ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 789

บทที่ 789 จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง

Ink Stone_Fantasy

บนกำแพงเมือง การจากไปของสวี่ชีอัน ทำให้กองทัพอวิ๋นโจวตกอยู่ในความโกลาหล

ในสายตาพวกเขา จีเสวียนคือผู้ชนะสิบทิศ จีเสวียนคือเทพเจ้าแห่งสงครามผู้ที่ส่องประกายเจิดจรัสตั้งแต่ชิวโจวจรดยงโจว แต่เมื่อครู่นี้ศีรษะของเขากลับอยู่ในมือฆ้องเงินสวี่

ทันใดนั้น ความสิ้นหวังก็ปะทุขึ้นในใจกองทัพอวิ๋นโจวและแม่ทัพนายกองระดับกลาง จากที่ตื่นเต้นอย่างยิ่งยวดกับการที่จักรพรรดินีถูกสะบั้นคอ ตอนนี้กลายเป็นท้อแท้หมดหวัง

นอกจากจีเสวียนที่พวกเขาเชิดชูให้เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามแล้ว ท่านราชครูก็มาหนีหาย…

“แม่ทัพจีถูกฆ่าแล้ว ฆ้องเงินสวี่อยู่ยงคงกระพัน เขาเป็นเทพสวรรค์ลงมาจุติ”

ท่ามกลางกลุ่มฝูงชน ใบหน้าทหารอวิ๋นโจวนายหนึ่งเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ริมฝีปากสั่นระริก

ความสิ้นหวังและความตื่นตระหนกสุมในทรวงกองทหารอวิ๋นโจว กลุ่มกบฏเริ่มชุลมุน กวัดแกว่งดาบไปรอบๆ ทิศด้วยความสับสน โดยไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไรต่อไปดี

หลังจากเห็นหัวจีเสวียน หัวใจพวกเขาปราศจากเจตจำนงในการทำสงครามจนหมดสิ้น

ในฐานะคนพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง พวกเขาทุกคนล้วนเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามฆ้องเงินสวี่ทั้งนั้น เหตุใดคนคนหนึ่งจึงฆ่าล้างกองกำลังสำนักพ่อมดกว่าสามแสนนายด้วยดาบเล่มเดียว ไหนจะตอนที่บุกเดี่ยวมาอวิ๋นโจวเพื่อกำราบกลุ่มกบฏกว่าสองหมื่นนายและเรื่องอื่นๆ อีก

ความประทับใจโดยธรรมชาติเช่นนี้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์โดยรวมที่ดี ก็อาจจะเก็บกดไว้ในใจ แต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันไม่สามารถก้าวผ่านได้ ความหวาดกลัวที่เก็บกดอยู่ในใจจะสะท้อนออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้พวกเขาสูญเสียกำลังใจ

ดวงตาหยางชวนหนานฉายแววเคร่งขรึม พลางกล่าวเสียงดัง

“กองทัพอวิ๋นโจวยอมตายดีกว่ายอมจำนน แม่ทัพทุกคนฟังข้า จงลงมือ!”

ข้างกายมีพรรคพวกมากกว่าสิบนายกำดาบแน่น ใบหน้าพวกเขาเปี่ยมด้วยความเหี้ยมโหด

‘แคร้ง!’

ขณะเดียวกันนี้ ดาบจากในมือทหารนายหนึ่งหลุดร่วงกระแทกพื้น เอ่ยเสียงสั่นเทา

“ข้า…ข้ายอมจำนน…ข้าเคยบอกแล้วว่ากบฏอย่างเราไม่มีทางเอาชนะฆ้องเงินสวี่ได้”

หลังจากนิ่งเงียบอยู่หลายวินาที ผู้ยอมจำนนคนที่สองจึงปรากฏตัว

“ข้าเองก็ขอยอมแพ้ ข้า ข้าแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป”

“ข้าก็ยอมแล้ว…”

ต่อจากนั้น ราวกับเป็นการกระตุ้นปฏิกิริยาลูกโซ่ กองทัพอวิ๋นโจวละทิ้งอาวุธและยอมจำนนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างใช้ภาษาถิ่นแต่ละที่ส่งเสียงตะโกน ‘ยอมแพ้’ ออกมา

“การก่อกบฏต้องโทษประหาร ถึงยอมจำนนก็ไม่มีทางรอด!”

หยางชวนหนานแผดเสียงตวาด “ท่านแม่ทัพ ออกไปสู้กับข้ากันอีกสักตั้ง…”

เขารู้ดีว่าตนต้องตาย จึงปฏิเสธการยอมจำนนอย่างแน่วแน่ และนึกอยากปลุกใจให้กองทัพอวิ๋นโจวพังพินาศไปพร้อมกับต้าฟ่ง ถึงแม้ตัวตายก็ต้องชดใช้ด้วยราคาแสนแพง

ทว่าคำพูดเขายังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ย สหายสนิทด้านหลังผู้หนึ่งก็ทิ้งดาบในมือลง พลางร้องขึ้นมา

“ข้ายอมจำนน”

เสียงหยางชวนหนานพลันชะงัก

สหายคนสนิทนับสิบคนข้างกายเขาละทิ้งดาบและร้องตะโกนยอมจำนน

กล้ามเนื้อแก้มของหยางชวนหนานกระตุกอย่างรุนแรง แววตาฉายแววผิดหวัง

ไกลออกมา พอมองกำแพงเมืองและใต้กำแพงเมือง กองทัพอวิ๋นโจวเอาแต่ยอมละทิ้งอาวุธอย่างต่อเนื่อง ชีก่วงป๋อค่อยๆ หลับตาลง มือข้างหนึ่งกระชับดาบเหน็บข้างเอว

การจะเป็นแม่ทัพ ต้องเลือกวิธีตายที่สมเกียรติ

สีหน้าเขาเศร้าหมอง ตอนนั้นเอาชนะเว่ยเยวียนในสนามรบไม่ได้ บัดนี้ก็ยังคงไม่มีโอกาส

สวี่ชีอัน สามคำนี้กลายเป็นหุบเหวลึกระหว่างเขากับเว่ยเยวียนที่ไม่มีหนทางให้ข้ามผ่าน พลอยแต่จะให้สิ้นหวัง

หัวใจชีก่วงป๋อเต้นไม่เป็นจังหวะ ขณะกำลังชักดาบออกมาปลิดชีพตน จู่ๆ สองมือก็เกิดควบคุมไม่ได้

จึงลืมตาด้วยความงุนงง ก่อนจะเห็นชุดสีขาวตรงหน้า ใบหน้าแสนธรรมดา อารมณ์สงบนิ่ง พร้อมด้วยส่วนสูงสมส่วน

“เหตุใดไม่ปล่อยให้ข้าตาย” ชีก่วงป๋อเอ่ยเสียงขรึม

‘เป็นผู้นำทัพอวิ๋นโจว คิดจะตายยังไม่ง่ายเลย…’ ซุนเสวียนจีเอ่ยในใจเงียบๆ แต่เมื่อมาถึงริมฝีปาก จึงกลายเป็นคำคำเดียว

“หึ!”

ภายใต้การนำทัพของพวกแม่ทัพนายกองทหารอารักขาต้าฟ่ง เหล่าทหารที่ยอมจำนนจะถูกจับมัด พวกเขาจะกวัดดาบแกว่งไม้ ตะโกนด่าทอและทุบตี เพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวในใจ

กลุ่มกบฏที่รนหาที่ตายกลุ่มนี้ ช่างกล้าบุกเข้ามาตีเมืองหลวง ใครกันที่มอบความกล้าบ้าบิ่นให้พวกเขา ไม่รู้หรืออย่างไรว่าฆ้องเงินสวี่เป็นนักบุญอุปถัมภ์แห่งต้าฟ่ง

สวี่ชีอันผู้เป็นตำนาน เขาเคยพ่ายแพ้รึ?

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ถ้าไม่ได้ลงมือก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าลงมือแล้วละก็ คงสังหารผู้นำศัตรูแล้ว

คนผู้นี้คือเทพเจ้าแห่งสงครามในความคิดของพวกเขา

เก่อเหวินเซวียน หยางชวนหนานและผู้เป็นกำลังสำคัญอีกหลายสิบคนถูกจ้าวโส่ว ซุนเสวียนจี และโค่วหยางโจวกำราบอย่างรวดเร็ว การมียอดฝีมือขั้นเหนือสามัญจับจ้อง คงเป็นการยากหากคิดจะฆ่าตัวตาย

ตำหนักกระดิ่งทอง ณ วังหลวง

จักรพรรดินีประทับบนบัลลังก์ นอกเหนือจากองค์ชาย ภายในตำหนักยังมีทหารรักษาวัง บรรดาผู้บัญชาการสิบสององครักษ์พิทักษ์เมืองหลวง รวมถึงสวี่เอ้อร์หลาง จางเซิ่น ฉู่หยวนเจิ่น เฉาชิงหยาง และยอดฝีมือกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์คนอื่นๆ

ฝ่ายหลังได้ทำคุณงามความดีในการปกป้องต้าฟ่ง จึงได้รับข้อยกเว้นให้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิบนตำหนัก เพื่อตบรางวัลตอบแทนตามความดีความชอบ

“กบฏถูกจับกุมตัวทั้งหมดสองหมื่นแปดพันสามร้อยหกสิบหนึ่งคน ชีก่วงป๋อ หยางชวนหนาน และแม่ทัพกบฏคนอื่นๆ ถูกควบคุมตัวไว้ทั้งหมดแล้ว สงครามครั้งนี้มีทหารล้มตายแปดพันสามร้อยสี่สิบสามคน บาดเจ็บหนึ่งหมื่นสองพันคน นอกเมืองมีราษฎรล้มตายและบาดเจ็บมากกว่าแปดร้อยคน”

“เปืนใหญ่มากกว่าสองร้อยกระบอก หน้าไม้หนึ่งร้อยยี่สิบอัน อาวุธหุ้มเกราะ…”

“ในบรรดาประตูเมืองทั้งสี่ ประตูเมืองทางทิศใต้ถูกทำลาย กำแพงเมืองส่วนใหญ่พังทลายลงมา ประตูเมืองอีกสามแห่งได้รับความเสียหายในแตกต่างกันตามลำดับ จำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมครั้งใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

ความเสียหายจากสงครามนั้นใหญ่หลวงอยู่แล้ว แต่พระพักตร์ของบรรดาองค์ชายเปี่ยมไปด้วยความยินดี มีความสบายอกสบายใจชนิดที่ว่าเห็นแสงอุทัยตัดผ่านหมอกเมฆ

สงครามครั้งนี้ยุติการกบฏของอวิ๋นโจว เมฆครึ้มที่เคยแผ่ปกคลุมเหนือราชสำนักต้าฟ่ง ในที่สุดก็แตกสลายจนหมดสิ้น ให้รุ่งอรุณมาถึง

ฮว๋ายชิ่งฟังเงียบๆ ก่อนเอื้อนเอ่ยว่า

“การสูญเสียในสงครามครั้งนี้หนักหนาสาหัสนัก ท่านทั้งหลายมีข้อเสนอแนะอย่างไรเกี่ยวกับผลพวงจากหลังสงคราม รวมถึงการกำจัดนักโทษกบฏ”

สมุหราชเลขาธิการเฉียนชิงซูก้าวออกมา กล่าวว่า

“ให้ทหารอวิ๋นโจวไปใช้แรงงาน รับผิดชอบเรื่องการซ่อมแซมกำแพงเมืองและส่วนอื่นๆ จากนั้นจึงค่อยจัดการหลังจากเสร็จสิ้นเรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ”

การใช้งานหมากเบี้ยเหล่านี้ให้มากที่สุดในตอนนี้ ถือเป็นแรงงานปราศจากสินจ้าง

สมุหราชเลขาธิการเฉียนชิงซูกล่าวต่อ

“สำหรับผู้นำกลุ่มกบฏเช่นชีก่วงป๋อและคนอื่นๆ ให้เร่งประหารโดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการแสดงถึงความน่าเกรงขามของราชสำนัก สำนักราชเลขาธิการได้เตรียมประกาศไว้แล้วว่า ‘ฆ้องเงินสวี่ตัดหัวจีเสวียนผู้นำกองทัพกบฏ สร้างความหวาดผวาให้แก่กองทัพและปราบปรามการก่อกบฏ’

“ด้วยวิธีเช่นนี้ จะสามารถสร้างความมั่นใจให้แก่ราษฎรได้อย่างรวดเร็วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า กล่าวว่า

“ได้!”

เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายหลิวหงก้าวออกมา พลางกล่าว

“กระหม่อมยังคงมีบาวเรื่องยังสงสัย สงครามหนีเคราะห์กรรมทางชายแดนตอนเหนือดูเหมือนจะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ตอนนี้พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่กับไป๋ตี้อยู่ที่ใด?”

ความสงสัยของหลิวหงนั้นก็เป็นความสงสัยของบรรดาองค์ชายเช่นกัน

การก่อกบฏอวิ๋นโจวจบลงแล้ว แต่สำหรับองค์ชาย ผลลัพธ์ของบางอย่างก็ยังหาข้ออธิบายไม่ได้

เนื่องจากพลังต่อสู้ของขั้นเหนือสามัญ อวิ๋นโจวสามารถพึ่งพาไป๋ตี้กับเจียหลัวซู่ได้อยู่แล้ว ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขายังไม่เห็นผู้แข็งแกร่งขั้นหนึ่งทั้งสองท่านนี้ปรากฏตัวเลย

ฮว๋ายชิ่งเอ่ยด้วยสรุเสียงอันน่าเกรงขามช้าๆ ว่า

“ท่านราชครูและฆ้องเงินสวี่ พวกเขาทั้งคู่ได้เลื่อนอันดับเป็นขั้นหนึ่ง สังหารไป๋ตี้ตั้งแต่อยู่ในชายแดนตอนเหนือแล้ว ส่วนเจียหลัวซู่นั้นยากจะรับภาระไว้ลำพัง จึงโดนฆ้องเงินสวี่ขับไล่ หนีกลับไปยังแดนประจิมแล้ว”

!!!

ภายในตำหนัก ใบหน้าที่ก้มลงต่ำพลันเงยขึ้นทันใด เผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจและงุนงง

จอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง…ในหัวเหล่าขุนนางชั้นสูงผุดเสียงพึมพำ จนเกือบทูลจักรพรรดินีว่า

นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ!

ประโยคธรรมดาๆ เช่นนี้พลันเกิดคลื่นโหมซัดสาดกระหน่ำขึ้นกลางใจเหล่าขุนนางชั้นสูง

และแม้แต่จางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋ที่ทราบสถานการณ์จากจ้าวโส่วแล้ว พอได้ยินอีกครั้ง ก็ยังตกใจจนไม่อาจอธิบายได้

พวกหัวหน้าผู้นำกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ ต่างอ้าปากค้าง ยากจะซ่อนการแสดงออกได้

จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งจุติแล้ว

ตั้งแต่สิ้นจักรพรรดิอู่จง ในยุทธภพที่ราบลุ่มภาคกลางไม่มีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปรากฏตัวมาห้าร้อยปีแล้ว

ห้าร้อยปีต่อมาจวบจนวันนี้ สวี่ชีอันเลื่อนอันดับเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง

ก่อนเขาจะรู้ตัว ก็กลายเป็นผู้ไร้เทียมทานอย่างแท้จริงแล้ว…ขุนนางสูงสุดมีความรู้สึกว่าสรรพสิ่งยังเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

‘ข้าเพิ่งอยู่ในค่ายทหารแค่ห้าเดือนจริงๆ หรือ…’ หนานกงเชี่ยนโหรวถามตนในใจ พลางสงสัยว่าตนพลาดอะไรไปหรือไม่ เขายังยอมรับว่าฆ้องเงินที่แต่เดิมอยู่อันดับสลายแรงขั้นห้า และห้าเดือนต่อมาจะกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสูงสุด

แนวคิดขั้นหนึ่งจะเป็นอย่างไร?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง