บทที่ 788 ยุติสงคราม
Ink Stone_Fantasy
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่พนมมือ ร่างกายท่อนล่างฝังอยู่บนหน้าดิน ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับรูปปั้นถูกทุบ
เสื้อผ้าของเขาหนาและแข็งราวกับเคลือบด้วยขี้ผึ้ง
“สวี่ชีอัน!”
สีหน้าจีเสวียนผันเปลี่ยนฉับพลัน แววตาวาวโรจน์ด้วยโทสะ ความเคียดแค้น ความหวาดกลัว ความสับสนและความสิ้นหวัง
ราชครูเคยบอกไว้ว่า การต่อสู้ในชายแดนตอนเหนือเสียเปรียบมาก สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงทั้งคู่ต่างได้รับการเลื่อนระดับเป็นขั้นหนึ่ง
ฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ!
ตอนจีเสวียนได้ยินข่าว เขาแทบคลั่ง ยอมรับความจริงเช่นนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย
แต่ช่วงสงคราม เขาระงับทุกห้วงอารมณ์รวมถึงความริษยาและความหวาดกลัวภายในใจเอาไว้ และร่วมสู้ศึก
เหนือสิ่งอื่นใดเจียหลัวซู่และไป๋ตี้ยังอยู่ และทั้งสองก็เป็นขั้นหนึ่งที่ทรงพลัง ถึงแม้สวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงจะเลื่อนเป็นขั้นหนึ่งแล้วทั้งคู่ก็ตาม อย่างมากก็เปลี่ยนข้อเสียเป็นข้อได้เปรียบ อยากตัดสินผลแพ้ชนะ ยังต้องใช้เวลา
ในช่วงเวลานี้ ขอแค่พวกเขาตัดเศียรจักรพรรดินี เอาชนะกองทัพต้าฟ่ง เข้าพิชิตเมืองหลวง
จากนั้นราชครูก็จะมีโอกาสโจมตีปรมาจารย์ลิขิตฟ้าอีกครั้ง…เมื่อประสบความสำเร็จ กองทัพอวิ๋นโจวจะมีทหารขั้นหนึ่งเพิ่มขึ้น และพลังทั้งหมดของสวี่ชีอันจะลดลงเพราะเมืองหลวงล่มสลาย สิ่งหนึ่งมลายหายไปสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแทนที่ อวิ๋นโจวยังคงมีหวัง
จีเสวียนคิดเช่นนั้น สวี่ผิงเฟิงก็คิดเช่นเดียวกัน ก่อนจะเห็นพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ถูกกระแทกเข้าไปในวังหลวงต่อหน้าต่อตา
สิ่งเดียวตอนนี้ที่ผิดพลาดคือ ไม่ว่าเขาหรือสวี่ผิงเฟิง ต่างประเมินพลังต่อสู้ของสวี่ชีอันผิด
ประการแรก หลังจากจักรพรรดิอู่จงเป็นต้นมา จิ่วโจวไม่มีการบันทึกสถิติการต่อสู้ของจอมยุทธขั้นหนึ่งออกสู่สาธารณะมาห้าร้อยปีแล้ว เสินซูคือคนเดียวที่ปรากฏตัว แต่เพราะอยู่ในระดับครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ จึงไม่มีข้อมูลอ้างอิงมากนัก
ประการที่สอง ร้อยกว่าปีมานี้เซียนครองพิภพอันดับหนึ่ง มีแค่เทพสวรรค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น และเขาไม่สามารถหลีกเร้นจากโลกียวัตรได้ ถ้าเซียนครองพิภพและจอมยุทธขั้นหนึ่งร่วมมือกันจะระเบิดพลังได้มากเพียงใดเชียว เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้
ประการสุดท้าย องค์ประกอบของสวี่ชีอันนั้นค่อนข้างซับซ้อน ทั้งกระบี่สยบดินแดน เจดีย์พุทธะ พลังแห่งเวไนยสัตว์ กลวิธีต่างๆ จากเจ็ดยอดกู่ แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากจอมยุทธขั้นหนึ่งทั่วๆ ไปอยู่แล้ว
การทับซ้อนขององค์ประกอบข้างต้น ทำให้สวี่ผิงเฟิงประเมินพลังต่อสู้ที่แท้จริงของบุตรชายคนโตได้ยาก
อย่าว่าแต่สวี่ผิงเฟิง เจียหลัวซู่กับไป๋ตี้เองก็ยังคำนวณพลังต่อสู้ของสวี่ชีอันและลั่วอวี้เหิงผิด ก่อนเริ่มสงครามฝ่ายหลังเคยปฏิญาณด้วยความแน่วแน่หนักแน่นว่า จะต้องลิ้นรสแก่นโลหิตของจอมยุทธขั้นหนึ่งให้จงได้
เป็นผลให้พรสวรรค์เหนือธรรมชาติถูกควบคุมโดยเซียนครองพิภพ ความแข็งแกร่งของกายหยาบแทบจะเทียบจอมยุทธขั้นหนึ่งไม่ได้
ต้องตายอย่างทุกข์ระทม
“เจ้าช่างเป็นหินเหม็นในส้วมจริงๆ”
สวี่ชีอันหลุบตามองเจียหลัวซู่ เอ่ยปรามาสหนึ่งประโยค
จากนั้นเขาก็มองสีหน้าเขียวคล้ำของจีเสวียน เหยียดยิ้มเยาะ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะพี่เจ็ด”
จีเสวียนขบฟันแน่น ไม่แม้แต่จะลังเล ปล่อยยันต์หยกเลื่อนออกจากแขนเสื้อด้วยแรงจากฝ่ามือ
ราชครูมักจะหาทางออกไว้เสมอ จีเสวียนก็เช่นเดียวกัน เขาไม่เคยขาดยันต์หยก ระยะทางไกลที่ค่ายกลส่งตัวสามารถเคลื่อนย้ายได้คือพื้นที่มณฑลเดียวกัน ฉะนั้นเพียงบิดขยี้ยันต์หยก เขาก็สามารถกลับยงโจวได้ทันที
ไม่ใช่แค่เขา แต่บุคคลสำคัญหลายคนในกองทัพอวิ๋นโจวก็มียันต์หยกส่งตัวอยู่ในกำมือ
ทว่าแสงสว่างไม่ได้เปล่งรัศมี เขายังคงอยู่ในวังหลวง ขณะนั้นจีเสวียนรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แขนขวา ไม่รู้ว่าแขนขวาทั้งแขนหลุดร่วงจากร่างกายตั้งแต่เมื่อไร
ตามด้วยสวี่ชีอันที่อยู่กลางท้องฟ้าถูกลมพัดกระโชกแรงจนแตกสลาย นั่นเป็นเพียงภาพลวงตา
“พี่ชายสบายดีนะ ข้าล่ะชอบฆ่าท่านที่สุด”
เสียงเยาะเย้ยของสวี่ชีอันแว่วดังมาจากด้านหลัง จึงรีบเอ่ยเสริมอีกประโยค
“ข้าก็ชอบฆ่าน้องชายเหมือนกัน”
เขาใช้เคล็ดลับวิชาดวงดาราผันเปลี่ยนของเทียนกู่ บดบังลางล่วงรู้วิกฤติจอมยุทธของจีเสวียน
ร่างจีเสวียนซวนเซไถลไปด้านหน้าหลายสิบหมี่ พลางแผดเสียงลั่น
“ท่านราชครู…”
ในตอนนี้มีเพียงสวี่ผิงเฟิงเท่านั้นที่ช่วยเขาได้
คล้อยหลังเสียงคำราม สวี่ชีอันใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ เคลื่อนย้ายตัวมาปรากฏต่อหน้าจีเสวียนอีกครั้ง ในท่ายึดขาซ้ายเป็นแกนหลัก บิดยืดเอวเล็กน้อย
‘ปึง!’
ขาขวาสะบัดฟาดดั่งแส้ ตัดเอวจีเสวียนขาดสะบั้น ร่างกายท่อนล่างยังคงวิ่งอย่างบ้าคลั่ง หลังจากร่างกายท่อนบนกระเด็นห่างออกไป ก่อนจะล้มลงกระแทกพื้นเต็มแรง
“เจียหลัวซู่ พาจีเสวียนไปด้วย!”
สูงขึ้นไปกลางอากาศ เสียงตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวของสวี่ผิงเฟิงดังก้องลงมา
โหรขั้นสองผู้นี้มีเหตุผลที่จะไม่สำแดงเดชต่อหน้าบุตรชายคนโต จึงทิ้งห่างออกไปไกล
ทันทีที่เห็นสวี่ชีอันย้อนกลับมายังเมืองหลวง เขาก็รู้แน่ว่าถึงคราวสิ้นหวังแล้ว
สวี่ชีอันเหยียบท่อนบนจีเสวียนด้วยเท้าข้างหนึ่ง พลางมองไปทางเจียหลัวซู่แล้วยิ้มเยาะ
“เจ้ากล้ากระดิกรึ!”
เจียหลัวซู่ขมวดคิ้วไม่พูดอะไร
ทั้งสองคนต่อสู้กันมาตลอดตั้งแต่ชายแดนตอนเหนือมาจนถึงเมืองหลวง ใช้ความรุนแรงปะทะกับความรุนแรง เจียหลัวซู่กระจ่างแล้วว่าการอาศัยเพียงร่างธรรมเทพอารักษ์ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสวี่ชีอัน เพราะเลือดสีทองเข้มบนร่างกายได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
จอมยุทธขั้นหนึ่งรวมกับพลังแห่งเวไนยสัตว์ พลังต่อสู้ทั้งหมดของสวี่ชีอันนั้นเหนือกว่าโหราจารย์ของชิงโจวยามนั้น
เขาสามารถยืนอย่างสง่าผ่าเผยต่อหน้าโหราจารย์ได้ แต่กลับถูกจอมยุทธขั้นหนึ่งที่เพิ่งเลื่อนตำแหน่ง เขวี้ยงไปมาอย่างกับก้อนหิน
อย่างไรเสียสวี่ชีอันก็ยังห่างชั้นจากเสินซู ยังด้อยกว่ามาก ดังนั้นจึงไม่ต้องมีพระโพธิสัตว์มัญชุศรีที่อัดเขาได้ในสามหมัดเหมือนในอดีต
แต่เจียหลัวซู่ก็ยังต้องเอาตัวเองให้รอด
หากไม่มีพระโพธิสัตว์มัญชุศรี มีเพียงกายหยาบซึ่งเป็นพรจากร่างธรรมวชิระ ไม่อาจต้านทานหมัดมวยและกระบี่สยบดินแดนของจอมยุทธขั้นหนึ่งผู้นี้ได้
“ส่งจีเสวียนมาให้ข้า เจ้าไม่กล้าลงมือกับข้าในเมืองหลวงหรอก”
เจียหลัวซู่พูดเสียงขรึม
ท่าทางเจียหลัวซู่ในเวลานี้กำลังตัดสินความเป็นความตายของจีเสวียน รวมถึงตัดสินชีวิตประชาชนคนทั่วไปส่วนใหญ่ในเมืองหลวงด้วยเช่นกัน
สวี่ชีอันเลิกคิ้ว
“เจ้าเอาเมืองหลวงมาขู่ข้าได้ก็จริง เพราะนี่คือจุดอ่อนของข้า แต่เจ้าคิดว่าทำลายเมืองหลวงทิ้งแล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้าลอยนวลอยู่ในที่ราบลุ่มภาคกลางอย่างนั้นรึ?”
สวี่ชีอันเมินคำขู่ และเอ่ยเตือน
“หากเจ้าทำลายเมืองหลวง จ้าวโส่วไม่ปล่อยเจ้าแน่ ลั่วอวี้เหิงก็คงไม่ปล่อยเจ้า อาซูหลัวแม้นจะไม่สนใจเมืองหลวง แต่หากเป็นไปได้ เขาก็คงจะทำทุกอย่างเพื่อขังเจ้าไว้ในที่ราบลุ่มตอนกลาง นักบวชเต๋าจินเหลียนยิ่งไม่ปล่อยโอกาสนี้ที่จะเก็บเกี่ยวบุญกุศลอันยิ่งใหญ่
“ข้าอยากรู้นักว่าพระโพธิสัตว์มัญชุศรีจะทนรับมือยอดฝีมือเยอะขนาดนี้ได้หรือไม่
“ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก จะยืนหยัดสู้กับข้าจนตัวตาย แล้วทำลายเมืองหลวง แต่เมื่อผู้แข็งแกร่งขั้นบรรลุธรรมของต้าฟ่งกลับมา เจ้าตายแน่นอน หรือไสหัวไปให้พ้นๆ เสียตอนนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าออกจากเมืองหลวง จงเลือกเสีย”
เจียหลัวซู่ต้องการเอาเมืองหลวงมาขู่เขา เช่นนั้นเขาต้องขู่อีกฝ่ายด้วยชีวิต จะได้เห็นดีกันว่าใครมันเหี้ยมกว่ากัน!
“พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่อย่าหลงกลเขา เขาไม่กล้าเดิมพันกับเจ้าหรอก เขาไม่มีทางกล้า!” จีเสวียนพยายามเงยหน้าขึ้นอย่างสุดกำลัง ตะโกนใส่เจียหลัวซู่เสียงกร้าว
สวี่ชีอันสีหน้าสงบนิ่ง ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้ว จึงเอ่ยว่า
“แต่แม้ว่าเจ้า เจียหลัวซู่จะเต็มใจสละชีวิตเพื่อสวี่ผิงเฟิง เจ้าคิดว่าเขายังมีความหวังที่จะยื่นมือมาเอี่ยวในที่ราบลุ่มภาคกลางตอนนี้รึ? จะอาศัยเขาที่เป็นโหรขั้นสอง เป็นขยะใต้เท้าข้าน่ะรึ? ไป๋ตี้ยังหนีออกไปไกลจากโพ้นทะเล อวิ๋นโจวถึงคราวสูญสิ้นแล้ว
“ไม่ว่าเขาจะให้คำมั่นสัญญาว่าสำนักพุทธจะได้ประโยชน์อะไร มันก็ไม่มีวันเป็นจริง”
เจียหลัวซู่อาจจะโหดเหี้ยม แต่ไม่มีวันสละชีพเพื่อสวี่ผิงเฟิงแน่นอน เพราะแม้แต่สวี่ผิงเฟิงก็คงไม่ยอมสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ของตน
หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เจียหลัวซู่ค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้น อาการบาดเจ็บทางกายหายฉับพลัน เขาที่ร่างกายเปื้อนด้วยเลือดสีทองเข้ม ยกมือขึ้นประนม เอ่ยเนิบนาบว่า
เขามองไปทางสวี่ชีอัน ก่อนค่อยๆ ก้าวถอยหลังสามก้าว เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดขวาง จึงกระโจนขึ้นฟ้า กลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปทางทิศตะวันตก
สวี่ผิงเฟิงดูเหมือนจะคาดเดาทางเลือกเจียหลัวซู่ไว้แต่แรกแล้ว เขามองไปยังวังหลวงเบื้องล่างอย่างไม่แยแส ก่อนจะหายตัวจากไป
ส่วนจีเสวียนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ฟู่ว…สวี่ชีอันเป่าปากพ่นลมยาวพรืด
เขาเดือดดาลจนยอมพังพินาศ และการมีอยู่ของหยกสลายก็เพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่าง
แต่ถ้าเขาสามารถรักษาเมืองหลวงไว้ได้ เขาก็ยินดีที่จะประนีประนอมและหลีกทางให้เจียหลัวซู่ออกไป
ในภายภาคหน้าไม่ช้าก็เร็วก็ต้องไปเยี่ยมเยือนแดนประจิม บัญชีแค้นนี้ค่อยชำระ
“มันจบแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปหาน้องชาย”
สวี่ชีอันก้มมองจีเสวียน กดฝ่ามือเบาๆ
หน้าผากจีเสวียนมีเส้นเลือดปูดโปนด้วยความโกรธ กลัวและไม่ยินยอม เขาเกิดมาเป็นบุตรนอกสมรส ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการแย่งความโดดเด่นจากจีเชียนบุตรชายของภรรยาเอก เขาจำต้องซ่อนเร้นความสามารถที่แท้จริงมานานกว่ายี่สิบปี
หลังจากจีเชียนสิ้นลมหายใจ เขาถึงได้ไต่ขึ้นตำแหน่งสูงๆ หลังจากผ่านการรอดตายมาอย่างหวุดหวิด ในที่สุดเขาก็เลื่อนขั้นสู่ขั้นบรรลุธรรม และกลายเป็นจอมยุทธขั้นบรรลุธรรมคนที่สองตั้งแต่ยังหนุ่ม
เพียงก้าวเดียว แค่อีกก้าวเดียวก็สามารถสังหารจักรพรรดินีได้ จากนั้นก็จะกลายเป็นเจ้าผู้ครองเมือง
ห้วงสุดท้ายของชีวิต เขาทบทวนความคิดราวกับภาพฉาย
“สวี่…ชี…อัน…”
จีเสวียนกรีดร้องโหยหวน วินาทีต่อมา เสียงนั้นพลันหยุดลง สีหน้าดุดันฉาบค้างอยู่บนใบหน้า
จิตเดิมของเขาแตกสลายด้วยน้ำมือสวี่ชีอัน จนดวงวิญญาณกระจัดกระจาย
“ขอยืมหัวของเจ้าหน่อยแล้วกัน”
สวี่ชีอันเรียกกระบี่สยบดินแดนออกมา ตัดเอาศีรษะจีเสวียน จากนั้นจึงหันไปหาจักรพรรดินีแล้วกล่าวว่า
ร่างของจีเสวียนยังคงมีชีวิต แม้นจะเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต ทว่ามันก็เป็นเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่า
…
“แย่แล้ว!”
ฉู่หยวนเจิ่นหน้าถอดสี กลั้นใจหันไปมองเหิงหย่วน ปรากฏว่าในดวงตาของฝ่ายหลังสะท้อนความโกรธแค้นและโศกเศร้าเหมือนกับตน
ในมุมมองของยอดฝีมือที่เผด็จศึกอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นอกเมือง พวกเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการบุบสลายอาวุธเวทสำริดมากนัก
จากเมืองชั้นนอกเข้ามาวังหลวง ระยะทางจึงเป็นสาเหตุให้อาวุธเวทสำริดขนาดมหึมา ในสายตาผู้คนบนกำแพงเมือง มันเล็กเหมือนจานชาม นับประสาอะไรกับสวี่ชีอันที่มีร่างกายเท่ามนุษย์ปกติ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง