ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 790

สรุปบท บทที่ 790 ไล่ฆ่า: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อ่านสรุป บทที่ 790 ไล่ฆ่า จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บทที่ บทที่ 790 ไล่ฆ่า คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

บทที่ 790 ไล่ฆ่า

Ink Stone_Fantasy

“ราชครู!”

สีหน้าของชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงมีความสุขและฮึกเหิม

ไม่ผิดจากที่เขาคาดไว้ สวี่ผิงเฟิงปรากฏตัวที่นี่ แสดงว่าการศึกในเมืองหลวงชี้ชัดแล้ว

ในชั่วพริบตานั้น ชายวัยกลางคนชุดม่วงคิดถึงภาพมากมาย ตั้งแต่การเข้าสู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง ขึ้นครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ จากนั้นก็สวมชุดมังกรกลายเป็นเจ้าชีวิตของคนใต้หล้า แย่งชิงเจิ้งถ่งกลับคืนมา คลี่คลายปมความเสียใจของบรรพชน

เขายิ่งคิดก็ยิ่งฮึกเหิม เลือดลมพลุ่งพล่าน ตื่นเต้นเป็นที่ยิ่ง

ทว่า กิริยาซึ่งได้รับการปลูกฝังในตำแหน่งใหญ่โตตลอดหลายปีมานี้ทำให้เขาสงบลงอย่างรวดเร็ว ก่อนสูดหายใจลึกเพื่อคงภาพลักษณ์แล้วเอ่ยว่า

“สงครามในเมืองหลวงแน่ชัดแล้วสินะ ราชครูมารับข้าเข้าเมืองหลวงใช่หรือไม่”

สวี่ผิงเฟิงไม่ได้หันมา หากนิ่งมองฟองสีขาวที่ผุดขึ้นบนผิวสมุทรอย่างต่อเนื่อง แล้วเอ่ยด้วยความทอดถอนใจว่า

“กองทัพพ่ายแล้ว ฝ่าบาททรงเตรียมตัวออกทะเลเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

เกิดเสียง ‘วิ้ง’ ในหัวของชายวัยกลางคนชุดม่วง ราวกับถูกคนฟาดด้วยไม้พลองจนถอยหลังซวนเซ

สีหน้าของเขาขาวซีดลงอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากสั่นระริก เช่นเดียวกับมือและเท้า ราวกับมิอาจทนต่อความเย็นชื้นของลมทะเลได้

ชายวัยกลางคนชุดม่วงเอ่ยคำต่อคำว่า

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ไป๋ตี้เล่า พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่เล่า ยังมีจีเสวียน ชีก่วงป๋อ แล้วคนอื่นๆ เล่า”

สวี่ผิงเฟิงส่ายหน้าเบาๆ

“ระหว่างการสู้รบที่ชายแดนตอนเหนือ สวี่ชีอันใช้ประโยชน์จากการหลุดพ้นเคราะห์กรรมเลื่อนขึ้นเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่หาใช่คู่ต่อสู้ของเขา คนแรกถอยกลับโพ้นทะเลไปแล้ว ส่วนอีกคนเป็นตัวแทนสำนักพุทธในการฉีกพันธสัญญากับอวิ๋นโจว

“คนที่ออกไปรบล้วนรั้งอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว จีเสวียนตายด้วยน้ำมือสวี่ชีอัน”

สมองของชายวัยกลางคนชุดม่วงพลันว่างเปล่า หัวใจพลันหยุดเต้น

ตอนที่เขาทิ้งคนในตระกูลที่เมืองเฉียนหลงโดยไร้ซึ่งความลังเล อย่างมากเขาก็เสียใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อได้ยินว่าจีเสวียนตายอยู่เมืองหลวง ตายด้วยน้ำมือสวี่ชีอัน ชายวัยกลางคนชุดม่วงนั้นปวดใจจนเกินระงับ ประหนึ่งสายฟ้าห้าสายฟาดกลางกระหม่อม

ใช่ว่าเขารักบุตรซึ่งเกิดจากสนมผู้นี้มากมายนัก หากนี่เป็นจอมยุทธ์ขั้นสามคนหนึ่งเชียวนะ

การฝึกฝนจอมยุทธ์ขั้นสามผู้หนึ่งเป็นเรื่องยากลำบากนัก ยาโลหิตที่ทำให้ร่างกายของจีเสวียนเหนือมนุษย์เม็ดนั้น เป็นหนึ่งในแก่นของสายเลือดพวกเขา ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้ว

“เราละอายต่อบรรพชน ละอายต่อบรรพชนนัก!”

ชายวัยกลางคนชุดม่วงปิดหน้า น้ำเสียงเจ็บลึกเจือด้วยเสียงคร่ำครวญอันยากจะกดข่ม

สวี่ผิงเฟิงมิได้เอ่ยคำปลอบโยน หากน้ำเสียงเย็นชา

“ฝ่าบาทเสด็จไปรอที่เกาะหลังเต่าและพักฟื้นพระวรกายก่อน ความพ่ายแพ้ในเมืองหลวงวันนี้ อย่างมากก็แค่ต้องอดทนต่อไป วันหน้าใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหวนกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อครั้งกบฏอู่จง บรรพบุรุษเชื้อพระวงศ์ของฝ่าบาทก็เป็นเช่นนี้

“โชคดีที่พวกเราได้พิจารณาแง่มุมนี้ไว้ เงินและเสบียงที่กักตุนไว้หลังเต่าสามารถใช้เป็นรากฐานในการหวนคืนอำนาจได้”

ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ทั้งสองด้าน ดังนั้น สวี่ผิงเฟิงและสายเลือดของเมืองเฉียนหลงจึงเสาะหาสถานที่ในโพ้นทะเลที่เหมาะแก่การเพาะปลูก เกาะร้างซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และกักตุนเงินและเสบียงส่วนหนึ่งไว้ที่นั่น

เมื่อการก่อกบฏล้มเหลว จะได้ถอยไปเก็บตัวที่เกาะร้าง

บัดนี้เส้นทางสายหลังนับว่าเกิดประโยชน์แล้ว แม้จะมิใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับท่านก็ตาม

ชายวัยกลางคนชุดม่วงสองตาแดงเรื่อ และพึมพำถามกลับว่า

“ยังมีโอกาสหวนคืนอำนาจอีกใช่หรือไม่”

สวี่ผิงเฟิงส่งเสียง ‘ฮึ’

“ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือว่า บุตรสายตรงคนโตผู้นั้นของข้าก่อร่างสร้างตัวมาได้อย่างไร”

ชายวัยกลางคนชุดม่วงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนเกิดแรงบันดาลใจและโพล่งออกมา

“นอกจากความโชคดีและดวงแข็งแล้วก็มิได้ต่างจากคนทั่วไป”

ระหว่างที่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนจากความโศกเศร้าอาดูรเป็นความตื่นเต้นยินดี แล้วกล่าวอย่างฮึกเหิมว่า

“รอจนเขาสิ้นอายุขัย พวกเราก็ร่วมมือกับสำนักพุทธและไป๋ตี้ได้อีกครั้ง อีกทั้งตอนนั้น ท่านโหราจารย์ก็ยังถูกปิดผนึก ราชสำนักต้าฟ่งจะเอาอะไรมาสู้กับพวกเราเล่า”

สวี่ผิงเฟิงหัวเราะ

“ด้วยเหตุนี้ล่ะ

“ดังนั้นตอนนี้ ข้าต้องออกทะเลไปตามหาไป๋ตี้และวางแผนร้ายกับมัน ฝ่าบาทไปที่เกาะหลังเต่าก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ มหาสมุทรกว้างใหญ่ ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจจัดวางค่ายกลไว้บนเกาะแล้วด้วย เขาคิดจะตามหาก็ไม่ง่ายแล้ว”

ในเวลานั้นเอง เกิดเสียง ‘เปรี้ยง’ ประหนึ่งสายฟ้าฟาดดังเสียดหูมาจากท้องฟ้าใสกระจ่าง

ทหารชุดเกราะและยอดฝีมือในกองเรือรบมังกรเขียวชิงหลงต่างมองไปยังท้องฟ้าด้วยความตะลึงงัน จากนั้นใบหน้าจึงถอดสีด้วยความหวาดกลัวราวกับคนที่รอรับวันสิ้นโลก

คนร่างหนึ่งโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแรกเห็นยังอยู่ที่ขอบฟ้า หากเพียงพริบตาก็มาถึงตรงหน้าแล้ว

สวี่ชีอัน!

เขาไล่ตามมาแล้ว

เสียงของสวี่ชีอันดังก้องสะท้อนขอบฟ้า

“สวี่ผิงเฟิง เจ้าหนีไม่รอดหรอก ต่อให้หนีไปซ่อนถึงโพ้นทะเล ข้าก็จะไล่ล่าเจ้า ต่อให้ต้องบุกขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าให้ได้”

สวี่ผิงเฟิงหน้าเปลี่ยนสีอย่างหนัก หลังจากสวี่ชีอันไล่ตามมาสกัดจีเสวียนที่เมืองหลวง เขาก็เผยให้เห็นความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์อย่างชัดเจนอีกครั้ง เป็นการแสดงออกที่เหนือความควบคุม

“มีอันใด คิดไม่ถึงว่าข้าจะตามมาเร็วเพียงนี้รึ

“เจ้าอวดดีเกินไปแล้ว คิดว่าตนฉลาดหลักแหลม วีรบุรุษในใต้หล้าล้วนอยู่ในความคาดการณ์ของเจ้าหมด คิดว่าตัวเองมีทางถอยอยู่เสมอ หลังจากที่พ่ายแพ้ เจ้าก็จะละทิ้งกองทัพในเมืองหลวงแล้วกลับอวิ๋นโจวทันที พร้อมหอบความหวังสุดท้ายออกทะเล

“เจ้าวางแผนทำร้ายข้า วางกับดักข้า ทำเหมือนข้าเป็นหมาก แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ในการประมือกันแต่ละครั้ง ข้าอ่านนิสัยและความเคยชินของเจ้าออกตั้งนานแล้ว นิสัยที่เก็บงำบางอย่างและรอเวลาที่เหมาะสม

“คิดจริงๆ หรือว่าทุกคนจะโง่เขลาไปกับการจูงจมูกของเจ้า

สวี่ชีอันประณามถากถางจนสาแก่ใจ แล้วจึงพรั่งพรูลมหายใจด้วยความอัดอั้น

เขาคิดถึงวันนี้มานานมากแล้ว วันที่ต้อนสวี่ผิงเฟิงจนมุม และเหยียบย่ำความสำเริงสำราญทั้งหมดของเขาไว้ใต้ฝ่าเท้า แล้วบอกกับเขาว่า เขาเป็นเพียงคนชั่วที่อาละวาดสร้างความเดือดร้อนผู้หนึ่งเท่านั้น!

วันนี้ สวี่ชีอันทำสำเร็จแล้ว

สวี่ผิงเฟิงคาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากเคราะห์สวรรค์วางแผนเลื่อนขึ้นสู่ขั้นหนึ่ง ตรงไปสู่การสิ้นสุดของกองทัพอวิ๋นโจว

และต่อมา สวี่ผิงเฟิงก็ยังคงคิดไม่ถึงว่าเขาจะไล่ตามมาได้เร็วถึงเพียงนี้

ตั้งแต่ช่วงเวลาที่สวี่ผิงเฟิงออกจากเมืองหลวง สวี่ชีอันก็รู้ทันทีว่าเขาจะมาอวิ๋นโจว และหอบความหวังสุดท้ายออกทะเล ก่อนกบดานรอคอยการกลับมามีอำนาจในอนาคต

นี่เป็นการคาดเดาจากนิสัยที่เคยชินของสวี่ผิงเฟิง จากการแสดงออกแต่ละอย่างที่ผ่านมา จึงวิเคราะห์นิสัย ‘รอบคอบ’ ของสวี่ผิงเฟิงได้ไม่ยาก รวมถึงความเคยชินในการซ่อนไพ่ตายและไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังเป็นอันขาด

นอกจากนี้ก็ยังไม่เคยปรากฏกลุ่มดาวมังกรเขียวชิงหลงในกลุ่มดาวยี่สิบแปดดารา จากคำสารภาพของเชลยศึกกองทัพอวิ๋นโจวซึ่งถูกจับในชิงโจวพบว่า กลุ่มดาวมังกรเขียวชิงหลงเป็นกองทัพเรือหน่วยหนึ่ง

กองทัพเรือหน่วยนี้ไม่เคยเข้าร่วมสงครามเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วมันใช้ทำอะไรเล่า คำตอบชัดเจนในตัวเองยิ่งนัก

อันที่จริง ไม่เพียงแต่สวี่ชีอันเท่านั้นที่เดาได้ เว่ยเยวียนก็เดาออกเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงทิ้งกระจกเทพฮุ่นเทียนไว้ในค่ายทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่เว่ยเยวียนให้เขาใช้เสาะหาสวี่ผิงเฟิงในท้องทะเลอันกว้างใหญ่

“ราชครู เขามาแล้ว เขามาแล้ว!”

ชายวัยกลางคนชุดม่วงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ จึงร้องด้วยความตระหนกว่า

“รีบพาเราไป เร็ว…”

ยามหนีเอาชีวิตรอด สวี่ผิงเฟิงมีหรือแบกภาระไว้บนบ่า

แสงสว่างวาบขึ้นใต้เท้าของเขา แล้วเขาก็หายไปจากสายตาของทุกคนในชั่วพริบตา

สวี่ชีอันไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เนื่องจากในระหว่างที่กำลังเอ่ยถากถางเมื่อครู่ เขาได้ผูกติดกับสวี่ผิงเฟิงไว้แล้ว และทลายพลังปราณทั้งหมด ยับยั้งอารมณ์ทั้งหมดไว้

ลำแสงดาบสีเหลืองทองวาบขึ้นระหว่างผืนดินและท้องฟ้าก่อนหายวับไป หนีเข้าสู่ความว่างเปล่า

สามขั้นตอนของหยกสลายคือ

ผูกติดเป้าหมาย…สะสมพลัง…เชือด!

ตอนที่เข้าใกล้กองเรือมังกรเขียวชิงหลง สวี่ชีอันได้ฉวยโอกาสจากการพูดถากถางเพื่อผูกติดเป้าหมายกับสวี่ผิงเฟิง นับตั้งแต่นั้น สวี่ผิงเฟิงก็ยากที่จะหลบหนีหยกสลายของเขาอีก

หลังจากตัดหยกสลายแล้ว สวี่ชิงอันก็โยนดาบสยบดินแดนและดาบไท่ผิงออกไป แล้วออกคำสั่งว่า

สวี่ชีอันไม่มีทางปล่อยเขา จะต้องไล่ล่าเขาไปตลอดจนสุดขอบโลก

บัดนี้ผู้ที่จะช่วยเขาได้มีเพียงไป๋ตี้ เบื้องหลังของเทพมารผู้นี้ไม่ธรรมดา ไป๋ตี้เป็นเพียงหุ่นเชิด ร่างจริงของมันคือคนอื่น

สวี่ผิงเฟิงไม่ได้พยายามปิดบังความลับสวรรค์ของตน เนื่องจากสวี่ชีอันเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว ระดับสูงกว่าเขาหนึ่งขั้น อีกทั้งความเกี่ยวพันระหว่างพ่อลูกก็ลึกซึ้งเกินกว่าจะฝืนอำพรางได้

เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อใช้วิชาส่งตัวตามลมหายใจเกล็ดเล็กๆ ในมือ แล้วมาถึงยังจุดมุ่งหมายในที่สุด

ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็เห็นลั่วอวี้เหิงที่ปลายสุดของแนวชายฝั่ง

“หืม”

สวี่ชีอันซึ่งกำลังเหาะด้วยความเร็วสูงหยุดชะงักลงกะทันหัน ด้วยรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงระลอกหนึ่งที่ส่งมาจากร่างกาย ความเจ็บปวดรุนแรงเช่นนี้ราวกับมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ

“ปฏิกิริยาตอบกลับของหยกสลายไม่ถูกต้อง…”

เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติในทันที

หลังจากก้าวเข้าสู่ขั้นหนึ่ง แก่นแท้ ลมปราณและจิตก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง จิตเดิมและกายเนื้อก็ไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป

แต่เขายังคงสัมผัสได้ว่า จิตเดิมได้รับความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่กายเนื้อบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่เป็นเพราะผลพวงต่อเนื่องหลังการผสานรวมกันของกายเนื้อและจิตเดิม

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พอจะเดาการกระทำของสวี่ผิงเฟิงออก

หากลูกคลอดยาก แค่จัดการรักษาชีวิตแม่ไว้ก็เท่านั้น

“ฮึ่ม มาดูกันว่าเจ้าจะหนีไปได้ถึงไหน”

กระจกเทพฮุ่นเทียนก็เหมือนกับคลื่นตรวจจับทิศทางที่จับสังเกตในรัศมีพันลี้ หลังจากสวี่ชีอันเหาะไปได้ครึ่งชั่วยามก็ยังจับร่างของสวี่ผิงเฟิงไม่ได้ แต่กลับเห็นลั่วอวี้เหิงแทน

ลั่วอวี้เหิงพกกระบี่เทพ ยืนอยู่ระหว่างผืนฟ้าและท้องทะเล ชุดขนนกโบกพลิ้ว เรือนผมงดงามปลิวไสว ดูงดงามน่าค้นหาประหนึ่งเซียนหญิงบนสวรรค์

นางขมวดคิ้วจ้องนิ่งไปยังก้นทะเล ราวกับกำลังคุมเชิงบางสิ่งอยู่

ในเวลาเดียวกับที่กระจกเทพฮุ่นเทียนจับสังเกตนางได้ ลั่วอวี้เหิงก็สัมผัสถึงกระจกเทพได้เช่นกัน จึงเงยหน้ามามอง

ทั้งสองสบตากันโดยมีกระจกเทพกั้น

อึดใจต่อมา สวี่ชีอันก็พลัน ‘มุด’ เข้าไปตรงหน้าลั่วอวี้เหิง แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า

“ไป๋ตี้เล่า”

ลั่วอวี้เหิงก้มลงเหลือบมองผิวน้ำทะเลแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“ข้าไล่ตามวิญญาณของไป๋ตี้มาตลอดจนถึงที่นี่ มันลงไปในทะเลจากตรงนี้ ข้าไล่ตามลงไปก็เห็นร่องน้ำลึก ในร่องน้ำลึกมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนักอาศัยอยู่ ข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจของมัน จึงขึ้นมา”

การดำรงอยู่ของสิ่งที่น่ากลัวมาก ร่างเดิมของต้าฮวงรึ สวี่ชีอันขมวดคิ้ว

“แข็งแกร่งแค่ไหน”

ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า

“หากสู้กันลำพัง ข้าไม่มีโอกาสชนะเลย”

แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียว…สวี่ชีอันสูดลมหายใจ แม้ในสมัยบรรพกาลที่เทพมารยังอยู่กันขวักไขว่ เทพมารที่ทัดเทียมระดับสุดยอดเช่นเทพกู่นั้นมีดุจขนหงส์และเขากิเลน

แต่ต้าฮวงผู้นี้มีร่างสืบเชื้อสายจากเทพมาร ซึ่งความจริงแล้วแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่งอีกไม่ใช่หรือ

เช่นนั้นบรรพบุรุษของมันจะน่ากลัวเพียงใด

ลั่วอวี้เหิงกล่าวอีกว่า

“สวี่ผิงเฟิงอยู่ข้างล่าง เขาเผชิญหน้ากับข้าก่อนจะส่งตัวไปยังก้นทะเล จิตเดิมของเขาเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าทำอะไรลงไปน่ะ”

อยู่ข้างล่างสินะ ที่แท้เขาก็มาอาศัยหลบภัยกับไป๋ตี้ หนึ่งคนหนึ่งตัวสร้างพันธมิตรกันมานานแล้ว…สวี่ชีอันสูดหายใจลึกแล้วมองใบหน้ารูปไข่อันงดงามของลั่วอวี้เหิง “ท่านร่วมมือกับข้าแล้วลงไปเจอมันดีหรือไม่ ถือโอกาสดูด้วยว่าตาเฒ่าโหราจารย์นั่นตายหรือยัง”

ท่านโหราจารย์ยังอยู่ในมือ ‘ไป๋ตี้’

………………………………………………………….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง