิงก็คิดเช่นเดียวกัน ก่อนจะเห็นพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ถูกกระแทกเข้าไปในวังหลวงต่อหน้าต่อตา

สิ่งเดียวตอนนี้ที่ผิดพลาดคือ ไม่ว่าเขาหรือสวี่ผิงเฟิง ต่างประเมินพลังต่อสู้ของสวี่ชีอันผิด

ประการแรก หลังจากจักรพรรดิอู่จงเป็นต้นมา จิ่วโจวไม่มีการบันทึกสถิติการต่อสู้ของจอมยุทธขั้นหนึ่งออกสู่สาธารณะมาห้าร้อยปีแล้ว เสินซูคือคนเดียวที่ปรากฏตัว แต่เพราะอยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ จึงไม่มีข้อมูลอ้างอิงมากนัก

ประการที่สอง ร้อยกว่าปีมานี้เซียนครองพิภพอันดับหนึ่ง มีแค่เทพสวรรค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น และเขาไม่สามารถหลีกเร้นจากโลกียวัตรได้ ถ้าเซียนครองพิภพและจอมยุทธขั้นหนึ่งร่วมมือกันจะระเบิดพลังได้มากเพียงใดเชียว เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้

ประการสุดท้าย องค์ประกอบของสวี่ชีอันนั้นค่อนข้างซับซ้อน ทั้งกระบี่สยบดินแดน เจดีย์พุทธะ พลังแห่งเวไนยสัตว์ กลวิธีต่างๆ จากเจ็ดยอดกู่ แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากจอมยุทธขั้นหนึ่งทั่วๆ ไปอยู่แล้ว

การทับซ้อนขององค์ประกอบข้างต้น ทำให้สวี่ผิงเฟิงประเมินพลังต่อสู้ที่แท้จริงของบุตรชายคนโตได้ยาก

อย่าว่าแต่สวี่ผิงเฟิง เจียหลัวซู่กับไป๋ตี้เองก็ยังคำนวณพลังต่อสู้ของสวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงผิด ก่อนเริ่มสงครามฝ่ายหลังเคยปฏิญาณด้วยความแน่วแน่หนักแน่นว่า จะต้องลิ้นรสแก่นโลหิตของจอมยุทธขั้นหนึ่งให้จงได้

เป็นผลให้พรสวรรค์เหนือธรรมชาติถูกควบคุมโดยเซียนครองพิภพ ความแข็งแกร่งของกายหยาบแทบจะเทียบจอมยุทธขั้นหนึ่งไม่ได้

ต้องตายอย่างทุกข์ระทม

“เจ้าช่างเป็นหินเหม็นในส้วมจริงๆ”

สวี่ชีอันหลุบตามองเจียหลัวซู่ เอ่ยปรามาสหนึ่งประโยค

จากนั้นเขาก็มองสีหน้าเขียวคล้ำของจีเสวียน เหยียดยิ้มเยาะ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพี่เจ็ด”

จีเสวียนขบฟันแน่น ไม่แม้แต่จะลังเล ปล่อยยันต์หยกเลื่อนออกจากแขนเสื้อด้วยแรงจากฝ่ามือ

ราชครูมักจะหาทางออกไว้เสมอ จีเสวียนก็เช่นเดียวกัน เขาไม่เคยขาดยันต์หยก ระยะทางไกลที่ค่ายกลส่งตัวสามารถเคลื่อนย้ายได้คือพื้นที่มณฑลเดียวกัน ฉะนั้นเพียงบิดขยี้ยันต์หยก เขาก็สามารถกลับยงโจวได้ทันที

ไม่ใช่แค่เขา แต่บุคคลสำคัญหลายคนในกองทัพอวิ๋นโจวก็มียันต์หยกส่งตัวอยู่ในกำมือ

ทว่าแสงสว่างไม่ได้เปล่งรัศมี เขายังคงอยู่ในวังหลวง ขณะนั้นจีเสวียนรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แขนขวา ไม่รู้ว่าแขนขวาทั้งแขนหลุดร่วงจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไร

ตามด้วยสวี่ชีอันที่อยู่กลางท้องฟ้าถูกลมพัดกระโชกแรงจนแตกสลาย นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา

“พี่ชายสบายดีนะ ข้าล่ะชอบฆ่าท่านที่สุด”

เสียงเยาะเย้ยของสวี่ชีอันแว่วดังมาจากด้านหลัง จึงรีบเอ่ยเสริมอีกประโยค

“ข้าก็ชอบฆ่าน้องชายเหมือนกัน”

เขาใช้เคล็ดลับวิชาดวงดาราผันเปลี่ยนของเทียนกู่ บดบังลางล่วงรู้วิกฤติจอมยุทธของจีเสวียน

ร่างจีเสวียนซวนเซไถลไปด้านหน้าหลายสิบหมี่ พลางแผดเสียงลั่น

“ท่านราชครู…”

ในตอนนี้มีเพียงสวี่ผิงเฟิงเท่านั้นที่ช่วยเขาได้

คล้อยหลังเสียงคำราม สวี่ชีอันใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เคลื่อนย้ายตัวมาปรากฏต่อหน้าจีเสวียนอีกครั้ง ในท่ายึดขาซ้ายเป็นแกนหลัก บิดยืดเอวเล็กน้อย

‘ปึง!’

ขาขวาสะบัดฟาดดั่งแส้ ตัดเอวจีเสวียนขาดสะบั้น ร่างกายท่อนล่างยังคงวิ่งอย่างบ้าคลั่ง หลังจากร่างกายท่อนบนกระเด็นห่างออกไป ก่อนจะล้มลงกระแทกพื้นเต็มแรง

“เจียหลัวซู่ พาจีเสวียนไปด้วย!”

สูงขึ้นไปกลางอากาศ เสียงตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวของสวี่ผิงเฟิงดังก้องลงมา

โหรขั้นสองผู้นี้มีเหตุผลที่จะไม่สำแดงเดชต่อหน้าบุตรชายคนโต จึงทิ้งห่างออกไปไกล

ทันทีที่เห็นสวี่ชีอันย้อนกลับมายังเมืองหลวง เขาก็รู้แน่ว่าถึงคราวสิ้นหวังแล้ว

สวี่ชีอันเหยียบท่อนบนจีเสวียนด้วยเท้าข้างหนึ่ง พลางมองไปทางเจียหลัวซู่แล้วยิ้มเยาะ

“เจ้ากล้ากระดิกรึ!”

เจียหลัวซู่ขมวดคิ้วไม่พูดอะไร

ทั้งสองคนต่อสู้กันมาตลอดตั้งแต่ชายแดนตอนเหนือมาจนถึงเมืองหลวง ใช้ความรุนแรงปะทะกับความรุนแรง เจียหลัวซู่กระจ่างแล้วว่าการอาศัยเพียงร่างธรรมเทพอารักษ์ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสวี่ชีอัน เพราะเลือดสีทองเข้มบนร่างกายได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว

จอมยุทธขั้นหนึ่งรวมกับพลังแห่งเวไนยสัตว์ พลังต่อสู้ทั้งหมดของสวี่ชีอันนั้นเหนือกว่าโหราจารย์ของชิงโจวยามนั้น

เขาสามารถยืนอย่างสง่าผ่าเผยต่อหน้าโหราจารย์ได้ แต่กลับถูกจอมยุทธขั้นหนึ่งที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่ง เขวี้ยงไปมาอย่างกับก้อนหิน

อย่างไรเสียสวี่ชีอันก็ยังห่างชั้นจากเสินซู ยังด้อยกว่ามาก ดังนั้นจึงไม่ต้องมีพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่อัดเขาได้ในสามหมัดเหมือนในอดีต

แต่เจียหลัวซู่ก็ยังต้องเอาตัวเองให้รอด

หากไม่มีพระโพธิสัตว์มัญชุศรี มีเพียงกายหยาบซึ่งเป็นพรจากร่างธรรมวชิระ ไม่อาจต้านทานหมัดมวยและกระบี่สยบดินแดนของจอมยุทธขั้นหนึ่งผู้นี้ได้

“ส่งจีเสวียนมาให้ข้า เจ้าไม่กล้าลงมือกับข้าในเมืองหลวงหรอก”

เจียหลัวซู่พูดเสียงขรึม

ท่าทางเจียหลัวซู่ในเวลานี้กำลังตัดสินความเป็นความตายของจีเสวียน รวมถึงตัดสินชีวิตประชาชนคนทั่วไปส่วนใหญ่ในเมืองหลวงด้วยเช่นกัน

สวี่ชีอันเลิกคิ้ว

“เจ้าเอาเมืองหลวงมาขู่ข้าได้ก็จริง เพราะนี่คือจุดอ่อนของข้า แต่เจ้าคิดว่าทำลายเมืองหลวงทิ้งแล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าลอยนวลอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลางอย่างนั้นรึ?”

สวี่ชีอันเมินคำขู่ และเอ่ยเตือน

“หากเจ้าทำลายเมืองหลวง จ้าวโส่วไม่ปล่อยเจ้าแน่ ลั่วอวี้เหิงก็คงไม่ปล่อยเจ้า อาซูหลัวแม้นจะไม่สนใจเมืองหลวง แต่หากเป็นไปได้ เขาก็คงจะทำทุกอย่างเพื่อขังเจ้าไว้ในที่ราบลุ่มตอนกลาง นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ่งไม่ปล่อยโอกาสนี้ที่จะเก็บเกี่ยวบุญกุศลอันยิ่งใหญ่

“ข้าอยากรู้นักว่าพระโพธิสัตว์มัญชุศรีจะทนรับมือยอดฝีมือเยอะขนาดนี้ได้หรือไม่

“ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก จะยืนหยัดสู้กับข้าจนตัวตาย แล้วทำลายเมืองหลวง แต่เมื่อผู้แข็งแกร่งขั้นบรรลุธรรมของต้าฟ่งกลับมา เจ้าตายแน่นอน หรือไสหัวไปให้พ้นๆ เสียตอนนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าออกจากเมืองหลวง จงเลือกเสีย”

เจียหลัวซู่ต้องการเอาเมืองหลวงมาขู่เขา เช่นนั้นเขาต้องขู่อีกฝ่ายด้วยชีวิต จะได้เห็นดีกันว่าใครมันเหี้ยมกว่ากัน!

“พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อย่าหลงกลเขา เขาไม่กล้าเดิมพันกับเจ้าหรอก เขาไม่มีทางกล้า!” จีเสวียนพยายามเงยหน้าขึ้นอย่างสุดกำลัง ตะโกนใส่เจียหลัวซู่เสียงกร้าว

สวี่ชีอันสีหน้าสงบนิ่ง ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้ว จึงเอ่ยว่า

“แต่แม้ว่าเจ้า เจียหลัวซู่จะเต็มใจสละชีวิตเพื่อสวี่ผิงเฟิง เจ้าคิดว่าเขายังมีความหวังที่จะยื่นมือมาเอี่ยวในที่ราบลุ่มภาคกลางตอนนี้รึ? จะอาศัยเขาที่เป็นโหรขั้นสอง เป็นขยะใต้เท้าข้าน่ะรึ? ไป๋ตี้ยังหนีออกไปไกลจากโพ้นทะเล อวิ๋นโจวถึงคราวสูญสิ้นแล้ว

“ไม่ว่าเขาจะให้คำมั่นสัญญาว่าสำนักพุทธจะได้ประโยชน์อะไร มันก็ไม่มีวันเป็นจริง”

เจียหลัวซู่อาจจะโหดเหี้ยม แต่ไม่มีวันสละชีพเพื่อสวี่ผิงเฟิงแน่นอน เพราะแม้แต่สวี่ผิงเฟิงก็คงไม่ยอมสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ของตน

หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เจียหลัวซู่ค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น อาการบาดเจ็บทางกายหายฉับพลัน เขาที่ร่างกายเปื้อนด้วยเลือดสีทองเข้ม ยกมือขึ้นประนม เอ่ยเนิบนาบว่า

เขามองไปทางสวี่ชีอัน ก่อนค่อยๆ ก้าวถอยหลังสามก้าว เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดขวาง จึงกระโจนขึ้นฟ้า กลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปทางทิศตะวันตก

สวี่ผิงเฟิงดูเหมือนจะคาดเดาทางเลือกเจียหลัวซู่ไว้แต่แรกแล้ว เขามองไปยังวังหลวงเบื้องล่างอย่างไม่แยแส ก่อนจะหายตัวจากไป

ส่วนจีเสวียนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

ฟู่ว…สวี่ชีอันเป่าปากพ่นลมยาวพรืด

เขาเดือดดาลจนยอมพังพินาศ และการมีอยู่ของหยกสลายก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่าง

แต่ถ้าเขาสามารถรักษาเมืองหลวงไว้ได้ เขาก็ยินดีที่จะประนีประนอมและหลีกทางให้เจียหลัวซู่ออกไป

ในภายภาคหน้าไม่ช้าก็เร็วก็ต้องไปเยี่ยมเยือนแดนประจิม บัญชีแค้นนี้ค่อยชำระ

“มันจบแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปหาน้องชาย”

สวี่ชีอันก้มมองจีเสวียน กดฝ่ามือเบาๆ

หน้าผากจีเสวียนมีเส้นเลือดปูดโปนด้วยความโกรธ กลัวและไม่ยินยอม เขาเกิดมาเป็นบุตรนอกสมรส ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการแย่งความโดดเด่นจากจีเชียนบุตรชายของภรรยาเอก เขาจำต้องซ่อนเร้นความสามารถที่แท้จริงมานานกว่ายี่สิบปี

หลังจากจีเชียนสิ้นลมหายใจ เขาถึงได้ไต่ขึ้นตำแหน่งสูงๆ หลังจากผ่านการรอดตายมาอย่างหวุดหวิด ในที่สุดเขาก็เลื่อนขั้นสู่ขั้นบรรลุธรรม และกลายเป็นจอมยุทธขั้นบรรลุธรรมคนที่สองตั้งแต่ยังหนุ่ม

เพียงก้าวเดียว แค่อีกก้าวเดียวก็สามารถสังหารจักรพรรดินีได้ จากนั้นก็จะกลายเป็นเจ้าผู้ครองเมือง

ห้วงสุดท้ายของชีวิต เขาทบทวนความคิดราวกับภาพฉาย

“สวี่…ชี…อัน…”

จีเสวียนกรีดร้องโหยหวน วินาทีต่อมา เสียงนั้นพลันหยุดลง สีหน้าดุดันฉาบค้างอยู่บนใบหน้า

จิตเดิมของเขาแตกสลายด้วยน้ำมือสวี่ชีอัน จนดวงวิญญาณกระจัดกระจาย

“ขอยืมหัวของเจ้าหน่อยแล้วกัน”

สวี่ชีอันเรียกกระบี่สยบดินแดนออกมา ตัดเอาศีรษะจีเสวียน จากนั้นจึงหันไปหาจักรพรรดินีแล้วกล่าวว่า

ร่างของจีเสวียนยังคงมีชีวิต แม้นจะเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต ทว่ามันก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่า

“แย่แล้ว!”

ฉู่หยวนเจิ่นหน้าถอดสี กลั้นใจหันไปมองเหิงหย่วน ปรากฏว่าในดวงตาของฝ่ายหลังสะท้อนความโกรธแค้นและโศกเศร้าเหมือนกับตน

ในมุมมองของยอดฝีมือที่เผด็จศึกอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นอกเมือง พวกเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการบุบสลายอาวุธเวทสำริดมากนัก

จากเมืองชั้นนอกเข้ามาวังหลวง ระยะทางจึงเป็นสาเหตุให้อาวุธเวทสำริดขนาดมหึมา ในสายตาผู้คนบนกำแพงเมือง มันเล็กเหมือนจานชาม นับประสาอะไรกับสวี่ชีอันที่มีร่างกายเท่ามนุษย์ปกติ

บนกำแพงเมือง ทหารอารักขาแห่งต้าฟ่งกู่ร้องเฮลั่น เหล่าทหารต่างเลื่อมใสศรัทธาเงาร่างบนท้องฟ้าดุจเทพเจ้า

“วางใจได้แล้ว แม่เจ้าโว้ย พวกเราไม่ต้องตาย”

ทหารอารักขาที่แขนหักเอนพิงกำแพงเมือง ฉีกยิ้มกว้าง เผยให้เห็นเหงือกสีแดงเลือดนก

“ไม่ต้องตายแล้ว ไม่ต้องสละชีวิตอีกแล้ว…”

ทหารที่ได้รับบาดเจ็บต่างพากันปิดหน้า หลั่งน้ำตาออกมา

ท่ามกลางเสียงกู่ร้องของกองทัพต้าฟ่ง เก่อเหวินเซวียน ชีก่วงป๋อ หยางชวนหนานและแกนหลักสำคัญอีกหลายคนในกองทัพอวิ๋นโจว นำยันต์หยกออกมาจากแขนเสื้อในเวลาเดียวกัน

นี่คืออาวุธเวทคุ้มครองของพวกเขาที่ราชครูให้ไว้ จุดหมายปลายทางในการเคลื่อนย้ายถูกตั้งไว้ที่ชายแดนระหว่างยงโจวและเมืองหลวง เมื่อถึงยงโจว พวกเขาสามารถใช้เคล็ดวิชาหายตัวอื่นๆ นอกเหนือจากนี้ผ่านค่ายกลส่งตัว กลับไปยังอวิ๋นโจว

ซึ่งอาจใช้เวลามากที่สุดประมาณหนึ่งเค่อ

การหลอมสกัดยันต์หยกส่งตัวนั้นยุ่งยาก วัตถุดิบต่างๆ นั้นไม่ได้ราคาสูงมาก แต่ก็ไม่ถูกเช่นกัน ดังนั้นจึงมีเพียงแกนหลักสำคัญในกองทัพเท่านั้นที่จะได้รับการจัดสรร

“ที่นี่หายตัวไม่ได้!”

อีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือกำแพงเมือง เขาคือจ้าวโส่วที่สวมหมวกขงจื๊อ

เขาเป็นคนแรกที่รีบกลับเมืองหลวง เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเคล็ดลับวิชาขงจื๊อเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดในทุกระบบ ทั้งเป็นระดับแนวหน้าและโดดเด่นเหนือใคร

ยันต์หยกในมือชีก่วงป๋อและคนอื่นๆ ถูกบดขยี้แล้ว แต่กลับไม่เกิดแสงสว่างนำพาพวกเขาออกไป

ความหวังสุดท้ายหายไปแล้ว

จ้าวโส่วพยักหน้าให้สวี่ชีอันเบาๆ

‘ตู้ม!’

ท่ามกลางเสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหว สวี่ชีอันหายวับไปจากสายตาผู้คน ความเร็วของเขาในตอนนี้นั้นเกินขีดจำกัดจอมยุทธแล้ว

หรืออาจกล่าวได้ว่าเกินขีดจำกัดการเหาะเหินเดินอากาศเสียอีก

นอกจากวิชาส่งตัวประเภทเคลื่อนย้ายไปไกลถึงอวกาศ ไม่มีเคล็ดวิชาเหินฟ้าใดรวดเร็วกว่าเขาแล้ว

สาเหตุที่เขาไม่ยอมรีบตามสวี่ผิงเฟิงไป นั่นก็เพราะกลัวว่าเจียหลัวซู่จะย้อนกลับมากลางคัน แล้วถอนฟืนใต้หม้อเสียก่อน

พอจ้าวโส่วกลับมา อาซูหลัวและจินเหลียนก็คงอยู่ไม่ไกล พวกเขาทั้งสามคนผนวกกับโค่วหยางโจวกับซุนเสวียนจี อย่างไรก็สู้กับเจียหลัวซู่ที่ออกแรงมหาศาลได้อย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่าเจียหลัวซู่จะมีความคิดถอนฟืนใต้หม้อล่ะก็ แต่ถ้าเห็นคณะชุดนี้ ก็ต้องสลัดความคิดออกไปจากหัวแน่

ยิ่งไปกว่านั้น สวี่ชีอันรู้ดีว่าสวี่ผิงเฟิงจะไปไหนและไม่กลัวว่าจะหาเขาไม่เจอด้วย

ระหว่างพ่อลูก อย่างไรก็ต้องมีจุดจบ

เมื่อลูกชายจะส่งพ่อสู่ปรโลก ย่อมเป็นเรื่องสมควรแล้ว

ห้องลับใต้ดิน ณ วังซีหยวน

กองทหารรักษาวังจำนวนหนึ่งเปิดประตูเหล็กหนา จากนั้นอากาศปลอดโปร่งสดชื่นก็ไหลเข้ามาในห้องลับ ทำให้สมาชิกหญิงนั้นจิตใจชื่นบาน

ผู้นำกองทหารรักษาวังโค้งคำนับ

“ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ กราบบังคมทูลเชิญไทเฮา องค์หญิงทุกพระองค์ รวมถึงท่านหญิงท่านชายกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”

ออกไปได้แล้วหรือ?

ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ผู้ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาเอ่ยหยั่งเชิง

“พวกกบฏถูกขับไล่แล้วรึ?”

ครั้นเห็นไทเฮาและบรรดาองค์หญิงหันมามอง หัวหน้าทหารรักษาวังจึงตอบกลับ

“ผู้นำกองกบฏตายและหนีไป การก่อจลาจลนอกเมืองก็สงบลงแล้ว แม่ทัพนายกองฝ่ายกบฏทั้งหมดถูกจับกุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หวางซือมู่ซึ่งอยู่ข้างๆ ผู้เป็นมารดาขมวดคิ้ว เอ่ยถาม

“รวดเร็วอะไรเช่นนี้?”

หัวหน้ากองทหารรักษาวังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ฆ้องเงินสวี่กลับมาแล้ว จะไม่เร็วได้อย่างไร”

เสียงกู่ร้องดีใจดังขึ้น บรรดาสมาชิกหญิงต่างพากันสบายใจ พวกนางหัวเราะกันทั้งน้ำตา ทั้งกล่าวสวรรค์คุ้มครองราชวงศ์ ขณะเดียวกันก็พร่ำขอบคุณฆ้องเงินสวี่

หลินอันที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ เฉินไท่เฟยในที่สุดก็ไม่แสร้งทำเป็นสงบนิ่งอีกต่อไป นางพ่นลมโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกพลางยกมือเท้าเอวไปด้วย

อาสะใภ้แต่เดิมอยากจะทิ้งตัวทรุดลง แต่บรรดาสมาชิกหญิงที่ยืนอยู่ใกล้หญิงบ้านสกุลสวี่มองมา จึงทำให้อาสะใภ้ต้องยืดอกเชิดหน้าขึ้น คงไว้ซึ่งภาพพจน์

เพื่อให้ได้รับการยอมรับและสรรเสริญเยินยอจากท่านหญิงผู้สูงศักดิ์

มู่หนานจือเหลือบมองหลินอัน พลางยกมือขึ้นเท้าเอวเช่นกัน

ส่วนสวี่หลิงเยวี่ยนั้นอ่อนโรยไร้พิษภัย

…………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง